ASTV ผู้จัดการออนไลน์ -ทำเนียบขาวสบโอกาสที่จะได้สำแดงบทบาท ‘ตำรวจโลก’ อีกครั้ง เมื่อชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลในสหรัฐอเมริกาล่ารายชื่อเกินแสนคน เรียกร้องให้ประธานาธิบดีโอบามาช่วยรื้อฟื้นคดี จู ลิ่ง (朱令) อดีตนักศึกษา สาขาเคมีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยชิงหวา (清华大学) ได้รับสารทัลเลียม (thallium) สารเคมีพิษสงร้ายแรงที่มักถูกใช้เป็นยาพิษสังหาร กระทั่งสูญเสียความสามารถทางสติปัญญาและเป็นอัมพาตเมื่อ 19 ปีที่แล้ว หลังเกิดเหตุอุกอาจซ้ำรอยที่มหาวิทยาลัยฝูตั้น (复旦) เร็วๆ นี้

“เราขอแจ้งข่าวโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งให้กับบุคลากรมหาวิทยาลัยฝูตั้นและผู้คนในสังคมด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” คือ ถ้อยความประโยคแรกที่คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เขียนประกาศแจ้งต่อสาธารณชนเมื่อเวลาสี่ทุ่ม วันที่ 15 เม.ย. 56 หลังจากที่ความพยายามกู้ชีพ ฮวง หยาง (黄洋) นักศึกษาแพทย์ปริญญาเอก สาขาหูคอจมูก ซึ่งได้รับอันตรายจากสาร N-Nitrosodimethylamine ที่ถูกผสมในน้ำดื่ม ต้องประสบกับความล้มเหลว


ภายหลังการสอบสวนพบว่า หลิน โหมว (林某) นักศึกษาแพทย์ปริญญาโท สาขารังสีวินิจฉัย อายุ 27 ปี เพื่อนร่วมห้องพักเดียวกันกับฮวง หยาง ต้องสงสัยว่าเป็น ‘ฆาตรกรเลือดเย็น’ ที่ลักลอบนำสาร N-Nitrosodimethylamine ซึ่งเหลือจากการทดลองเมื่อเที่ยงวันที่ 31 มี.ค. 56 แอบมาใส่ในถังน้ำดื่มที่ห้องพักในเช้าวันที่ 1 เม.ย. 56 อันเป็นเหตุฮวง หยางเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเป็นไข้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ภายหลังเข้าตรวจที่โรงพยาบาลฟู่ฉู้จงซาน (附属中山医院) ของมหาวิทยาลัย ฝูตั้น จึงพบว่าตับได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ส่งผลให้เลือดกำเดาไหล และหมดสติไปตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 56 แม้ว่าคณะแพทย์จะช่วยกันกู้ชีพจนสุดความสามารถ แต่ร่างกายของฮวง หยางก็มิอาจทนพิษต่อไปได้ กระทั่งสิ้นลมภายในคืนวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา

สำหรับเหตุจูงใจนั้น หลิน โหมว เผยว่า ส่วนหนึ่งมาจากความเครียดที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ดังเช่นข้อความที่เขาโพสต์ไว้ที่เว็บไซต์ซินหลังเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 55 ความว่า “ไร้ความกตัญญูมี 3 ประการ: เรียนแพทย์ ต่อปริญญาโท โสด” หลิน โหมว เปรียบตัวเองเป็น ‘ชายหงส์’ (凤凰男) ที่มีพื้นฐานครอบครัวมาจากชนบท แต่ด้วยความมานะบุกบั่นของตัวเองจึงสามารถเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองใหญ่ได้ ปัจจุบันถึงวัยที่พ่อแม่เร่งรัดเรื่องคู่ครอง ในขณะที่ตัวเขาพ่ายรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้ง สภาวะแวดล้อมการประชันขันแข่งของบรรดาหัวกะทิ ก็สร้างความกังวลใจให้กับเขาเรื่องบรรจุเข้างานหลังจบการศึกษาเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮวง หยางก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มักจะมีปากสียงกันบ่อยครั้ง อันเป็นชนวนให้ต่างฝ่ายต่างลบชื่อของกันและกันออกจาก QQ ระบบแชทของจีนได้เกือบครึ่งปีแล้ว
กระทั่งล่าสุด ทั้งคู่มีความเห็นไม่ลงรอยกันเรื่อง การออกเงินร่วมกันซื้อถังน้ำดื่มเข้ามาไว้ในห้องพัก จึงเป็นเหตุให้ฮวง หยางลงทุนซื้อมาดื่มเอง ในขณะที่หลิน โหมวเลือกที่จะไปกดจากถังน้ำดื่มสาธารณะภายในอาคาร

แม้ว่าสาเหตุความขัดแย้งระหว่างผู้ต้องสงสัยกับผู้ตายจะยังดูคลุมเครือ แต่สิ่งที่กระจ่างชัดจากคำให้การของบุคคลใกล้ชิดก็คือ ผู้ต้องสงสัยเป็นบุคคลสองบุคลิก ในทัศนะของคณาจารย์ หลิน โหมว คือ นักศึกษาหัวกะทิ ผู้มีคะแนนดีเลิศ ทั้งยังเป็นรองประธานสโมสรนักศึกษา “แม้จะมีผู้ผ่านการคัดการเลือกให้บรรจุเป็นแพทย์เพียง 6 คน จากผู้มาฝึกทั้งหมด 10 คน และแม้ว่ากว่าครึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกก็ตาม แต่ด้วยความสามารถส่วนตัวของหลิน โหมวก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล อีกทั้งทางเราก็ขาดแคลนสาขาที่เขาเรียน” ในทัศนะของพี่สาว “เขาเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจงดงาม” ในทัศนะของแม่ “เขาไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับเด็กๆ ในหมู่บ้านเลย”

ทว่า ในทัศนะของเพื่อนนักศึกษา หลิน โหมว คือ บุคคลที่มีบุคลิกซับซ้อน และชอบดูถูกตัวเอง “ในชั้นเรียนเขามักจะแสดงความสามารถด้วยความมั่นใจจนล้น แต่กับเพื่อนเขามักเก็บตัว และไม่โต้ตอบเวลาหยอกล้อ” จะอย่างไรก็ตาม การที่หลิน โหมวเลือกใช้วัน “เมษาหน้าโง่” (愚人节หรือ April Fool's Day) ลงมือใส่สารพิษลงในถังน้ำดื่ม เพื่อหวังปลิดชีวิตเพื่อนร่วมห้อง ทั้งยังส่งผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล ตรวจเอ็กซเรย์ และเฝ้าไข้ด้วยตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ ยากแก่การสงสัย ขณะเดียวกันก็ยังมีกำลังใจโอ้อวดกับเพื่อนๆ เรื่องบทความที่ได้ตีพิมพ์ถึง 8 ฉบับนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติทางจิตไม่น้อย

แม้ว่า ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตรกรรมนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยฝูตั้นจะได้รับการควบคุมตัว และกำลังสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไปแล้วก็ตาม แต่ความคล้ายคลึงกันของรูปคดี กลับทำให้เกิดกระแสรื้อฟื้นคดีวางยาพิษนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาอีกครั้ง


... เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 จู ลิ่ง อดีตนักศึกษาปริญญาตรี สาขาเคมีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยชิงหวา ได้รับสารทัลเลียมจากผู้ไม่ประสงค์ดี กระทั่งเป็นอัมพาต และไร้ความสามารถทางสติปัญญา ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมา 19 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้ ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยซุน เวย (孙维) นักศึกษาร่วมชั้นของเธอ ยังคงลอยนวลจวบจนถึงปัจจุบัน

ทั้งนี้ เป็นที่กล่าวกันอย่างมากว่า ด้วยอิทธิพลของครอบครัวซุน ทำให้มหาวิทยาลัยมิอาจยับยั้งการออกปริญญาบัตร ทั้งยังเร่งรัดให้ตำรวจเร่งปิดคดีอย่างเงียบเชียบ จึงสร้างความไม่พอใจให้กับญาติสนิทมิตรสหายของจู ลิ่ง และชมรมช่วยเหลือจู ลิ่ง เป็นอย่างมาก ยังเหตุให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลในสหรัฐฯ กว่าแสนคนลงนามในจดหมายเรียกร้องต่อทำเนียบให้มีการดำเนินคดีกับ ซุน เวย ผู้ต้องสงสัยวางยาพิษจู ลิ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา

เหตุการณ์ซ้ำรอยดังกล่าว ล้วนชวนให้ตั้งคำถามต่อระบบการศึกษาจีนและสังคมจีนในสองแง่มุมหลัก
ประเด็นแรก เกิดอะไรขึ้นกับระบบตรวจการของห้องทดลองวิทยาศาสตร์ในสถาบันการศึกษาชั้นนำของเมืองจีน? หลังเกิดคดี จู ลิ่ง ในปีพ.ศ. 2537 มหาวิทยาลัยชิงหวาเคยออกมายอมรับว่า เป็นความบกพร่องของคณาจารย์ที่ไม่ได้ตรวจสอบการนำสารพิษเข้าออกห้องทดลอง ยังเหตุให้ปัจจุบันนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ต้องประสบกับความซับซ้อนในการลงทะเบียนยืมสารเคมีเพื่อทำการทดลองเป็นอย่างมาก กระทั่งหลายคนไม่ปฏิเสธว่าเคยซื้อและลักลอบนำเข้ามาจากข้างนอก เพื่อหลบเลี่ยงความยุ่งยากดังกล่าว กระนั้น หลิน โหมวก็ใช้ความไว้วางใจที่อาจารย์มอบให้ ลักลอบสารพิษออกจากห้องได้โดยไม่มีผู้สงสัย
ประเด็นที่สอง เกิดอะไรขึ้นกับมาตรฐานทางจริยธรรมในระบบการศึกษาจีน ฤาว่าการเรียนปริญญาตรีสายแพทย์ 5 ปี ปริญญาโทอีก 4 ปี มิได้มีส่วนช่วยให้หลิน โหมวมีเมตตาธรรม อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้เป็นแพทย์พึงมี ฤาว่าการเรียนแพทย์อย่างคร่ำเคร่งตลอดเวลา 9-10 ปี มิได้ช่วยให้ฮวง หยาง และหลิน โหมว มีวุฒิภาวะมากพอที่จะแก้ไขปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยความสันติ ฤาว่าไม่มีการบรรจุหลักสูตรจริยธรรมลงในสาขาเคมีฟิสิกส์ จึงทำให้ซุน เวย เพื่อนสนิทชิดใกล้ไม่ ‘กลัว’ที่จะนำสารพิษมาทำร้ายจู ลิ่ง และไม่ ‘อาย’ ที่จะเร่งเร้าให้มหาวิทยาลัยออกปริญญาบัตรให้ แม้ว่าจะมีการปฏิเสธหลายครั้งก็ตาม หรือหากปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบการศึกษาจริง สิ่งที่พึงใส่ใจมากกว่านั้นก็คือ สภาพสังคมจีนอันตึงเครียดในปัจจุบัน ได้กดดันให้นักศึกษาหัวกะทิเหล่านี้หมกมุ่นกับการแก่งแย่งชิงดีจนมืดบอด เพราะไร้ที่พึ่งทางจิตใจ เช่น ศาสนา หรือ ปรัชญา....
“เราขอแจ้งข่าวโศกนาฏกรรมเรื่องหนึ่งให้กับบุคลากรมหาวิทยาลัยฝูตั้นและผู้คนในสังคมด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง” คือ ถ้อยความประโยคแรกที่คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยได้เขียนประกาศแจ้งต่อสาธารณชนเมื่อเวลาสี่ทุ่ม วันที่ 15 เม.ย. 56 หลังจากที่ความพยายามกู้ชีพ ฮวง หยาง (黄洋) นักศึกษาแพทย์ปริญญาเอก สาขาหูคอจมูก ซึ่งได้รับอันตรายจากสาร N-Nitrosodimethylamine ที่ถูกผสมในน้ำดื่ม ต้องประสบกับความล้มเหลว
ภายหลังการสอบสวนพบว่า หลิน โหมว (林某) นักศึกษาแพทย์ปริญญาโท สาขารังสีวินิจฉัย อายุ 27 ปี เพื่อนร่วมห้องพักเดียวกันกับฮวง หยาง ต้องสงสัยว่าเป็น ‘ฆาตรกรเลือดเย็น’ ที่ลักลอบนำสาร N-Nitrosodimethylamine ซึ่งเหลือจากการทดลองเมื่อเที่ยงวันที่ 31 มี.ค. 56 แอบมาใส่ในถังน้ำดื่มที่ห้องพักในเช้าวันที่ 1 เม.ย. 56 อันเป็นเหตุฮวง หยางเกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน และเป็นไข้ในเช้าวันรุ่งขึ้น ภายหลังเข้าตรวจที่โรงพยาบาลฟู่ฉู้จงซาน (附属中山医院) ของมหาวิทยาลัย ฝูตั้น จึงพบว่าตับได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ส่งผลให้เลือดกำเดาไหล และหมดสติไปตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 56 แม้ว่าคณะแพทย์จะช่วยกันกู้ชีพจนสุดความสามารถ แต่ร่างกายของฮวง หยางก็มิอาจทนพิษต่อไปได้ กระทั่งสิ้นลมภายในคืนวันที่ 15 เม.ย. ที่ผ่านมา
สำหรับเหตุจูงใจนั้น หลิน โหมว เผยว่า ส่วนหนึ่งมาจากความเครียดที่ต้องเผชิญกับแรงกดดันรอบด้าน ดังเช่นข้อความที่เขาโพสต์ไว้ที่เว็บไซต์ซินหลังเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 55 ความว่า “ไร้ความกตัญญูมี 3 ประการ: เรียนแพทย์ ต่อปริญญาโท โสด” หลิน โหมว เปรียบตัวเองเป็น ‘ชายหงส์’ (凤凰男) ที่มีพื้นฐานครอบครัวมาจากชนบท แต่ด้วยความมานะบุกบั่นของตัวเองจึงสามารถเข้ามาเรียนหนังสือในเมืองใหญ่ได้ ปัจจุบันถึงวัยที่พ่อแม่เร่งรัดเรื่องคู่ครอง ในขณะที่ตัวเขาพ่ายรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกทั้ง สภาวะแวดล้อมการประชันขันแข่งของบรรดาหัวกะทิ ก็สร้างความกังวลใจให้กับเขาเรื่องบรรจุเข้างานหลังจบการศึกษาเป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฮวง หยางก็ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มักจะมีปากสียงกันบ่อยครั้ง อันเป็นชนวนให้ต่างฝ่ายต่างลบชื่อของกันและกันออกจาก QQ ระบบแชทของจีนได้เกือบครึ่งปีแล้ว
กระทั่งล่าสุด ทั้งคู่มีความเห็นไม่ลงรอยกันเรื่อง การออกเงินร่วมกันซื้อถังน้ำดื่มเข้ามาไว้ในห้องพัก จึงเป็นเหตุให้ฮวง หยางลงทุนซื้อมาดื่มเอง ในขณะที่หลิน โหมวเลือกที่จะไปกดจากถังน้ำดื่มสาธารณะภายในอาคาร
แม้ว่าสาเหตุความขัดแย้งระหว่างผู้ต้องสงสัยกับผู้ตายจะยังดูคลุมเครือ แต่สิ่งที่กระจ่างชัดจากคำให้การของบุคคลใกล้ชิดก็คือ ผู้ต้องสงสัยเป็นบุคคลสองบุคลิก ในทัศนะของคณาจารย์ หลิน โหมว คือ นักศึกษาหัวกะทิ ผู้มีคะแนนดีเลิศ ทั้งยังเป็นรองประธานสโมสรนักศึกษา “แม้จะมีผู้ผ่านการคัดการเลือกให้บรรจุเป็นแพทย์เพียง 6 คน จากผู้มาฝึกทั้งหมด 10 คน และแม้ว่ากว่าครึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกก็ตาม แต่ด้วยความสามารถส่วนตัวของหลิน โหมวก็ไม่มีอะไรที่ต้องกังวล อีกทั้งทางเราก็ขาดแคลนสาขาที่เขาเรียน” ในทัศนะของพี่สาว “เขาเป็นคนช่างเห็นอกเห็นใจผู้อื่น จิตใจงดงาม” ในทัศนะของแม่ “เขาไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกับเด็กๆ ในหมู่บ้านเลย”
ทว่า ในทัศนะของเพื่อนนักศึกษา หลิน โหมว คือ บุคคลที่มีบุคลิกซับซ้อน และชอบดูถูกตัวเอง “ในชั้นเรียนเขามักจะแสดงความสามารถด้วยความมั่นใจจนล้น แต่กับเพื่อนเขามักเก็บตัว และไม่โต้ตอบเวลาหยอกล้อ” จะอย่างไรก็ตาม การที่หลิน โหมวเลือกใช้วัน “เมษาหน้าโง่” (愚人节หรือ April Fool's Day) ลงมือใส่สารพิษลงในถังน้ำดื่ม เพื่อหวังปลิดชีวิตเพื่อนร่วมห้อง ทั้งยังส่งผู้ป่วยเข้าโรงพยาบาล ตรวจเอ็กซเรย์ และเฝ้าไข้ด้วยตัวเองอย่างเป็นธรรมชาติ ยากแก่การสงสัย ขณะเดียวกันก็ยังมีกำลังใจโอ้อวดกับเพื่อนๆ เรื่องบทความที่ได้ตีพิมพ์ถึง 8 ฉบับนั้น ก็แสดงให้เห็นถึงความผิดปรกติทางจิตไม่น้อย
แม้ว่า ผู้ต้องสงสัยคดีฆาตรกรรมนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยฝูตั้นจะได้รับการควบคุมตัว และกำลังสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อไปแล้วก็ตาม แต่ความคล้ายคลึงกันของรูปคดี กลับทำให้เกิดกระแสรื้อฟื้นคดีวางยาพิษนักศึกษามหาวิทยาลัยชิงหวาอีกครั้ง
... เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2537 จู ลิ่ง อดีตนักศึกษาปริญญาตรี สาขาเคมีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยชิงหวา ได้รับสารทัลเลียมจากผู้ไม่ประสงค์ดี กระทั่งเป็นอัมพาต และไร้ความสามารถทางสติปัญญา ซึ่งแม้เวลาจะผ่านมา 19 ปีแล้ว ก็ยังไม่สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้ ในขณะที่ผู้ต้องสงสัยซุน เวย (孙维) นักศึกษาร่วมชั้นของเธอ ยังคงลอยนวลจวบจนถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ เป็นที่กล่าวกันอย่างมากว่า ด้วยอิทธิพลของครอบครัวซุน ทำให้มหาวิทยาลัยมิอาจยับยั้งการออกปริญญาบัตร ทั้งยังเร่งรัดให้ตำรวจเร่งปิดคดีอย่างเงียบเชียบ จึงสร้างความไม่พอใจให้กับญาติสนิทมิตรสหายของจู ลิ่ง และชมรมช่วยเหลือจู ลิ่ง เป็นอย่างมาก ยังเหตุให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่และจีนโพ้นทะเลในสหรัฐฯ กว่าแสนคนลงนามในจดหมายเรียกร้องต่อทำเนียบให้มีการดำเนินคดีกับ ซุน เวย ผู้ต้องสงสัยวางยาพิษจู ลิ่งเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา
เหตุการณ์ซ้ำรอยดังกล่าว ล้วนชวนให้ตั้งคำถามต่อระบบการศึกษาจีนและสังคมจีนในสองแง่มุมหลัก
ประเด็นแรก เกิดอะไรขึ้นกับระบบตรวจการของห้องทดลองวิทยาศาสตร์ในสถาบันการศึกษาชั้นนำของเมืองจีน? หลังเกิดคดี จู ลิ่ง ในปีพ.ศ. 2537 มหาวิทยาลัยชิงหวาเคยออกมายอมรับว่า เป็นความบกพร่องของคณาจารย์ที่ไม่ได้ตรวจสอบการนำสารพิษเข้าออกห้องทดลอง ยังเหตุให้ปัจจุบันนักศึกษาสายวิทยาศาสตร์ต้องประสบกับความซับซ้อนในการลงทะเบียนยืมสารเคมีเพื่อทำการทดลองเป็นอย่างมาก กระทั่งหลายคนไม่ปฏิเสธว่าเคยซื้อและลักลอบนำเข้ามาจากข้างนอก เพื่อหลบเลี่ยงความยุ่งยากดังกล่าว กระนั้น หลิน โหมวก็ใช้ความไว้วางใจที่อาจารย์มอบให้ ลักลอบสารพิษออกจากห้องได้โดยไม่มีผู้สงสัย
ประเด็นที่สอง เกิดอะไรขึ้นกับมาตรฐานทางจริยธรรมในระบบการศึกษาจีน ฤาว่าการเรียนปริญญาตรีสายแพทย์ 5 ปี ปริญญาโทอีก 4 ปี มิได้มีส่วนช่วยให้หลิน โหมวมีเมตตาธรรม อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่ผู้เป็นแพทย์พึงมี ฤาว่าการเรียนแพทย์อย่างคร่ำเคร่งตลอดเวลา 9-10 ปี มิได้ช่วยให้ฮวง หยาง และหลิน โหมว มีวุฒิภาวะมากพอที่จะแก้ไขปัญหาในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ด้วยความสันติ ฤาว่าไม่มีการบรรจุหลักสูตรจริยธรรมลงในสาขาเคมีฟิสิกส์ จึงทำให้ซุน เวย เพื่อนสนิทชิดใกล้ไม่ ‘กลัว’ที่จะนำสารพิษมาทำร้ายจู ลิ่ง และไม่ ‘อาย’ ที่จะเร่งเร้าให้มหาวิทยาลัยออกปริญญาบัตรให้ แม้ว่าจะมีการปฏิเสธหลายครั้งก็ตาม หรือหากปัญหาไม่ได้อยู่ที่ระบบการศึกษาจริง สิ่งที่พึงใส่ใจมากกว่านั้นก็คือ สภาพสังคมจีนอันตึงเครียดในปัจจุบัน ได้กดดันให้นักศึกษาหัวกะทิเหล่านี้หมกมุ่นกับการแก่งแย่งชิงดีจนมืดบอด เพราะไร้ที่พึ่งทางจิตใจ เช่น ศาสนา หรือ ปรัชญา....