โจว เอินไหล (ค.ศ.1898-1976) เป็นนักรบ นักการเมือง นักการทูต เป็นคู่บารมีร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเหมา เจ๋อตง จนพาประชาชาติจีนยืนขึ้นได้ ฝ่าวิกฤตขัดแย้งนานาในยุคต้นสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นเรี่ยวแรงสำคัญในการนำจีนสู่เวทีสากล เชื่อมสัมพันธ์กับนานาประเทศ สร้างสันติสุข จนเป็นที่ยกย่องของประชาคมโลก ว่าเป็น “สุภาพบุรุษนักการทูต” สำหรับประเทศชาติ เขาเป็น “นายกฯแห่งปวงชน” ที่จีนคิดถึงตลอดกาล
โจว เอินไหล เกิดที่เมืองหวยอัน(淮安) มณฑลเจียงซู ในวันที่ 5 มีนาคม ปีค.ศ.1898 (พ.ศ.2441) ต่อมาครอบครัวย้ายมายังเมืองเส้าซิง มณฑลเจ้อเจียง หลังจากที่เขาลืมตามาดูโลกไม่นาน บิดาก็ป่วยหนัก ซึ่งตามธรรมเนียมจีนแล้ว จำต้องยกเขาให้เป็นบุตรของอา เนื่องจากถือว่าดวงชะตาไม่สมพงศ์กับผู้ให้กำเนิด โจวจึงได้รับการอบรมจากอาสะใภ้ที่เป็นผู้หญิงมีการศึกษา เขาจึงรู้จักวรรณกรรมจีนที่มีชื่อเสียงตั้งแต่อายุได้เพียง 5 ขวบ พร้อมไปกับการเล่าเรียนหนังสือที่บ้าน จน 8 ขวบก็เริ่มต้นอ่านงานเขียนเด่นของจีน โดยวรรณกรรมเรื่องแรกที่อ่าน ได้แก่ ไซอิ๋ว (西游记) ตามด้วย พรหมลิขิตบุปผากระจก (镜花缘) วีรบุรุษเขาเหลียงซัน(水浒传) และความรักในหอแดง(红楼梦)
เมื่ออายุ 12 ขวบ ชะตาชีวิตของโจวก็มาถึงจุดพลิกผัน เมื่อเขาต้องออกจากบ้านไปยังเมืองเถี่ยหนิงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากบิดาและลุงทำงานอยู่ที่นั่น และการออกจากบ้านครั้งนี้ได้สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับเขา เป็นจุดเปลี่ยนจากสิ่งแวดล้อมในครอบครัวศักดินามาสู่การได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ทั้งยังได้เริ่มสัมผัสกับหนังสือที่เกี่ยวกับการปฏิวัติ
โจว เอินไหล มีบทบาทสำคัญในพรรคคอมมิวนิสต์ช่วงก่อตั้งมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นด้านการรบ หรือการเผยแพร่ความคิดของเหมา เจ๋อตง รวมถึงยังเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่เข้าเจรจากับนายพลเจียงไคเช็ค เพื่อเจรจายุติสงครามกลางเมือง และหันมาร่วมมือกันต้านญี่ปุ่น
เมื่อรัฐบาลคอมมิวนิสต์ได้สถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี 1949 โจวเอินไหลก็ได้ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาจนถึงปี 1978 และคำว่า ‘นายกโจว’ (周总理) กลายเป็นคำพูดติดปากของทุกคนเมื่อกล่าวถึงชายผู้นี้ นอกจากนั้น ในช่วงปี 1949 ถึง 1958 โจวเอินไหลยังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ทั้งยังได้รับการยกย่องให้เป็นรองประธานพรรค รองประธานคณะกรรมาธิการทหาร ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาทางการเมือง
สุภาพบุรุษนักการทูต
โจว เอินไหลมีบทบาท คุณูปการโดเด่นที่สุดในด้านการทูตระหว่างประเทศ หลังสงครามเกาหลีสิ้นสุดลง(ค.ศ.1950-1953) โจวสนับสนุนนโยบายทางการทูตแนวสันติวิธี
หลังปี 1958 ถึงแม้โจวมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีนแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการบัญชาการรบใน 'หมาก' ทางการทูตของจีน และยังเข้าร่วมอยู่ในการเจรจาทางการทูตวาระสำคัญๆทั้งหมดด้วย
โจวเอินไหลเป็นหัวหอกในการฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับมิตรประเทศกลุ่มทุนนิยมที่พัฒนาแล้ว อาทิ อังกฤษ และเชื่อมสัมพันธ์กับฝรั่งเศสในปีค.ศ.1964 นั้นนับเป็นการเปิดม่านไม้ไผ่สู่ดินแดนยุโรปอย่างจริงจัง รวมไปถึงสหรัฐอเมริกา ทั้งยังเป็นผู้เสนอทิศทางการฟื้นฟูมิตรภาพจีน-ญี่ปุ่น
นอกจากนี้ โจวเอินไหลยังมีการติดต่อกับประเทศแถบทวีปเอเชียและแอฟริกา โดยเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆในแถบนี้กว่า 24 ประเทศ และในขณะเดียวกัน โจวเอินไหลผู้นี้เช่นกันที่เจรจาปัญหาชายแดนระหว่างจีนกับพม่าและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆได้เป็นผลสำเร็จด้วย
ผู้นำโจวยังเป็นผู้ประคับประคองประเทศจีนในช่วงระหว่าง 10 ปี ของการปฎิวัติวัฒนธรรม (ค.ศ.1966-1976) แม้กิจการระหว่างประเทศของจีนตกอยู่ใต้อิทธิพลของกระแสนิยมซ้ายจัด งานด้านการเสริมสร้างสันถวไมตรีกับนานาชาติเป็นไปอย่างยากลำบาก ถึงกระนั้น โจว เอินไหลยังคงมุมานะเดินหน้าจับมือสร้างสัมพันธ์กับมิตรประเทศมาตลอด จนเมื่อสิ้นสุดการปฏิวัติวัฒนธรรมในปีค.ศ.1976 จีนได้เปิดสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศต่างๆจากเดิม 49 ชาติเพิ่มขึ้นเป็นถึง 107 ชาติ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังผลักดันสมาชิกภาพในองค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น จนกระทั่งในปี 1971 จีนก็ได้เป็นสมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งยูเอ็น แทนที่สาธารณรัฐจีน หรือไต้หวัน
โจวยังเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและจีนในวันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ.1975 ด้วย
กล่าวได้ว่าการที่จีนมีสถานภาพและผงาดบนเวทีโลกในทุกๆด้าน มาจากความสามารถและความบากบั่นของบุรุษที่ชื่อโจวเอินไหลผู้นี้เป็นสำคัญ
นายกโจวยืนยันมาโดยตลอดว่า การจะทำให้จีนเป็นประเทศสังคมนิยมที่เข้มแข็ง ปัจจัยสำคัญคือความทันสมัยด้านวิทยาศาสตร์ และการสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจก็จำเป็นต้องเริ่มจากพื้นฐานที่แท้จริงของจีนเอง พร้อมๆกับแสวงหาความสมดุล กลมกลืน สันติสุขร่วมกับนานาประเทศ
สำหรับชีวิตส่วนตัวแล้ว โจวแต่งงานกับสหายเติ้ง อิ่งเชาในปี 1925 และเป็นคู่ทุกข์คู่ยากจนจวบสิ้นอายุขัย โจว เอินไหลเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในวันที่ 8 มกราคม 1976 (พ.ศ.2519) ที่กรุงปักกิ่ง ในวัย 78 ปี ท่ามกลางความโศกเศร้าของชาวจีนทั่วโลก ที่อาลัยรักนายกรัฐมนตรีผู้อุทิศแรงกายแรงใจ สร้างคุณูปการแด่ชาติบ้านเมืองอย่างเหลือล้น .