เอเยนซี-รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศ จีน หยาง เจี๋ยฉือ กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ (7 มี.ค.)ว่า การปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน นั้นขึ้นอยู่ที่การกระทำของสหรัฐฯ เอง ขณะเห็นควรใช้มาตรการทางการทูตเพื่อแก้ปัญหาอิหร่าน
การประกาศขายอาวุธมูลค่า 6,400 ล้านดอลลาร์ ของสหรัฐฯ ให้แก่ไต้หวัน ทั้งที่รู้ว่าจีนถือไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของจีน เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา และต้อนรับองค์ทะไล ลามะ ที่ทำเนียบขาว ในเดือน ก.พ.แม้จีนระบุว่าองค์ทะไล ลามะ คือผู้ต้องการแบ่งแยกทิเบต จีนได้แถลงเตือนถึงผลที่อาจเกิดขึ้นจากการนี้ แต่ในที่สุดสหรัฐฯ ยังยืนกรานที่จะไม่ฟังจีน ทำให้จีนต้องตอบโต้ด้วยการระงับการติดต่อทางทหารกับสหรัฐฯ และขู่ว่าจะบอยคอตบริษัทสหรัฐฯ ที่เกี่ยวข้องกับการค้าอาวุธครั้งนี้
หยางระบุว่า สหรัฐฯ ควรพิจารณาจุดยืนของจีนอย่างจริงจังและเคารพผลประโยชน์ของจีน ด้วยการตระหนักว่าการขายอาวุธให้แก่ไต้หวันเป็นการทำลายผลประโยชน์ของจีน
ทั้งนี้ หยางไม่ได้เอ่ยถึงการเยือนจีนเมื่อวันที่ 3 มี.ค.ของนายเจมส์ สไตน์เบิร์ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ กับนายเจฟฟรีย์ เบเดอร์ ที่ปรึกษาด้านเอเชียของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกัน และหารือความเห็นที่แตกต่างกันในเรื่องการค้ากับการแก้ปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งสหรัฐฯ และชาติตะวันตกต้องการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน แต่จีนมีท่าทีว่า ควรใช้มาตรการทางการทูตเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เวิน เจียเป่า นายกรัฐมนตรีจีน ได้แถลงนโยบายต่อที่ประชุมประจำปีสมัชชาผู้แทนประชาชนแห่งชาติจีน ว่ารัฐบาลเเละประชาชนจีนยินดีร่วมมือ กับประชาคมโลก ยืนหยัดนโยบายการทูตที่ส่งเสริมสันติภาพถาวร ดำเนินนโยบายเชิงยุทธศาสตร์ที่เอื้อผลประโยชน์เเละความเจริญรุ่งเรืองร่วมกันอย่างกลมกลืน