เอเอฟพี – ภรรยาอดีตประธานาธิบดี เฉิน สุยเปียนของไต้หวันยอมรับสารภาพแล้วว่า ได้ฟอกเงิน และปลอมลายเซ็นจริง แต่ยังปฏิเสธข้อกล่าวหายักยอกเงินของรัฐ
นาง อู๋ ซู่เจิน วัย 56 ปี ถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีที่ศาลแขวงกรุงไทเปเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปีเมื่อวันอังคาร (10 ก.พ.) โดยนั่งรถเข็นมา มีนายเฉิน จื้อจง บุตรชายมาด้วย ท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ขณะที่แพทย์, พยาบาลและรถพยาบาลของโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยไต้หวันแห่งชาติคอยตามมาดูแล เนื่องจากจำเลย ซึ่งสุขภาพไม่ดีเคยล้มพับในศาล เมื่อเริ่มการพิจารณาคดีในปี 2549 ทำให้นางอู๋ได้รับอนุญาตไม่ต้องมาขึ้นศาลนับจากนั้น
อดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งแดนมังกรน้อยสารภาพต่อหน้าศาลว่า เธอได้โอนเงินจำนวน 2 ล้าน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเข้าบัญชีธนาคารในต่างประเทศจริง แต่ระบุว่าเงินก้อนดังกล่าวเป็นเงินบริจาคทางการเมือง มิใช่เงินสินบนอย่างที่อัยการกล่าวหา
“ สำหรับคดีหนันคัง และการฟอกเงินที่เกี่ยวข้องนี้ ดิฉันขอยอมรับผิด” นางอู๋หมายถึงเงินที่ได้รับจากสัญญาฉบับหนึ่งในการก่อสร้างอาคารหอแสดงนิทรรรศการ
สำหรับคดียักยอกเงินกองทุนสาธารณะ ซึ่งเป็นอีกคดีที่ถูกฟ้องร้องนั้น
นางอู๋ยอมรับว่าได้ปลอมลายเซ็นในเอกสารจริง แต่ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าได้ยักยอกเงินกองทุนสาธารณะมาใช้ส่วนตัว
เงินจำนวน 2 ล้าน 2 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของคดีอื้อฉาวการโอนเงินไปต่างประเทศจำนวนทั้งสิ้น 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อดีตประธานาธิบดีเฉินมีส่วนพัวพัน โดยอดีตผู้นำไต้หวัน ซึ่งกำลังถูกทางการควบคุมตัว นอกจากถูกฟ้องร้องในข้อหาฟอกเงินแล้ว ยังถูกฟ้องอีกหลายคดีได้แก่คดียักยอกเงิน, รับสินบน, ใช้อิทธิพลและข่มขู่
หากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริง เขาจะต้องได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต ทว่าอดีตประธานาธิบดีเฉินปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
นางอู๋เป็นสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของไต้หวันคนแรก ที่ถูกฟ้องคดีอาญา โดยถูกฟ้องในหลายคดี ซึ่งคดีแรกถูกฟ้องในปี2549 เป็นคดียักยอกงบฯใช้จ่ายพิเศษของรัฐบาลจำนวน 440,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะสามียังเรืองอำนาจ
ในการรับสารภาพ นางอู๋กล่าวเสียใจที่ได้โอนเงินไป โดยมิได้บอกให้สามีทราบล่วงหน้า รวมทั้งเสียใจที่ทำให้สังคมเสียหาย ซึ่งเธอกล่าวว่าตนเองไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลย พร้อมกับยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า
“ดิฉันจะขึ้นรับการพิจารณาคดีอย่างซื่อสัตย์ และหากสุขภาพอำนวย ก็จะมาขึ้นศาล และให้ความร่วมมือกับอัยการในการสอบสวน ที่ยังดำเนินต่อไป”
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายบางรายแสดงความวิตกเกี่ยวกับการดำเนินคดีอดีตประธานาธิบดีเฉิน ตลอดจนการที่ศาลตัดสินใจควบคุมตัวเขา ก่อนหน้าการพิจารณาคดี รวมทั้งการเปลี่ยนตัวประธานผู้พิพากษา
ด้านอดีตประธานาธิบดีเฉิน ซึ่งสนับสนุนการประกาศเอกราชไต้หวันจากจีน และสิ้นอำนาจวาสนาเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน ระบุว่าเขากำลังตกเป็นเหยื่อทางการเมืองของรัฐบาลประธานาธิบดีหม่า อิงจิ่ว ซึ่งยึดนโยบายผูกสัมพันธ์กับจีน