xs
xsm
sm
md
lg

แผนที่อัปยศ กับโลกทัศน์ “ใต้หล้า” มังกรก้าวสู่อำนาจ “คิดเก่าทำใหม่”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการออนไลน์ – จีนศึกษา มธ. จัดถกหัวข้อ แผนที่อัปยศ กับโลกทัศน์ “ใต้หล้า” สะท้อนความเคลื่อนไหว ตัวตน และวิธีคิดพญามังกร โดย ศ. วิลเลียม เอ. คัลลาแฮน นักรัฐศาสตร์ชื่อดังแดนผู้ดี บรรยายร่วม 3 ชั่วโมง ชี้วิธีการสร้างชาตินิยม กับ โลกทัศน์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ-การเมืองจีนยุคใหม่

โครงการจีนศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา ร่วมกับ ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เชิญ ศ. วิลเลียม เอ. คัลลาแฮน นักวิชาการที่มีผลงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เกี่ยวกับสาธารณรัฐประชาชนจีน และอุษาคเนย์ บรรยาย ในหัวข้อ “แผนที่ความอัปยศชาติ เขตแดนที่สูญเสีย และแผนที่ซึ่งสะท้อนชาตินิยมและรัฐนิยมจีน” กับ “ใต้หล้า ระเบียบโลกในวิสัยทัศน์จีน” โดยทั้งสองหัวข้อเป็นการวิเคราะห์เจาะลึกถึงตัวตน สะท้อนวิธีคิด และโลกทัศน์ที่จีนมีต่อโลกยุคปัจจุบัน

ในหัวข้อแรก ศ. คัลลาแฮน ได้นำแผนที่จีนยุคต่างๆ มาแสดงพร้อมชี้ให้เห็นตัวตน และ ความคิดทางการเมืองของจีน ที่สะท้อนผ่านแผนที่ โดยอาณาเขตของจีนที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุคสมัย สามารถนำมาตีความถึงสถานะของประเทศจีนว่า มีความยิ่งใหญ่แค่ไหน อาทิการเผยแพร่ แผนที่โลกเมื่อปี 2005 ที่ถูกนำไปเชื่อมโยงกับสมุทรยาตราของเจิ้งเหอ โดยมีการกล่าวอ้างว่า แผนที่ดังกล่าววาดขึ้นราวศตวรรษที่ 15 และยังเป็นแผนที่ที่แสดงว่า เจิ้งเหออาจค้นพบทวีปอเมริกาก่อนโคลัมบัส ศ. คัลลาแฮน ชี้ว่า “แผนที่นี้จะเป็นของจริงหรือปลอม ไม่สำคัญ” ความสำคัญของแผนที่ฉบับนี้คือ การสะท้อนถึง จีนยุคปัจจุบัน ที่มีความมั่นใจ พร้อมก้าวสู่ฐานะมหาอำนาจโลก

นอกจากนี้เรายังสามารถมองแผนที่ ผ่านมุมมองความมั่นคงศึกษา เพราะแผนที่จีนแต่ละยุค สะท้อนให้เราทราบว่า นักวิชาการจีนมีทัศนะต่อประเทศของตนอย่างไร จีนควรยืนอยู่ ณ จุดไหนบนโลกใบนี้ เพราะแผนที่เป็นสัญลักษณ์ที่มีนัยถึงความภูมิใจในชาติ และชาตินิยม “แผนที่ คือ เทคโนโลยีของอำนาจ ขอบขัณฑสีมาในแผนที่ไม่ตายตัว มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา นับแต่ยุคราชวงศ์ถึงยุคสาธารณรัฐ”

พ้นจากประเด็นจุดยืนของจีนในโลก แผนที่จีนยังเล่าให้เราฟังว่า “โลกในทัศนะของจีนควรเป็นอย่างไร” อาทิแผนที่โบราณของจีนช่วง ค.ศ. 1743 วาดเขตแดนอย่างคลุมเครือ โดยตั้งจีนเป็นศูนย์กลางอารยธรรม จัดลำดับขั้นความสำคัญของแต่ละรัฐ โดยเปรียบรัฐที่อยู่ภายนอกอารยธรรมจีนว่า เป็นอนารยชน เมื่อก้าวมาสู่ยุคใกล้แผนที่จีนก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการปลุกกระแสชาตินิยม ผ่านการเน้นย้ำถึงจักรวรรดิจีนอันยิ่งใหญ่ ดินแดนที่สูญเสีย และภาพจีนที่ถูกแบ่งแยกปกครองโดยต่างชาติปลายราชวงศ์ชิง

แม้แต่ไต้หวัน ยังใช้แผนที่เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการประกาศเอกราช โดยแผนที่สาธารณรัฐจีน ที่กระทรวงศึกษาไต้หวันใช้ในการเรียนการสอนตั้งแต่ปี 2004 เน้นไต้หวันเป็นศูนย์กลางของแผนที่ ด้วยการตัดความเชื่อมโยงกับแผ่นดินใหญ่ออก ผ่านการจัดวางประเทศต่างๆ ลงในแผนที่ ด้วยการกลับภาพ เอาภาคตะวันออกของจีนมาอยู่ด้านล่าง และฉายภาพไต้หวัน ที่ตั้งอยู่ในระนาบเดียวกับประเทศญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์

ใต้หล้า ระเบียบโลกในวิสัยทัศน์จีน

ส่วนในหัวข้อใต้หล้านั้น ศ.คัลลาแฮน ได้นำโลกทัศน์แบบจีนคือ เทียนเซี่ย หรือความคิดเรื่อง ใต้หล้า ซึ่งหมายถึงสรรพสิ่งที่อยู่ร่วมใต้ฟ้าเดียวกัน หรือโลกนั่นเอง ตามปรัชญาการเมืองดั้งเดิมของจีน สรรพสิ่งในใต้หล้าล้วนอยู่ใต้การปกครองของโอรสแห่งสวรรค์ (จักรพรรดิจีน) ฉะนั้นการที่นักวิชาการ และผู้นำจีนได้นำแนวคิดเก่าอันนี้ มาปรับใช้กับบริบททางการเมืองในปัจจุบันย่อมสะท้อน ทิศทางของจีนได้เป็นอย่างดี

ใต้หล้าถูกนำมาใช้ในการเมืองภายใน และการเมืองระหว่างประเทศ ความคิดของประธานาธิบดีหูจิ่นเทา เรื่องสังคมปรองดองก็ตั้งอยู่บนฐานแนวคิดใต้หล้า ทว่าในแง่หนึ่ง แนวคิดใต้หล้า กลับย้อนแย้งกับการกล่าวอ้างของจีนเรื่องการเติบโตอย่างสันติ

เมื่อปี 2005 เจ้าทิงหยังนักวิชาการ จากบัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์ได้ตีพิมพ์หนังสือเรื่องระบบใต้หล้า (เที่ยนเซี่ยถี่ซี่) ซึ่งเป็นงานที่มีอิทธิพลต่อความคิดทางการเมืองของจีน โดยเจ้าพูดถึงระบบใต้หล้าในฐานะระบบทางเลือก ซึ่งจะมาแทนที่ระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแบบเวสต์ฟาเลียน (westphalian system) ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐอย่างเท่าเทียม ระบบใต้หล้ามีสาระสำคัญ 3 ประการคือ ประการแรกรัฐต่างๆล้วนอยู่ใต้หล้าเดียวกัน ฉะนั้นความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างเช่น กรณี 9/11 จึงมิได้มีสาเหตุจากรัฐใดรัฐหนึ่ง ทว่ามีสาเหตุมาจากความผิดปกติของสวรรค์ หากจะแก้ปัญหาต้องแก้ที่ระบบโลก ประการต่อมาใต้หล้ารวมหมายถึง มนุษย์ทั้งมวลที่อยู่ใต้ฟ้า ไม่มีการแบ่งแยกมิตรศัตรูชัดเจน และเราต้องเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตร โดยชนชั้นนำจะเป็นผู้กำหนดประเด็นความสัมพันธ์ต่างๆ สุดท้ายคือใต้หล้าจะมีระเบียบสันติสุขได้ก็ด้วยการตั้งองค์กรโลกบาล (world institution) ขึ้นมาดูแล โดยเน้นใช้คุณธรรมเหนือกฎหมาย

ศ. คัลลาแฮน นำแนวคิดใต้หล้ามาชำแหละสะท้อนความคิดจีนว่า การตั้งองค์กรโลกบาลขึ้นมาดูแลโลกทั้งหมดนั้น เป็นการควบคุมจากบนลงล่าง เท่ากับปฏิเสธประชาธิปไตย ขณะเดียวกันการเน้นชูระเบียบโลก เท่ากับให้ความสำคัญกับระเบียบความมั่นคงเหนืออิสรภาพ และการชูคุณธรรมเหนือกฎหมายนั้น ก็ขาดการนิยามอย่างชัดเจนว่า คุณธรรมที่ว่าคืออะไร เพราะรากฐานความคิดใต้หล้ามาจากคัมภีร์เต๋า (เต้าเต๋อจิง) ซึ่งการศึกษาตัวบทต้องอาศัยการตีความ และที่ผ่านมาก็มีการตีความไปหลายแง่มุม ฉะนั้นความคิดเรื่องใต้หล้าจึงมีความคลุมเครือสูง และความคลุมเครือที่ว่า ก็เปิดช่องให้จีนหาประโยชน์ได้มาก

การฟื้นความคิดใต้หล้าเหมือนการคิดเก่าทำใหม่ ครั้งขบวนการ 4 พฤษภา สังคมจีนถามหาความก้าวหน้าโดยการพึ่งประชาธิปไตย และวิทยาศาสตร์ ทว่าบัดนี้แนวคิดใต้หล้า เสนอให้ทิ้งสิ่งเหล่านั้น แล้วย้อนกลับไปหาคุณค่าเดิมคือ คุณธรรมแบบจีน ซึ่งจะทำให้สังคมก้าวหน้าได้

ในหนังสือระบบใต้หล้าของเจ้า เขาเน้นพูดถึงการแบ่งแยกระหว่างจีนกับตะวันตก โดยอาจจะตีความได้ว่าตะวันตกเป็นคนนอกและเป็นศัตรู นอกจากนี้หากพูดถึงประชาชน ระบบใต้หล้ามีสมมติฐานว่า ประชาชนไม่มีปัญญาเพียงพอ จึงมีการจัดลำดับขั้นของคนเป็นชนชั้นปกครอง และใต้ปกครอง โดยคนส่วนใหญ่ที่ไม่มีสติปัญญาพอก็ควรถูกปกครอง ส่วนชนกลุ่มน้อยต่างๆ เราต้องดำเนินการเปลี่ยนพวกเขาจากศัตรูเป็นมิตร

ศ. คัลลาแฮนชี้ว่า ระบบใต้หล้าเป็นการฟื้นแนวคิดเก่าของจีนมาใช้ใหม่ โดยแนวคิดดังกล่าวพยายามปฏิเสธการมีอยู่ของระบบการเมืองโลกปัจจุบันว่า มีข้อบกพร่องและควรใช้ระบบใต้หล้าแทน ในแง่หนึ่งแล้วอาจกล่าวได้ว่าการรื้อฟื้น รวมทั้งการเผยแพร่ระบบใต้หล้า เป็นการพยายามใช้อำนาจในรูปความคิด และวัฒนธรรม ครอบงำเหนือประเทศอื่นๆ รวมทั้งประชาชนของตน เพราะคำว่าใต้หล้านั้นคลุมเครือ และทับซ้อนว่าอะไรคือเขตแดนประเทศจีน อะไรคือกิจการนอกบ้าน เพราะทุกอย่างล้วนอยู่ใต้หล้าเดียวกัน การนำระบบใต้หล้ากลับมาใช้ จึงเป็นการนำโลกทัศน์แบบจีน ที่มีการจัดลำดับขั้นของประชาชนและรัฐต่างๆ ในระบบโลกมาใช้ แนวคิดนี้เป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง เพราะหมายถึงวิธีการที่จีนมองโลกและตัวเองในศตวรรษที่ 21
ศ. วิลเลียม เอ. คัลลาแฮน



เรียบเรียงและสรุปความจาก

การบรรยายพิเศษ หัวข้อ  "National Humiliation Maps : Lost Territories and China's Geobody" และหัวข้อ " Tianxia " โดย Prof. William A. Callahan ผู้ทรงคุณวุฒิด้าน การเมืองระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ และผู้อำนวยการร่วม ศูนย์จีนศึกษาของมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร (British Inter University Centre)  

ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
กำลังโหลดความคิดเห็น