เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - จีนประสบความคืบหน้าในการลดอัตราทารกตายคลอด (stillbirth) โดยครองอันดับ 2 ในโลก รองจากเนเธอร์แลนด์
อย่างไรก็ตาม จำนวนทารกตายคลอดต่อปีของจีนยังคงมีมากที่สุดในโลกเป็นอันดับ 4
วารสารทางการแพทย์ แลนเซ็ต (Lancet ) รายงานผลการศึกษา ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 200 คนจากทั่วโลกเข้าร่วม ระบุว่า เมื่อปี 2558 จีนมีทารกตายคลอดเฉลี่ย 7.2 ราย ต่อการเกิด 1,000 ราย โดยทารกตายคลอดหมายถึงการตาย ภายหลังการตั้งครรภ์ 28 สัปดาห์
ขณะที่อัตราทารกตายคลอดในจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากร้อยละ 14.5 ในปี 2543 ลดลงเหลือร้อยละ 4.6 ต่อปีในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม ยอดทารกตายคลอด ราว 122,340 คนในจีนเมื่อปีที่แล้ว ยังนับว่า เป็นจำนวนที่สูง
ขณะที่เขตปกครองพิเศษฮ่องกงมีทารกตายคลอด 167 คนเมื่อปีที่แล้ว จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขที่นั่น โดยทารกตายคลอดตามการจำแนกของฮ่องกงคือภายหลัง 24 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์
จำนวนการเสียชีวิตดังกล่าวคิดเฉลี่ยเท่ากับ 2.7 รายต่อการเกิด 1,000 ราย ขณะที่ไอซ์แลนด์มีอัตราทารกตายคลอดน้อยที่สุดเพียง 1.3 รายในบรรดา 186 ชาติ ที่มีการศึกษาครั้งนี้
ดร. จิ้น จยาเหริน สูตินรีแพทย์เอกชน ซึ่งมิได้ร่วมงานวิจัยดังกล่าวระบุว่า ฮ่องกง ญี่ปุ่น และสิงคโปร์มีอัตราทารกตายคลอดต่ำที่สุดในเอเชีย โดยในประเทศที่เจริญแล้ว หากหญิงตั้งครรภ์เข้ารับการตรวจครรภ์และดูแลป้องกันอย่างสม่ำเสมอ อัตราทารกคลอดย่อมเพิ่มขึ้นได้ยาก
ผลการศึกษาล่าสุดนี้ตั้งข้อสังเกตว่า แม้อัตราเฉลี่ยทารกตายคลอดทั่วโลกลดลงจาก 24.7 ในปี 2543 เหลือ 18.4 ในปี 2558 อย่างไรก็ตาม ยังคงมีรายงานทารกตายคลอดมากถึงปีละ 2 ล้าน 6 แสนรายในทั่วโลก โดยร้อยละ 98 พบในชาติที่ประชากรมีรายได้ต่ำ และปานกลาง ปากีสถานมีอัตราทารกตายคลอดสูงที่สุดในโลก คือ 43.1 รายต่อการเกิด 1,000 ราย
ผลการศึกษายังมีการวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยง ที่ทำให้เกิดทารกตายคลอดในทั่วโลกเป็นครั้งแรกอีกด้วยว่า สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน และการขาดการเข้ารับบริการวางแผนครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่หญิงตั้งครรภ์ ที่มีอายุมาก หรืออายุน้อยเกินไป
การสูญเสียบุตรอาจเป็นความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง โดยพบว่า มีหญิงอย่างน้อย 4 ล้าน 2 แสนคนตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า โศกเศร้า และเก็บตัว ภายหลังทารกเสียชีวิต
