เอเอฟพี - สืบเนื่องจากสื่อแดนมังกรแห่งหนึ่ง ได้นำเสนอข่าวการบีบบังคับนักศึกษาฝึกงานในโรงงานฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn) เมืองเยียนไถ ต้องทำงานล่วงเวลารวมกว่า 10 ชั่วโมงต่อวัน จนเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ทั่วสังคมจีน
ล่าสุด ทางต้นสังกัดของโรงงานผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิคส์ชื่อดังแห่งนี้ ได้ออกมายอมรับกรณีอื้อฉาวดังกล่าวแล้ว
รายงานข่าว (11 ต.ค.) อ้างแถลงการณ์ของฟ็อกซ์คอนน์ที่เผยแพร่เมื่อวันพฤหัสบดี (10 ต.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งมีใจความว่า “จากกรณีข้อกล่าวหาล่าสุด ซึ่งเกี่ยวข้องกับโครงการฝึกงาน ณ โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ มณฑลซานตงนั้น เราได้ดำเนินการสอบสวนรายละเอียดเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยอมรับว่าพบการทำงานเกินเวลาของนักศึกษาฝึกงานจริง ทว่า มิได้เป็นไปโดยการบีบบังคับจากบริษัทให้ปฏิบัติแต่อย่างใด”
“อย่างไรก็ตาม เราจะป้องกันไม่ให้เกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นอีก”
แถลงการณ์ฉบับดังกล่าวถูกปล่อยออกมา หลังจากออเรียลทอล มอร์นิ่งโพสต์ สื่อจีน รายงานว่า มหาวิทยาลัยด้านวิศวกรรมสารสนเทศบางแห่งในเมืองซีอัน มณฑลส่านซี บังคับให้นักศึกษาเข้าร่วมโครงการฝึกงาน เพื่อสำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร ที่โรงงานฟ็อกซ์คอนน์ในเมืองเยียนไถ มณฑลซานตง
นอกจากนี้ นักศึกษาจีนบางคนเผยอีกว่า พวกเขาต้องทำงานเป็นคนงานประกอบเครื่องเล่นเกมส์เพลย์สเตชั่น 4 (PlayStation 4) ของโซนี่ แทนการทำงานในแผนกที่เกี่ยวข้องกับสาขาวิชาที่ตนร่ำเรียนมา แถมบางครั้งก็ถูกบังคับให้ทำงานติดกันนานกว่า 11 ชม./วันอีกด้วย และเมื่อบางคนต้องการออกจากการฝึกงานฯ กลับได้รับแจ้งว่า จะไม่ผ่านในวิชาฝึกงานและอาจไม่จบการศึกษาได้
ขณะที่ฟ็อกซ์คอนน์ชี้แจงในประเด็นร้อนนี้ว่า “บริษัทยึดมั่นการดำเนินนโยบายการทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการทำงานล่วงเวลาหรือข้ามวันข้ามคืน โดยเฉพาะในกลุ่มนักศึกษาฝึกงาน และย้ำว่านักศึกษาทุกคนสามารถขอยุติการเข้าร่วมฝึกงานได้ตลอดเวลา”
ทั้งนี้ ฟ็อกซ์คอนน์ (Foxconn / 富士康科技集团) เป็นบริษัทในเครือของหงไห่ พรีซีชัน อินดัสทรีแห่งไต้หวัน (Hon Hai Precision Industry Co / 鸿海科技集团) ผู้ผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ระดับโลก มีลูกค้าชื่อดัง อาทิ แอปเปิล โซนี่ อินเทล และโนเกีย เป็นต้น จัดตั้งโรงงานตามเมืองต่างๆ ทั่วประเทศจีน และมีการจ้างแรงงานมากกว่า 1.2 ล้านคน โดยโรงงานหลักอยู่ที่ ฟ็อกซ์คอนน์ ซิตี้ (Foxconn City) ในเมืองเซินเจิ้น มณฑลก่วงตง (กวางตุ้ง) ซึ่งมีคนงานกว่า 400,000 คน
อย่างไรก็ดี ฟ็อกซ์คอนน์ ตกเป็นที่เพ่งเล็งอย่างหนักจากสังคม หลังเกิดเหตุฆ่าตัวตายและการประท้วงหยุดงานของคนงานจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยในปี 2553 แรงงานชาวจีนอย่างน้อย 13 ราย เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย ซึ่งนักสิทธิมนุษยชนระบุว่า เป็นเพราะสภาพการทำงานที่ตึงเครียดและกดดันมากเกินไป จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์และเรียกร้องการปรับปรุงและดูแลสวัสดิภาพการทำงานให้ดีขึ้น จนสุดท้ายเหล่าผู้บริหารยอมแก้ไขสถานการณ์และปรับค่าจ้างในโรงงานจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 70
