เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - ชาวมุสลิมเชื้อสายอุยกูร์หัวรุนแรงในภูมิภาคซินเจียง ข้ามน้ำข้ามทะเลไปฝึกฝนการก่อการร้ายที่ตะวันออกกลาง และบางคนเข้าร่วมรบในสงคราม ที่ระเบิดขึ้นหลายประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีเรีย ซึ่งได้กลายเป็นค่ายฝึกฝนชั้นเยี่ยม
จากการเปิดเผยของนายอู๋ ซือเคอ ทูตพิเศษฝ่ายกิจการตะวันออกกลางของจีนเมื่อวันจันทร์ ( 28 ก.ค.) เวลานี้รัฐบาลปักกิ่งกำลังวิตกกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับพวกหัวรุนแรง ที่เข้าไปร่วมสู้รบในสงครามที่ซีเรียและอิรัก
นายอู๋ ซึ่งเพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนภูมิภาคตะวันออกกลางระบุว่า หลายพื้นที่ ซึ่งกำลังร้อนระอุในตะวันออกกลางกำลังเป็นที่อาศัยสำหรับกลุ่มก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามกลางเมืองในซีเรียได้เปลี่ยนให้ประเทศแห่งนี้กลายเป็นสนามฝึกสำหรับพวกหัวรุนแรงจากหลายชาติ
“พวกหัวรุนแรงเหล่านี้มาจากชาติอิสลาม ทวีปยุโรป ทวีปอเมริกาเหนือและจีน เมื่อถูกปลูกฝังอุดมการณ์แล้ว ก็จะเดินทางกลับประเทศ และกลายเป็นภัยอันตรายต่อความมั่นคงของชาติเหล่านั้น” นายอู๋ระบุ
ทั้งนี้ ดินแดนซินเจียง ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของจีน เป็นถิ่นอาศัยของชาวมุสลิมอุยกูร์ ซึ่งพูดภาษาเตอร์กิก และเกิดเหตุการณ์ไม่สงบมานานหลายปีแล้ว ซึ่งรัฐบาลปักกิ่งกล่าวโทษว่า เป็นฝีมือของผู้ก่อการร้ายมุสลิม ซึ่งต้องการสถาปนารัฐเตอร์กิสถานตะวันออก
แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายคน ซึ่งอยู่นอกแดนมังกร กังขาว่า กลุ่มคนในซินเจียงจะมีความสามารถทำได้อย่างที่ปักกิ่งกล่าวหาจริงหรือ ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็คือมีชาวอุยกูร์จำนวนหนึ่งเดินทางไปอัฟกานิสถานและปากีสถานในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
นายอู๋มิได้ระบุว่า พลเมืองจีนเชื้อสายอุยกูร์ ที่ไปร่วมรบ หรือฝึกการก่อการร้ายมีจำนวนเท่าใด แต่จากรายงานของสำนักข่าวต่างประเทศมีอยู่ประมาณ 100 คน เขาได้หยิบยกปัญหานี้ขึ้นมาหารือระหว่างเยือนตะวันออกกลาง โดยเฉพาะที่ตุรกี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของชาวอุยกูร์พลัดถิ่นมากมาย
ด้านหน่วยข่าวกรองของสหรัฐฯ ประเมินว่า พวกหัวรุนแรง ที่สู้รบในซีเรียราว 7,000-23,000 คนเป็นนักรบต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากยุโรป
ทูตพิเศษของจีนระบุว่า รัฐบาลปักกิ่งจะทำทุกวิถีทาง เพื่อช่วยชาติในตะวันออกกลางต่อสู้กับการก่อการร้าย เนื่องจากจะเป็นผลดีต่อจีน ซึ่งตกเป็นเหยื่อของการก่อการร้ายด้วยเช่นกัน โดยจีนมีความเป็นห่วงสถานการณ์ในอิรักขณะนี้ หลังจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) บุกยึดเมืองทางภาคเหนือและประกาศตั้งรัฐอิสลาม ซึ่งคร่อมดินแดนทางตอนเหนือของซีเรีย ที่ไอเอสยึดมาได้อีกด้วย
ปัจจุบันจีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอิรัก นอกจากนั้น รัฐวิสาหกิจน้ำมันของจีน ซึ่งรวมทั้งบริษัทปิโตรไชน่า ซิโนเปกกรุ๊ป และซีนุก ยังมีโครงการน้ำมันรวมกันมากถึง 1 ใน 5 ของโครงการน้ำมันในอิรักทั้งหมด หลังจากชนะการประมูลในปี 2552
อย่างไรก็ตาม นายอู๋ มีความเชื่อมั่นว่า อิรักจะประสบความสำเร็จในการสร้างความปรองดองทางการเมืองและการพัฒนาด้านเศรษฐกิจ อีกทั้งมีความเชื่อมั่นในอนาคตความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างกัน
สำหรับนายอู๋นั้น เขาเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการทูตในตะวันออกกลางมานานถึง 40 ปี และพูดภาษาอาหรับได้ โดยเคยไปเรียนหนังสือที่อิรักในช่วง 30 ปีที่แล้ว