เซาท์ไชน่า มอร์นิ่งโพสต์/เอเจนซี่ - ปฎิบัติการปราบโรงงานต้นเหตุมลพิษในเมืองหลินอี๋ มณฑลซันตง จำนวน 57 แห่งเพื่อลดฝุ่นละเอียด หรือ PM 2.5 กำลังก่อปัญหาต่อเศรษฐกิจ และความมั่นคงในสังคมท้องถิ่น
สื่อจีนรายงานว่า การประกาศสงครามกับมลภาวะในประเทศจีน นำไปสู่การสั่งปิดโรงงานที่ก่อปัญหามลภาวะหลายแห่งในมณฑลซันตง ทำให้โรงงานเหล่านั้นไม่สามารถหาเงินมาชำระหนี้ของตน และส่งผลให้บรรดาคนงานพากันตกงาน
หลังจากที่ ผู้ว่าราชการจังหวัดหลินอี๋ ถูกกระทรวงพิทักษ์สิ่งแวดล้อมเรียกให้เข้าพบ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัญหามลภาวะท้องถิ่นในหลินอี๋ รัฐบาลท้องถิ่นก็ได้สั่งให้โรงงานต่างๆจำนวน 57 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตเหล็ก เซรามิค แก้ว และถ่านหินโค๊ก หยุดกิจการตั้งแต่เดือน มี.ค. ที่ผ่านมา โดยหลังจากที่โรงงานเหล่านั้นหยุดการผลิต ก็พบว่าคุณภาพอากาศในเมืองพัฒนาขึ้นอย่างมาก ผลการสำรวจชี้ว่าระดับ PM2.5 ลดลงถึง 24.3 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม สื่อท้องถิ่นรายงานว่า คำสั่งดังกล่าวทำให้คนงานตกงานราว 60,000 คน นอกจากนี้ ทางตำรวจเปิดเผยว่า หลายเดือนที่ผ่านมา มีคดีอาชญากรรม ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์มากขึ้นกว่าปกติ
ด้านโรงงานต่างๆก็ไม่สามารถจำหน่ายสินค้า เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ได้ รายงานระบุว่า รัฐบาลท้องถิ่นหลินอี๋พยายามบรรเทาผลกระทบจากคำสั่งฯ โดยได้อัดฉีดเงิน 70 ล้านหยวน หรือราว 350 ล้านบาทให้แก่บริษัทเอกชนแห่งใหญ่รายหนึ่งในเดือนที่แล้ว เพื่อให้นำไปชำระหนี้ซึ่งครบกำหนดชำระ
โรงงานหลายแห่งร้องเรียนว่าคำสั่งปิดโรงงานกระทันหันเกินไป ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออุปกรณ์การผลิตต่างๆ โดยโรงงานผลิตกระจกแห่งหนึ่งถูกตัดไฟ ขณะกำลังหลอมแก้วและดีบุก ราว 2,000 ตันในเตาหลอม ส่วนโรงงานผลิตแก้วอีกแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า จำเป็นต้องใช้เงินทุนจำนวนมหาศาล เพื่อที่จะจุดเตาหลอมใหม่อีกครั้งหนึ่ง
สื่อจีนระบุว่าบรรดาสินค้าที่อยู่ในเมืองหลินอี๋ มูลค่านับ 3 แสนล้านหยวนหรือราว 1.5 ล้านล้านบาท มีสินค้ามูลค่าราวแสนล้านหยวน หรือราว 5 แสนล้านบาทมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับโรงงานที่ถูกสั่งหยุดดำเนินกิจการ ซึ่งหากโรงงานเหล่านี้ไม่สามารถปฎิบัติตามสัญญาได้ อาจเกิดปัญหาขาดแคลนสินค้าในไม่ช้า
รายงานระบุว่า โรงงานส่วนใหญ่ไม่ได้ผ่านการตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก่อนที่จะเปิดดำเนินการ เนื่องจาก รัฐบาลท้องถิ่นซึ่งชักชวนให้พวกเขาเข้ามาลงทุนในเมืองหลินอี๋ รับปากว่าจะจัดการ “งานเอกสาร” ต่างๆให้ โรงงานบางแห่งเปิดใจว่ารู้สึกเหมือนถูกรัฐบาลท้องถิ่นหักหลัง