ช่วงนี้เป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ของชาวจีน หลายท่านคงอร่อยกับการกินขนมไหว้พระจันทร์แต่พึงระมัดระวังอย่ากินจนเกินกว่าที่ร่างกายจะทนรับได้ เพราะมีสถิติน่าตกใจว่าในช่วงเทศกาลต่างๆ ของจีนแต่ละครั้งมีคนที่กินมากเกินไปแบบไม่รู้จักยั้งกระทั่งล้มป่วยหรือเสียชีวิต
วันไหว้พระจันทร์ของจีนเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ หรือเป็นวันกลางฤดูเก็บเกี่ยวชาวจีนเรียก จงชิวเจี๋ย中秋节Zhong qiu jié ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๕ กันยายนคือเมื่อคืนวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนปฏิทินไทยตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐
จีนมี ๔ ฤดูเหมือนกับฝรั่งได้แก่
ชุน 春Chun = Spring วสันต์
เซี่ย夏Xià = Summer คิมหันต์
ชิว秋Qiu = Autumn ?
ตง冬Dong = Winter เหมันต์
ไทยมีเพียง ๓ ฤดูคือฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ด้วยเหตุนี้ ฤดูที่ ๓ ของจีนกับฝรั่งจึงไม่มีคำเฉพาะเจาะจงในภาษาไทยและมักแปลว่าฤดูใบไม้ร่วง ตรงข้ามกับฤดูใบไม้ผลิ(วสันต์)
ท่านผู้แปล “ชิว”เป็นฤดูใบไม้ร่วงคงเป็นผู้ที่มองโลกไม่สดสวยนักเพราะคำนี้ในภาษาจีนหมายถึงฤดูเก็บเกี่ยวอันเป็นช่วงเวลาที่พืชพันธุ์ต่างๆเติบโตจนสมควรที่จะเก็บมาบริโภคได้แล้วและถ้ามีผลดีมากมายจนเกินกว่าที่จะกินหรือใช้หมดก็สามารถเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ที่งดงามสมบูรณ์ดีไว้ใช้เป็นพันธุ์สำหรับเพาะปลูกในโอกาสอันควร
ต่อมายังรู้จักนำพืชผลที่มีมากเกินกินหรือใช้นั้นไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองหรือสินค้าอื่นๆ แต่มีบางคนอุตริไปคิดทำการจนเกินงามกลายเป็นเรื่องคดีความที่ต้องติดตามไล่ล่าจับตัวมาลงโทษ
การที่ชาวจีนมีเทศกาลไหว้พระจันทร์ตั้งแต่ยุคโบราณสืบมาถึงปัจจุบันเพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวเนื่องกับดวงจันทร์ในแง่ดีอยู่หลายเรื่องโดยมีทั้งที่เป็นเทพนิยายและที่เป็นประวัติศาสตร์
ในที่นี้ขอนำเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์มาเล่าให้ท่านทราบคือเมื่อ ค.ศ.๑๓๖๘ ในช่วงเวลาใกล้วันไหว้พระจันทร์ปีนั้น ชาวจีนสามารถลุกฮือขึ้นขับไล่ชาวมองโกลซึ่งข้ามกำแพงเมืองจีนมาปกครองชาวจีนอยู่ได้นานเกือบศตวรรษตั้งแต่ ค.ศ.๑๒๗๑-๑๓๖๘
ก่อนจะถึงวันไหว้พระจันทร์ปีนั้น ชาวจีนได้ส่งขนมถึงกันตามธรรมเนียมโดยมีกระดาษแดงเขียนรหัสลับใส่แนบไปด้วยโดยนัดกันที่จะลุกฮือขึ้นขับไล่ชาวมองโกลและสามารถทำได้สำเร็จด้วย
ชาวจีนจึงไหว้พระจันทร์อย่างภาคภูมิใจในปีนั้นและเห็นว่าเพ็ญเดือน ๘ เป็นคืนเพ็ญที่สวยงามที่สุดตามนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยมีขนมไหว้พระจันทร์ที่เป็นรูปทรงกลมและรสหวานอันสื่อถึงความกลมเกลียวและหวานชื่นแตกต่างจากเดิมที่ไหว้แบบเทพนิยาย
วันไหว้พระจันทร์ของจีนเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ หรือเป็นวันกลางฤดูเก็บเกี่ยวชาวจีนเรียก จงชิวเจี๋ย中秋节Zhong qiu jié ปีนี้ตรงกับวันที่ ๑๕ กันยายนคือเมื่อคืนวันพฤหัสบดีนี้ ส่วนปฏิทินไทยตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๐
จีนมี ๔ ฤดูเหมือนกับฝรั่งได้แก่
ชุน 春Chun = Spring วสันต์
เซี่ย夏Xià = Summer คิมหันต์
ชิว秋Qiu = Autumn ?
ตง冬Dong = Winter เหมันต์
ไทยมีเพียง ๓ ฤดูคือฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ด้วยเหตุนี้ ฤดูที่ ๓ ของจีนกับฝรั่งจึงไม่มีคำเฉพาะเจาะจงในภาษาไทยและมักแปลว่าฤดูใบไม้ร่วง ตรงข้ามกับฤดูใบไม้ผลิ(วสันต์)
ท่านผู้แปล “ชิว”เป็นฤดูใบไม้ร่วงคงเป็นผู้ที่มองโลกไม่สดสวยนักเพราะคำนี้ในภาษาจีนหมายถึงฤดูเก็บเกี่ยวอันเป็นช่วงเวลาที่พืชพันธุ์ต่างๆเติบโตจนสมควรที่จะเก็บมาบริโภคได้แล้วและถ้ามีผลดีมากมายจนเกินกว่าที่จะกินหรือใช้หมดก็สามารถเลือกเก็บเมล็ดพันธุ์ที่งดงามสมบูรณ์ดีไว้ใช้เป็นพันธุ์สำหรับเพาะปลูกในโอกาสอันควร
ต่อมายังรู้จักนำพืชผลที่มีมากเกินกินหรือใช้นั้นไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินทองหรือสินค้าอื่นๆ แต่มีบางคนอุตริไปคิดทำการจนเกินงามกลายเป็นเรื่องคดีความที่ต้องติดตามไล่ล่าจับตัวมาลงโทษ
การที่ชาวจีนมีเทศกาลไหว้พระจันทร์ตั้งแต่ยุคโบราณสืบมาถึงปัจจุบันเพราะมีเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวเนื่องกับดวงจันทร์ในแง่ดีอยู่หลายเรื่องโดยมีทั้งที่เป็นเทพนิยายและที่เป็นประวัติศาสตร์
ในที่นี้ขอนำเรื่องที่เป็นประวัติศาสตร์มาเล่าให้ท่านทราบคือเมื่อ ค.ศ.๑๓๖๘ ในช่วงเวลาใกล้วันไหว้พระจันทร์ปีนั้น ชาวจีนสามารถลุกฮือขึ้นขับไล่ชาวมองโกลซึ่งข้ามกำแพงเมืองจีนมาปกครองชาวจีนอยู่ได้นานเกือบศตวรรษตั้งแต่ ค.ศ.๑๒๗๑-๑๓๖๘
ก่อนจะถึงวันไหว้พระจันทร์ปีนั้น ชาวจีนได้ส่งขนมถึงกันตามธรรมเนียมโดยมีกระดาษแดงเขียนรหัสลับใส่แนบไปด้วยโดยนัดกันที่จะลุกฮือขึ้นขับไล่ชาวมองโกลและสามารถทำได้สำเร็จด้วย
ชาวจีนจึงไหว้พระจันทร์อย่างภาคภูมิใจในปีนั้นและเห็นว่าเพ็ญเดือน ๘ เป็นคืนเพ็ญที่สวยงามที่สุดตามนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยมีขนมไหว้พระจันทร์ที่เป็นรูปทรงกลมและรสหวานอันสื่อถึงความกลมเกลียวและหวานชื่นแตกต่างจากเดิมที่ไหว้แบบเทพนิยาย