เอเจนซี - สื่อต่างประเทศรายงาน (30 ม.ค.) ว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลของ เจแอลแอล กิจการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีน ทั้งประเภทที่พักอาศัย อาคารพาณิชย์ โรงแรม และอุตสาหกรรมในปี 2016 มีมูลค่ารวม 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 53 จากปีก่อนหน้า
สหรัฐอเมริกาเป็นปลายทางการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนมากที่สุดเป็นปีที่สองติดต่อกัน โดยมีการลงทุนถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ตามด้วยฮ่องกง มาเลเซีย และออสเตรเลีย
สหราชอาณาจักร อยู่อันดับ 5 ตกลงหนึ่งอันดับจากปี 2015 มีมูลค่าการลงทุนที่ 2.2 พันล้านดอลลาร์ โดยปีที่ดีที่สุดของสหราชอาณาจักรคือปี 2014 มีเงินลงทุนจากจีนถึง 4.9 พันล้านดอลลาร์ มากเป็นอันดับหนึ่ง
การซื้อขายมูลค่าใหญ่สุดของปีที่แล้วคือการซื้อขายระหว่าง อันปัง อินชัวรันซ์ กรุ๊ป กับ สเตรทจิก โฮเต็ล แอนด์รีสอร์ท โดยมีมูลค่าการซื้อที่ 6.5 พันล้านดอลลาร์ รวมถึงการซื้ออาคารสำนักงานของไชน่าไลฟ์ อินชัวรันซ์ ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งจัดการซื้อขายโดย ไชน่าอินเวสต์เมนท์ คอร์เปอเรชั่น
เดวิด กรีน-มอร์แกน ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ เจแอลแอล ในสิงคโปร์ กล่าวเชื่อว่านักลงทุนจีน จะยังคงเคลื่อนย้ายเงินลงทุนไปยังอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลกอย่างต่อเนื่องอีกหลายปี และนักลงทุนรายใหญ่ๆ หลายราย ต่างมีเงินทุนหมุนเวียนอยู่นอกประเทศ ทำให้การตัดสินใจลงทุนไม่ต้องอยู่ภายใต้การตรวจสอบของรัฐบาลอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้ แม้อสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงแรม สำนักงาน และที่อยู่อาศัยจะครองสัดส่วนการลงทุนที่ใหญ่ แต่นักลงทุนจีนก็เริ่มให้ความสนใจในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและภาคการขนส่ง โดยนิคมอุตสาหกรรมคือปัจจัยหนึ่งของนโยบาย "หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง" หรือเส้นทางสายไหมใหม่ของจีน โดยมีแผนก่อตั้งโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ในแอฟริกา เอเชียกลาง และตะวันออกกลาง และนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นศูนย์กลางของกิจการจีนที่ดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ