รอยเตอร์ – ชาวเมืองฉงชิ่งหวังให้ป๋อซีไหล เลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาคนใหม่ เนรมิตเมืองให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมต้าเหลียน แต่อุปสรรคทางภูมิศาสตร์ และภูมิหลังลึก ๆ ของป๋อ จะทำให้ความหวังกลายเป็นความจริงได้หรือไม่?
“ชาวเมืองฉงชิ่งกำลังฝากความหวังกับป๋อซีไหลอย่างมาก ประชาชนรู้สึกเหมือนเมืองได้รับโอกาสใหม่” เสี่ยว โจว พนักงานชายวัย 32 ปีของบริษัทเครื่องสำอางในเมืองกล่าว “ประชาชนต้องการเห็นฉงชิ่งได้รับการพัฒนาและสวยงามเหมือนต้าเหลียน”
อย่างไรก็ตาม ฉงชิ่งนครทางภาคตะวันตกของจีน มีข้อเสียเปรียบด้านภูมิศาสตร์หลายประการ ซึ่งยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับรัฐบาลกลางในการพัฒนาภาคตะวันตก โดยตัวเมืองตั้งอยู่ตอนบนของแม่น้ำแยงซี ทำให้การขนส่งทางเรือจากเซี่ยงไฮ้ ไปยังฉงชิ่ง ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง
ฉงชิ่งเป็น 1 ใน 4 เทศบาลนครของจีน ที่อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลกลางโดยตรง เป็นเมืองขรุขระด้วยกรวดหิน และมีอุตสาหกรรม ยังอยู่ห่างไกลมากจากเขตชายฝั่งเศรษฐกิจที่คึกคัก ขุนเขาและโตรกผาตระหง่านเงื้อมยังได้ตัดขาดบางพื้นที่จากการพัฒนาอย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลาเดินทางไปมาระหว่างกันนานถึง 2 วัน โดย ฉงชิ่งเคยได้รับการพัฒนาเป็นฐานอุตสาหกรรม เมื่อครั้งเป็นเมืองหลวงของจีนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เพราะฉงชิ่งอยู่ลึกเข้ามาในแผ่นดินมาก จนเครื่องบินทิ้งระเบิดญี่ปุ่นบินไปไม่ถึง
นอกจากนั้น ประชาชนยังยากจน และการดำเนินงานของรัฐวิสาหกิจที่นี่ประสบความล้มเหลว
ทว่าต้าเหลียนนั้น เป็นเมืองท่าชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ มีสภาพทางภูมิศาสตร์เอื้ออำนวย ทำให้เป็นเป้าหมายการลงทุนจากญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ป๋อซีไหล วัย 58 ปี บุตรชายอดีตรองนายกรัฐมนตรีป๋อ อี้ปอ หนึ่งในผู้ร่วมการเดินทางไกล”ลองมาร์ช” เข้าคุมหางเสือภูมิภาคฉงชิ่งเมื่อปลายปี โดยได้รับความเชื่อถือจากชาวเมือง ก็เนื่องจากเป็นที่ทราบกันว่าเขาเป็นผู้ช่ำชองประสบการณ์และเป็นคนทันสมัย ป๋อเคยฝากฝีไม้ลายมือให้ประจักษ์ เมื่อครั้งเป็นนายกเทศมนตรีเมืองต้าเหลียนในช่วงต้นทศวรรษ 1990 โดยสามารถเปลี่ยนต้าเหลียนให้กลายเป็นเมืองที่ประสบความสำเร็จทางเศรษฐกิจ จากที่เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองในเขตสุสานของอุตสาหกรรมรัฐ ที่ประสบความล้มเหลว
หวังดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ
ความเป็นที่รู้จักในต่างประเทศของป๋อระหว่างที่เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์มานานเกือบ 4 ปี จุดประกายความหวังให้แก่ภูมิภาคแห่งนี้ว่า เขาอาจดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามา ซึ่งเคยช่วยให้พื้นที่เขตชายฝั่งของจีนเหินทะยานมาแล้ว
อันที่จริงฉงชิ่งเริ่มได้รับการพัฒนามาในช่วงที่ หวังหยางดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขาก่อนป๋อแล้ว โดยฉงชิ่งใช่ว่าจะไร้ข้อดีเสียเลย เนื่องจากที่นี่คือแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดมหึมา ที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งอุตสาหกรรมเคมิคอลได้ และยังจะได้รับประโยชน์ หากจีนเดินหน้าแผนก่อสร้างท่อก๊าซจากพม่าผ่านมณฑลภาคตะวันตก
นอกจากนั้น ฉงชิ่ง และซื่อชวน (เสฉวน) มณฑลเพื่อนบ้าน ยังเป็นตลาดใหญ่ที่มีประชากรรวมกันมากถึงกว่า 100 ล้านคนอีกด้วย โดยเศรษฐกิจของฉงชิ่งโตร้อยละ15.6 ในช่วงปี 2006 เป็นอัตราเติบโตรวดเร็วที่สุดในรอบทศวรรษ จากข้อมูลสำนักงานสถิติของเมือง
จีดีพีต่อหัวโตร้อยละ 15.2 แต่อยู่ที่ 2,030 ดอลลาร์ ซึ่งยังคงน้อยกว่าของเซี่ยงไฮ้ และเฉิงตู เมืองเอกของเสฉวน
อาจเกิดความวุ่นวาย
ฉงชิ่งยังมีแผนแก้ไขสัดส่วนของชาวเมืองและชาวชนบท ซึ่งอยู่ที่ 30:70 ให้เป็น70:30 ภายในปี 2020 อันเป็นการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ ซึ่งผู้นำต้องมีวิธีดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดความไม่พอใจ หรือความไม่สงบขึ้นได้
บททดสอบสำหรับป๋อก็คือเขาจะนำสิทธิพิเศษที่ฉงชิ่งได้รับในฐานะ “เขตทดลอง”ของรัฐบาลจีน มาปรับใช้เพื่อพัฒนาฉงชิ่งได้มากน้อยเพียงใด เช่น สิทธิพิเศษสำหรับแรงงานอพยพ และข้อยกเว้นสำหรับอุตสาหกรรมบางประเภท
“เขาทราบว่า ตนเองมีภารกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าต่างประเทศอีกต่อไปแล้ว ดังนั้น เขาจะต้องมองหาแนวทางการทำงานใหม่” ป๋อ จื่อเยี่ยว์ นักวิจัยอาวุโสของสถาบันวิจัยเอเชียตะวันออกในสิงค์โปร์ ให้ความเห็น
“นั่นเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีการแข่งขันกันเป็นนัย ๆ อยู่ในหมู่ผู้นำรุ่นใหม่ของจีน โดยเฉพาะหวัง หยางกับป๋อซีไหล”
หวังเป็นนักการเมืองดาวรุ่ง ซึ่งตอนนี้ไปรับตำแหน่งผู้นำมณฑลกว่างตง มณฑลที่มั่งคั่งและมีหน้ามีตา
“คนทั้งสองเป็นสมาชิกใหม่ในโปลิตบูโร และต้องทำบางอย่าง เพื่อให้เห็นว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งในคณะผู้นำสูงสุดของจีน”
เมื่อมีการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งหน้าในปี 2012 ป๋อจะมีอายุครบ 63 ปี และผลงานในเมืองฉงชิ่งจะเป็นเครื่องชี้วัดว่า เขาจะได้เข้านั่งในคณะกรรมการประจำของโปลิตบูโร หรือไม่?
อย่างไรก็ตาม บางคนสงสัยว่าป๋อมีพลังงานสำรองเหลือสำหรับทุ่มเทให้กับตำแหน่งในปัจจุบันของเขาหรือไม่ โดยหลายคนระบุว่า เขาปักใจที่จะได้นั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีในกรุงปักกิ่ง มากกว่ามาต๊อกต๋อยในดินแดนหลังเขา ส่วนตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ประจำสาขา ว่ากันว่า เป็นรางวัลปลอบใจ
“เขาอยากเป็นรองนายกรัฐมนตรี แต่ไม่ได้ ดังนั้น ที่นี่จึงเป็นสถานที่จอดรถเท่านั้น” ผู้บริหารธุรกิจรายหนึ่งกล่าว.