ซีซีทีวี/พีเพิลเดลี - สองสามีภรรยาแดนมังกรเสี่ยงชีวิตวิ่งปลุกเพื่อนบ้านจ้าละหวั่น อพยพหนีทันเวลาก่อนตึกสูงพังถล่มลงมาทั้งหลัง
สื่อทางการจีนเผย (11 มิ.ย.) คู่หูฮีโร่คือ นายจี หยวนขุย และนางลั่ว ไคซู่ ผู้พักอาศัยอยู่ในร้านขายของชำที่ตั้งอยู่ชั้นล่างสุดของอพาร์ทเมนท์ความสูง 7 ชั้น ในเขตไห่ชวน เมืองจวินอี้ มณฑลกุ้ยโจวทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ
นางลั่วเล่าว่า ตนเองตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงดังนอกหน้าต่างร้าน และคิดว่าเป็นพวกขโมยเลยปลุกสามีให้ช่วยไปสอดส่องแต่ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ ต่อมาได้ยินเสียงดังขึ้นอีกครั้งจึงสำรวจอย่างละเอียดจนพบรอยร้าวบนกำแพงที่ทยอยปริแตกออกมา
ทันทีทันใดทั้งสองก็วิ่งตะลุยเคาะทุกบานประตู ปลุกเพื่อนบ้านละแวกห้องใกล้เคียงรีบอพยพเร่งด่วน ก่อนจะฝ่าฟันเอาเป็นเอาตายขึ้นไปถึงห้องพักชั้นหก เพื่อช่วยลูกสามคนของพวกเขาลงมาจากตึก กระทั่งราว 30 นาทีถัดมา อาคารทั้งหลังก็พังครืนเหลือแต่ซากปรักหักพัง
โชคดีที่เหตุสะเทือนขวัญซึ่งเกิดขึ้นเมื่อเวลา 02.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นของวันอังคาร (9 มิ.ย.) ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยชาวบ้านที่อาศัยอยู่บนตึกรวม 68 คน ต่างหลบหนีเอาชีวิตรอดทันการณ์ทั้งหมด
ผลการสอบสวนเบื้องต้นชี้สาเหตุจากฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน ทำให้รากฐานของอาคารทรุดตัวลง ประกอบกับวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็ไม่ได้มาตรฐาน โดยการสืบประวัติพบว่าการก่อสร้างครั้งแรกในปี 2538 สูงเพียงสามชั้นเท่านั้น แต่ลักลอบต่อเติมอย่างผิดกฎหมายเป็นเจ็ดชั้นในปี 2548
ปัจจุบันผู้ประสบภัยได้รับการแจกจ่ายเงินบรรเทาทุกข์จากรัฐบาลท้องถิ่น ครัวเรือนละ 10,000 หยวน (ราว 5 หมื่นบาท) ส่วนเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างก็ถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมแล้ว
“แม้จะไร้บ้านเป็นหลักแหล่งและสูญเสียทรัพย์สินมีค่า แต่โชคดีที่ยังมีลมหายใจเพราะมีเพื่อนบ้านดีๆ” หยัง ปิง หนึ่งในผู้รอดชีวิตกล่าว ด้านนายจีและนางลั่วก็เสียร้านขายของซึ่งเก็บสินค้ามูลค่ามากกว่า 1 แสนหยวน (ราว 5 แสนบาท) ไปด้วย
ชาวเน็ตบนเว็บไซต์เวยปั๋ว (คล้ายทวิตเตอร์) ก็พากันแสดงความเห็นเกี่ยวกับข่าวนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นร้อนบนโลกออนไลน์จีนอยู่ในเวลานี้
“พวกเขายอมเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยเหลือคนอื่น สุดยอดคนดี!”
“อาคารถูกต่อเติมโดยไม่ได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลได้ยังไง? นี่คือตัวอย่างของการเพิกเฉยละเลยรึเปล่า?”
“ควรเป็นเจ้าของตึกที่ต้องจ่ายเงินชดเชย … แต่รัฐบาลท้องถิ่นก็ควรรับผิดชอบบางส่วนด้วยเช่นกัน”