xs
xsm
sm
md
lg

ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในจีนบูม สวรรค์นักลงทุนสวรรค์นักท่องเที่ยว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รอยเตอร์ - ไมเคิล บอส์ช วิศวกรชาวเยอรมัน เป็นนักเดินทางต่างชาติอีกคนหนึ่ง ที่นิยมเข้าพักในโรงแรมราคาประหยัดในจีน เขารอนแรมไปยังเมืองต่าง ๆมานับสิบครั้งแล้ว และไม่รู้สึกเดือดร้อน ที่โรงแรมประเภทนี้ไม่มีฟิตเนส หรือสันทนาการอื่น ๆ ไว้คอยบริการ

“ผมต้องการแค่ที่นอนสะอาด ๆ อุ่นสบายเท่านั้น ส่วนเรื่องบริการ ไม่ค่อยสนใจเท่าไร” หนุ่มวัย 32 ปีกล่าว ระหว่างยืนแกร่วอยู่ที่โมเต็ล 168 รอพนักงานต้อนรับ ซึ่งกำลังสาละวนเรื่องอื่นอยู่นานถึง 10 นาทีแล้ว โรงแรมแห่งนี้อยู่ห่างออกมาจากย่านการเงินของนครเซี่ยงไฮ้

เวลานี้ นักธุรกิจและนักท่องเที่ยวทั้งจีนและเทศหลายล้านคนกำลังได้รับอานิสงส์จากธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด ที่เติบโตอย่างรวดเร็วในจีน เพราะราคาห้องพักถูกมาก ค้างคืนหนึ่งเสียเงินไม่ถึง 50 ดอลลาร์ ขณะที่โรงแรมระดับห้าดาว ตกคืนละประมาณ 200 ดอลลาร์

ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ห้องพักโรงแรมราคาประหยัดผุดขึ้นดาษดื่นมากกว่า 100,000ห้องภายใต้ชื่อผู้ประกอบการกว่า 100 ชื่อ ซึ่งแย่งชิงส่วนแบ่งในตลาดท่องเที่ยว ที่โตวันโตคืน ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดในจีนเติบโตพรวดพราดทำนองเดียวกับการเบ่งบานของโมเต็ลในอเมริกาสมัยทศวรรษ 1950 ซึ่งมีนักท่องเที่ยว และการตัดถนน เป็นเชื้อเพลิงโหมกระหน่ำ

“จีนมีประชากรมากกว่าอเมริกาถึง 4 เท่า จึงมีศักยภาพที่จะกลายเป็นตลาดโรงแรมราคาประหยัดขนาดใหญ่ที่สุดในโลก” หวังลี่ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของโรงแรมราคาประหยัดในเครือฮันติ้งโฮเต็ลส์ (Hanting Hotels) คุย ซึ่งก็คงเป็นอย่างที่เขาว่าเพราะเวลานี้ นักลงทุนจีนรายเล็กรายใหญ่ ผสมโรงด้วยนักลงทุนต่างชาติรุ่นเฮฟวี่เวทอย่าง มอร์แกน สแตนลีย์, วอร์เบิร์ก พินคัส และเมอร์ริล ลินช์ พากันแห่เข้ามาในธุรกิจอย่างไม่ยี่หระต่อสมรภูมิรบ ที่กำลังดุเดือด และอัตราค่าห้องพักที่เอาแต่ถูกลง จนทำให้กำรี้กำไรหดหายไปได้

ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดเฟื่องฟูในจีนเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม ตลอดจนการเติบโตของเศรษฐกิจจีน จากก่อนหน้าไม่นาน ที่รัฐบาลจีนไม่ส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศ เหตุผลส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความวิตกเกี่ยวกับความปลอดภัยของประชาชน และเสถียรภาพในสังคม

ในช่วงนั้น นักเดินทางชาวจีนมากมายจำต้องอาศัยในเกสต์เฮาส์ หน้าตาถมึงทึง ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ และขึ้นชื่อกระฉ่อนเรื่องห้องนอนรวม ที่ผู้มาพักต้องมีความทรหดอดทนเหมือนนักรบสปาร์ต้า เพราะไม่มีเครื่องทำความร้อน และระบบน้ำประปาแย่มาก

จนกระทั่งในปี 1999 รัฐบาลกลางของจีนจึงเริ่มตื่นตัวส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำหนดให้มีช่วงวันหยุดยาวถึง 3 สัปดาห์ เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเข้าพักในโรงแรม

การเดินทางของนักท่องเที่ยวจีนจำนวน 1,390 ล้านครั้งในปี 2006 สามารถ สร้างเม็ดเงินได้ถึง 85,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มถึงร้อยละ 17 จากปีก่อนหน้า จากข้อมูลล่าสุดของทางการ ขณะที่แหล่งข่าวอุตสาหกรรมระบุว่า การเติบโตยังคงดำเนินไปอย่างสม่ำเสมอ

นโยบายรัฐบาล

ตลาดการเดินทางด้านธุรกิจของจีนมีมูลค่าถึงราว 10,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่สุดอันดับ 4 ในโลก ตามข้อมูลของอเมริกันเอ็กซ์เพรส นอกจากนั้น ยังคาดว่า การแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งจะเปิดฉากขึ้นที่กรุงปักกิ่งในเดือนสิงหาคม และงานแสดงสินค้าเซี่ยงไฮ้เวิลด์เอ็กซ์โป ในปี 2010 จะช่วยรักษาระดับการเติบโต แม้ว่ารัฐบาลจีนได้ประกาศลดช่วงวันหยุดยาวจาก 3 สัปดาห์ เหลือ 2 สัปดาห์เมื่อเดือนที่แล้วก็ตาม

“เม็ดเงินหลั่งไหลเข้าในธุรกิจที่ร้อนแรงนี้ และผู้เล่นทุกคนรุกขยายช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดอย่างดุดัน” สีว์หรงจู่ ประธานจินเจียงอินน์ ในเซี่ยงไฮ้ เล่าให้ฟัง โรงแรม

จินเจียงอินน์ เป็นเครือธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดแห่งแรกของจีน ก่อตั้งขึ้นในปี 1966

สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากธุรกิจท่องเที่ยวระดับหรูก็คือธุรกิจโรงแรมราคาถูกเหล่านี้เป็นโรงแรม ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาจีนเกือบทั้งหมด และถึงแม้ว่าโรงแรมราคาถูกจะดึงดูดใจกลุ่มทัวร์และนักท่องเที่ยวแบกเป้ชาวต่างชาติ ที่ต้องการประหยัดเงิน แต่ผู้มาอุดหนุนส่วนใหญ่ก็ยังคงเป็นชาวจีน ซึ่งไม่คุ้นเคยกับชื่อโรงแรมต่างประเทศ

บริษัทจีนรายเล็กแต่หัวไว พากันกระโจนสู่ธุรกิจไม่รอช้า ในขณะที่คู่แข่งต่างชาติซึ่งมีศักยภาพ ยังมัวแต่ศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ทางธุรกิจกันอยู่ นอกจากนั้น การลงทุนในธุรกิจประเภทนี้ ใช้เงินโดยเฉลี่ยเพียง 1 ล้านดอลลาร์เท่านั้น และสามารถถอนทุนคืนได้ภายในเวลา 3-5 ปี

ธุรกิจที่หาเงินได้ไม่ยากเย็น จึงดึงดูดให้เจ้าของกิจการชาวจีนโดดลงมาเล่น ไม่เว้นแม้แต่จี๋ฉี ลูกชาวนา วัย 42 ปี ตัดผมเกรียน พูดเร็ว ในช่วงกลางทศวรรษ 90 เขาโบกมือบ๊ายบายอาชีพผู้จัดการฝ่ายขายเครื่องคอมพิวเตอร์ในเซี่ยงไฮ้ เดินทางไปอยู่อเมริกา 1ปี จากนั้น จึงกลับมาก่อตั้งบริษัทหลายแห่ง

จี๋ร่วมก่อตั้งบริษัท ซีทริป (Ctrip) ซึ่งเป็นบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวออนไลน์ในปี 1999 และโฮมอินส์ (Home Inns) ในปี 2001 ซึ่งปัจจุบัน เป็นเครือโรงแรมราคาประหยัดกลุ่มใหญ่ที่สุดในจีน บริษัททั้งสองเข้าจดทะเบียนในตลาดแนสแด็กของสหรัฐฯ และวันนี้จี๋ ยังเล็งนำฮันติ้งโฮเตลส์ ซึ่งเขาก่อตั้งในปี 2005 เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นต่างประเทศอีกด้วย

นักธุรกิจหนุ่มใหญ่กล่าวว่า ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดกำลังเย้ายวนใจ เนื่องจากจีนกำลังเปลี่ยนรูปแบบการเติบโตทางเศรษฐกิจ จาก “ทำในจีน” เป็น”บริการโดยจีน” ขณะเดียวกันปัญหาทางการค้ากับหลายชาติ และปัญหามลภาวะในประเทศ ทำให้ จีนไม่สามารถพึงภาคการผลิตเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป

การลงทุนจากต่างประเทศ

การขึ้นมาผงาดของผู้ประกอบการชาวจีนเปิดช่องให้นักลงทุนต่างชาติมากมายเข้าสู่ธุรกิจโรงแรมราคาประหยัด ผ่านการเข้าซื้อหุ้นสามัญในบริษัทท้องถิ่น

เมื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดแนสแด็กในเดือนตุลาคม ปี 2006 โฮมอินส์ มีมูลค่าสินทรัพย์เพิ่มถึง 109 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หลังจากการเข้ามาลงทุนของบริษัทไอดีจี เวนเช่อร์ (IDG Ventures)ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นบริษัทลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยง โดยโฮมอินส์ยังตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมอีก 4 เท่า เป็น 1,000 แห่งในอีก2-3 ปีข้างหน้า และมีแผนขยายกิจการในประเทศแถบเอเชียอีกด้วย

ด้านเซเว่นเดยส์อินน์ ( 7 Days Inn) ในเซี่ยงไฮ้ เครือข่ายโรงแรมราคาประหยัดใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของจีน มีแผนขยายจำนวนโรงแรมอีก 3 เท่า เป็น 200 แห่งในปีนี้ หลังจากได้เงินอัดฉีดจากเมอร์ริล ลินช์, ด๊อยช์แบงก์ และวอร์เบิร์ก พินคัส รวมกัน 95 ล้านดอลาร์สหรัฐฯ

เครือโรงแรมต่างชาติรายใหญ่บางรายมองว่า ตนจะประสบความสำเร็จบนแดนมังกร เพราะมีความรู้ความชำนาญ นอกจากนั้น การตั้งชื่อโรงแรมเพียงชื่อเดียวในจีนไม่ต่างอะไรกับการยิงกระสุนนัดเดียวได้นก 2 ตัว โดยพลอยส่งผลดีต่อธุรกิจในต่างแดนไปด้วย เนื่องจากชาวจีนหลายแสนคนเริ่มไปท่องเที่ยวในต่างประเทศกันแล้ว

แอ๊คเค่อร์ (Accor) เจ้าของโรงแรมรายใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งเป้าขยายโรงแรมชื่อว่า

ไอบิส (Ibis) ในจีนเป็น 120 แห่งภายในปี 2010จากเวลานี้ ซึ่งมีเพียง 9 แห่ง แม้ว่ารายได้ส่วนใหญ่จากกิจการในจีนยังคงมาจากโรงแรมโซฟีเทล และโนโวเทล ซึ่งบริการลูกค้าระดับบน

อย่างไรก็ตาม การแห่มาลงทุนก็อาจนำไปสู่การตกต่ำของธุรกิจ ซึ่งกิจการของคู่แข่งที่อ่อนแออาจต้องล้มพับไป เหมือนธุรกิจอีกหลายประเภทของชาวจีน โดยการแย่งชิงลูกค้า และการหาทำเลที่ตั้งเหมาะสม กำลังผลักดันให้ค่าประกอบการสูงขึ้น ทว่าขณะเดียวกัน อัตราค่าห้องพักและอัตราการเข้าพักกลับดิ่งลง

อัตราค่าห้องพักของโรงแรมราคาประหยัดลดลงโดยเฉลี่ยร้อยละ45เมื่อปี 2006 และอัตราการเข้าพักลดลงจากร้อยละ 89 เป็นร้อยละ82.4 จากข้อมูลล่าสุดของกระทรวงพาณิชย์จีน อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ก็ยังนับว่าดีกว่าอัตราการเข้าพักโดยเฉลี่ยของธุรกิจโรงแรมอีกประมาณร้อยละ 60

ขณะเดียวกัน ค่าเช่าสถานที่ อันเป็นส่วนสำคัญของค่าประกอบการ ก็พุ่งพรวด 5 เท่าจากราคาอสังหาริมทรัพย์ในจีนในปี 2006 ซึ่งก็ร้อนแรงอยู่แล้ว

“การควบคุมต้นทุนเป็นปัญหาท้าทายที่สุดสำหรับผู้ประกอบการโรงแรมราคาประหยัด” สีว์แห่งจินเจียงอินน์ ชี้ “นอกจากนั้นแล้ว การปรับขึ้นของค่าเช่า, ค่าพลังงานและค่าจ้าง ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับค่าประกอบการเข้าไปอีก”

ด้านจางหมิงโฮ่ว เจ้าหน้าที่สมาคมโรงแรมจีน มองว่า ตลาดโรงแรมราคาประหยัดยังได้รับผลกระทบจากโรงแรมที่ต่ำกว่ามาตรฐานหลายแห่ง โรงแรมประเภทนี้บางครั้งก็โมเมเอาเองว่า เป็น “เครือโรงแรมราคาประหยัด” เนื่องจากรัฐบาลควบคุมดูแลไม่ทั่วถึง ทั้งนี้ จางมีส่วนช่วยในการร่างระเบียบข้อบังคับสำหรับควบคุมธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดและมาตรฐานการให้บริการ

“จีนไม่ใช่ดินแดนพรหมจารีสำหรับโรงแรมราคาประหยัดอีกต่อไปแล้ว และยุคทองแห่งการทำกำไรได้จบสิ้นไปแล้ว” จี๋เย่ว์ผู้อำนวยการ Sequoia Capital ซึ่งเป็นกองทุนภาคเอกชนนอกตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ กล่าว “เวลานี้มีผู้นำตลาดที่โดดเด่นอยู่บางราย เราคาดว่าจะเห็นการควบรวมกิจการ’

โฮมอินส์, โมเต็ล 168 และจินเจียงอินน์ ซึ่งเป็นสาขาของกลุ่มโรงแรมนานาชาติเซี่ยงไฮ้จินเจียง (Shanghai Jinjiang International Hotels Group) ได้ครองส่วนแบ่งถึงร้อยละ44ในตลาด และอาจครองส่วนแบ่งเพิ่มมากขึ้นในโอกาสต่อไป

ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โฮมอินส์มีโรงแรมเพิ่มอีก 26 แห่ง โดยเข้าซื้อท็อปสตาร์( Top Star) คู่แข่ง ที่ดำเนินธุรกิจมา 2 ปี เดวิด ซัน หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า การเข้าซื้อครั้งนี้ คิดเป็น 1 ใน 5 ของการขยายกิจการของโฮมอินส์ ในระยะยาว

ขณะที่หวังแห่งฮันติ้งโฮเต็ลส์มองในแง่ดีว่า เครือธุรกิจโรงแรมราคาประหยัดอีกหลายราย อาจจะยังเติบโตต่อไปได้ “ศักยภาพของธุรกิจประเภทนี้ในจีนมีมหาศาล และไม่มีผู้ชนะไปเสียทุกอย่าง”

เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าแข่งขันโดยตรงกับผู้เล่นระดับแนวหน้า ฮันติ้ง เรียกตัวเองว่า เครือโรงแรมระดับกลาง และเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเฉพาะนักธุรกิจเดินทาง โดยตกแต่งภายในโรงแรมด้วยภาพวาดสีน้ำมัน และในห้องพักแต่ละห้องมีสายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง 2 สาย

ด้านบริษัทผู้ประกอบการเรือสำราญสตาร์ครู้ส ซึ่งควบคุมกิจการโดยชาวมาเลเซีย ก็เข้ามาลงทุนเช่นกัน โดยเจาะกลุ่มเป้าหมายลูกค้าระดับล่าง คิดค่าบริการสำหรับนักท่องเที่ยวคืนละไม่ถึง 14 หยวน เทียบกับโฮมอินส์แล้ว สูงกว่านี้ถึงกว่า 2 เท่าทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น