รอยเตอร์ - จีนแซงหน้าสหรัฐฯ และญี่ปุ่นในฐานะชาติ ที่มีการยื่นขอจดสิทธิบัตรมากเป็นอันดับหนึ่งของโลกในปี2554 นี้
รายงานวิจัยของทอมสันรอยเตอร์ส ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันพุธ (21 ธ.ค.) ระบุว่า รัฐบาลจีนกำลังผลักดันให้มีการสร้างนวัตกรรมในภาคต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ เภสัชศาสตร์ และด้านเทคโนโลยี โดยชาติซึ่งมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับ 2 รายนี้มุ่งมั่นเปลี่ยนสถานภาพของประเทศจากการเป็นตลาด "ทำในจีน" ไปสู่ตลาด ที่ " ประดิษฐ์ออกแบบในจีน"
รายงานของทอมสันรอยเตอร์สระบุว่า การยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรจากจีน ซึ่งมีการจัดพิมพ์คาดว่าจะมีจำนวนทั้งสิ้นเกือบ 5 แสนรายในปี 2558 รองลงมาคือสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนถึง 4 แสนราย และญี่ปุ่นเกือบ 3 แสนราย
จำนวนการยื่นขอจดทะเบียนสิทธิบัตรที่สำนักงานสิทธิบัตรของจีน ซึ่งมีการจัดพิมพ์ เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 16.7 ต่อปี จาก 171,000 รายในปี 2549 สูงเกือบ 314,000 รายเมื่อปี 2553 โดยในช่วงระยะเวลานี้ ญี่ปุ่นมีจำนวนการยื่นขอจดสิทธิบัตรมากที่สุด ตามด้วยสหรัฐฯ จีน เกาหลี และยุโรป
สำหรับการยื่นขอจดสิทธิบัตรทั้งหมดของจีนนั้น การยื่นขอจดในประเทศเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 73 เมื่อปีที่แล้ว จากเมื่อปี 2549 ซึ่งมีไม่ถึงร้อยละ 52 บ่งชี้ว่า บริษัทของจีนไปเร็วกว่าบริษัทต่างชาติในการขอจดทะเบียนสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ
ส่วนการยื่นขอจดในต่างประเทศนั้น บริษัทของจีนก็กำลังไต่อันดับสูงขึ้นทุกที จากข้อมูลขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก หรือ WIPO
ในปีที่แล้ว ZTE บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับ 2 ของจีน มาเป็นอันดับ 2 ของรายชื่อผู้ยื่นขอจดสิทธิบัตร โดยเป็นรองแค่บริษัทพานาโซนิกของญี่ปุ่นเท่านั้น ส่วน Qualcomm บริษัทผู้ผลิตชิ้ปของสหรัฐฯ มาเป็นอันดับ 3 ขณะที่หัวเหว่ยเทคโนโลยีส์ ของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์การสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ตามมาเป็นอันดับ 4 จากข้อมูลของWIPO
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า จีนยังจำเป็นต้องปรับปรุงคุณภาพของสิทธิบัตรให้มากกว่านี้ ก่อนจะสามารถก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกในด้านนวัตกรรม
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า รัฐบาลจีนได้เสนอมาตรการจูงใจต่าง ๆ แก่บริษัทบนแดนมังกร เพื่อส่งเสริมให้บริษัทเหล่านี้ยื่นขอจดสิทธิบัตร โดยไม่คำนึงถึงว่าในที่สุดแล้ว การยื่นขอนี้จะได้รับการอนุมัติหรือไม่ ดังนั้น หากพิจารณาในแง่การได้รับการจดสิทธิบัตรแล้ว จีนยังมีไม่สูงเท่ากับในสหรัฐฯ ญี่ปุ่น หรือบางชาติในยุโรปเลย