เอเอฟพี – ขณะที่หลายคนในโลกกำลังดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากพิษเศรษฐกิจ แต่มหาเศรษฐีชาวจีนกลับกระทำในสิ่งที่ตรงกันข้าม พวกเขายังคงใช้ชีวิตที่พรั่งพร้อมไปด้วยรถสปอร์ตหรู สินค้าหรูจากฝรั่งเศส และบริการเลิศหรูระดับห้าดาว
แหล่งที่บรรดามหาเศรษฐีชาวจีนนิยมไปใช้จ่ายเงิน ถนน ‘จินเป่า’ ในกรุงปักกิ่งถือเป็นชื่อต้นๆ ที่พวกเขาจะนึกถึง บนความยาว 800 เมตรของถนนสายนี้ ต่างคลาคล่ำไปด้วยโชว์รูมรถสปอร์ตหรูอย่าง โรลล์สรอยซ์ บูกัตติ ลัมบอร์กินี่
และยังเป็นแหล่งรวมของแฟชั่นยี่ห้อหรูอย่าง คาร์เทียร์และกุชชี่ นอกจากนี้ ยังมีคลับชั้นสูงจากฮ่องกงคือจ็อคกี้ คลับ และโรงแรมระดับห้าดาว ตั้งเรียงรายอยู่บนถนนสายนี้ด้วย
“ลูกค้าของเราเป็นชาวจีนล้วนๆ พวกเขารวยมาก” นั่นคือคำบอกเล่าของ วิลสัน โฮ กรรมการอำนวยการบริษัทซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถสปอร์ต ลัมบอร์กินี่ บูกัตติ และโรลล์สรอยซ์ ที่บอกด้วยว่า ลูกค้าของเขานั้น ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จจากธุรกิจภาค อสังหาริมทรัพย์ บันเทิง การเงิน เหมืองแร่ และโรงถลุงเหล็ก
“พวกเขาเป็นคนรุ่นหนุ่มทั้งนั้น ส่วนใหญ่มีอายุราว 20 ต้นๆ บางคนใช้เงินเหมือนมันไม่มีความหมาย เขาเข้ามาชมและตัดสินใจซื้อรถที่มีราคา 6-8 ล้านหยวน (ราว 27-36 ล้านบาท) ได้ภายใน 1 ชั่วโมง และจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด”
รายงานการจัดอับดับมหาเศรษฐีชาวจีนแผ่นดินใหญ่ของหูรุ่น หรือ Hurun Report ได้ตีพิมพ์รายชื่อบุคคลที่รวยที่สุดในจีน 1,000 อันดับ เมื่อต้นเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา และได้ระบุว่า หากนำทรัพย์สินของบรรดามหาเศรษฐี 1 พันรายนี้มารวมกัน จะมีมูลค่าถึง 571,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของอินโดนีเซีย หรือเบลเยียม ทั้งประเทศ
กรุงปักกิ่งถือเป็นตลาดรถโรลล์สรอยซ์ที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากดูไบและอาบู ดาบี ตามลำดับ โดยวิลสัน โฮ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการรถสปอร์ตหรูหรา กล่าวว่า เศรษฐีชาวจีนถือเป็นพวกที่คลั่งไคล้รถสปอร์ตหรูๆ บางคนมีจอดไว้ที่บ้านถึง 10 คัน “ในสายตาของพวกคนรวยแล้ว เงินแค่นี้เรื่องเล็ก เพราะเขามีเงินหลายพันล้าน”
ส่วนในย่านที่เป็นแหล่งแฟชั่น ร้านสินค้ายี่ห้อ ‘หลุยส์ วิตตอง’ ที่เป็นอาคาร 3 ชั้นและถือว่าใหญ่ที่สุดในกรุงปักกิ่ง ก็เต็มไปด้วยนักช๊อปที่กำลังรอจ่ายเงิน โดยผลประกอบการของ ‘หลุยส์ วิตตอง’ ในจีนนั้นต้องถือว่าเหนือความคาดหมาย เพราะปีนี้สินค้าหรูจากฝรั่งเศสแบรนด์นี้ ได้เปิดร้านใหม่เฉลี่ยแล้วเดือนละ 1 ร้าน
ทั้งนี้ สื่อของรัฐบาลได้รายงานว่า ขณะนี้จีนรั้งอันดับ 2 ของประเทศที่ใช้จ่ายเงินเพื่อสินค้าหรูหรารองลงมาจากญี่ปุ่น
ขณะที่ในร้าน ‘คาร์เทียร์’ แบรนด์ดังจากฝรั่งเศสอีกรายหนึ่ง นาฬิกาทองคำฝังเพชรมีป้ายบอกราคาไว้ 185,000 เหรียญ ซึ่ง บอนนี่ เปา ผู้จัดการร้านแห่งนี้ เล่าว่า “ธุรกิจในจีนของเราถือว่าดีมาก บรรดาลูกค้าก็เป็นเศรษฐีที่รวยมาก หลายๆ คนซื้อโดยไม่มองแม้ป้ายราคา”
ข้อมูลจากคาร์เทียร์ในฮ่องกง ระบุว่า ในปี 2550 คาร์เทียร์เปิดร้านขายเครื่องประดับไป 11 แห่ง และเปิดอีก 8 แห่งในปีถัดมา
ในคลับหรูหราสไตล์บารอค ‘Lan Club’ ที่ออกแบบโดย ฟิลิปเป้ สตาร์ค เซเลปชาวฝรั่งเศสที่นิยมการท่องราตรี คอนยัคที่ดีที่สุดในร้านมีราคาขวดละ 5,400 เหรียญ ส่วนไวน์ Chateau-Lafite รุ่นปี 1995 ราคาอยู่ที่ขวดละ 3,650 เหรียญ ขณะที่หอยเนื้อเชลล์สด ราคาอยู่ที่จานละ 775 เหรียญ
ที่ ‘จ็อคกี้ คลับ’ บนถนนจินเป่า ผู้ที่ต้องการเป็นสมาชิกต้องจ่ายเงิน 36600 เหรียญฯ (ราว 1,244,400 บาท) เพื่อแลกกับบรรยากาศแวดล้อมเงียบสงบ ที่พื้นปูด้วยพรมหนานุ่ม และภายในบริเวณอบอวลไปด้วยกลิ่นดอกลิลลี่ที่แสนสดชื่น
ที่คลับแห่งนี้ บริกรทั้ง 450 คนจะต้องจำชื่อสมาชิกทั้ง 300 รายให้ได้ และต้องจำให้ได้ด้วยว่า แต่ละคนชื่นชอบชาชนิดไหน ทางคลับเคยทำถึงขนาดนำช่างตัดเสื้อจากอิตาลีเข้ามาตัดสูทให้ลูกค้า
คริส เฉิน ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ จ็อคกี้ คลับ กล่าวว่า “มหาเศรษฐีในจีนข้ามผ่านจุดที่ชอบโอ้อวดมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาใช้ความมั่งคั่งซื้อความสุขในชีวิต และชอบที่จะมีพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น”
“ที่นี่ ไม่ใช่คลับที่ต้องซื้อความหรูหราในราคาแพง และสมาชิกของเราก็ไม่ชอบให้ใครไปรบกวน ...สมาชิกที่นี่ บางคนเป็นคนดังจากทีวี ภาพยนตร์ ในวงการบันเทิง และที่นี่เขาสามารถใช้เวลาพักผ่อนได้เต็มที่” เฉิน กล่าวทิ้งท้าย
