ผู้จัดการรายสัปดาห์ -ผู้เชี่ยวชาญจีนแนะฟื้นคำสอนจีนตามปรัชญา “ขงจื่อ” เข้าระบบการศึกษาไทย เน้นสร้างคนมีคุณธรรมก่อนคนรวย โดยยึดหลัก 13 ประการดำเนินชีวิต ที่จะพาไปสู่ความสำเร็จทั้งด้านครอบครัว สังคม และภาคธุรกิจ
คนจีนได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความประสบความสำเร็จในชีวิตสูงเชื้อชาติหนึ่ง แม้แต่คนจีนในไทย ตั้งแต่อดีตคนจีนยังได้รับการกล่าวขวัญถึงว่าเป็นผู้ที่มีความมานะพากเพียร ประหยัดขยันอดออม จากเริ่มต้นที่ไม่มีอะไรติดตัว หรือจาก “เสื่อผืนหมอนใบ” หลายคนก็สามารถสร้างตัวจนร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีขึ้นมา ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง การประสบความสำเร็จของคนจีนโบราณนั้นส่วนสำคัญคือการปลูกฝัง และการเลี้ยงดูตามหลักปรัชญา “ขงจื่อ”ที่น่าสนใจยิ่ง
อาจารย์ประพฤทธิ์ ศุกลรัตนเมธี อดีตผู้ช่วยอธิการบดี ฝ่ายจีนศึกษา มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ผู้ซึ่งสนใจเรื่องปรัชญาจีนและทำการศึกษามามากกว่า 20 ปี กล่าวว่าปรัชญาขงจื่อมีอิทธิพลต่อการดำเนินชีวิตของคนจีน และคนไทยเชื้อสายจีนมาก และมีการปลูกฝังสืบทอดต่อๆ กันมารุ่นต่อรุ่น ตั้งแต่อดีตคนจีนหรือคนไทยเชื้อสายจีนจึงได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จสูงทั้งในด้านการดำเนินชีวิตและในด้านการสร้างธุรกิจ
หลักปรัชญาขงจื่อที่จะพูดถึงนี้ เป็นแนวความคิดทางปรัชญาของขงจื่อที่ปรากฏในคัมภีร์หลุนอวี่ ซึ่งจริงๆ แล้วมีการนำมาสอน และปลูกฝังให้ลูกหลานกันอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันด้วยความก้าวหน้าทางการศึกษาที่เน้นการเรียนเพื่อทำงาน อาจทำให้หลายคนลืมและละเลยที่จะปลูกฝังนิสัยลูกหลานโดยเน้นการใช้คุณธรรมในการดำเนินชีวิต หรือการสร้างคนดี ก่อนคนหาเงินเก่ง ทำให้สังคมไทยมีความวุ่นวาย และปัจจุบันไม่มีการสอนเรื่องนี้ในระบบการศึกษาของไทยเท่าไรนัก จึงควรฟื้นหลักคำสอนที่ดีของปรัชญาขงจื่อขึ้นมาสอนลูกหลาน เพื่อทำให้ชีวิตของตนเองและครอบครัวก้าวหน้า นอกจากนี้ยังส่งผลทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ดี ปราศจากความขัดแย้งอย่างในเวลานี้ได้ด้วย
เปิด 13 หลักสอน “ขงจื่อ” สร้างคนดี
หลักปรัชญาขงจื่อที่จะทำให้ชีวิตก้าวหน้า และประสบความสำเร็จอย่างสูงในแวดวงธุรกิจนั้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงนั้นประกอบด้วย
หลักของความ “ซื่อสัตย์ ซื่อตรง” เป็นหัวใจของการดำเนินชีวิตและการทำธุรกิจ คือเวลาค้าขาย หรือเป็นพนักงานในบริษัท คนจีนจะเน้นความตรงไปตรงมา ไม่คดโกงใครเพื่อให้ได้ประโยชน์ส่วนตน ในภาคธุรกิจหากยึดหลักความซื่อสัตย์ ซื่อตรงเป็นนิจ ธุรกิจก็จะมีความน่าเชื่อถือ ใครก็อยากทำการค้าการขายด้วย ขณะที่ลูกจ้างนั้น เมื่อซื่อตรงก็จะได้รับความไว้วางใจจากนายจ้าง นายจ้างให้ความรัก ที่ผ่านมาแถวทรงวาด เยาวราช จะเห็นได้ว่าธุรกิจของคนจีนนั้นลูกจ้างก็มักจะซื่อสัตย์ ซื่อตรงอยู่กับนายจ้าง 2-3 ชั่วคนก็มีให้เห็นดาษดื่น
นอกจากนี้ ขงจื่อ ยังสอนว่า คนเราต้องกล่อมเกลาจิตใจตัวเองให้เป็นคนดี ก็จะทำให้ครอบครัวดีได้อย่างสมานฉันท์ ข้อสำคัญคือ ต้องมีความ “ขยันขันแข็ง” ต้อง “ประหยัด” ใช้เงินเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้ ต้อง “ถ่อมตน” ไม่โอ้อวดว่าเก่ง ว่ารวย ที่สำคัญต้องมีความ “ถูกต้อง” อย่างเช่นได้เงินมาก็ต้องได้เงินมาอย่างถูกต้อง ถ้าต้องปล้น ต้องโกงชาติบ้านเมืองเพื่อให้ตัวเองร่ำรวยไม่เอา คนจีนสมัยโบราณยึดถือหลักความคิดนี้มาก คนจีนที่ยึดหลักขงจื่อดำเนินชีวิตจึงเป็นคนที่จะไม่เคยหนีภาษี ไม่ทำผิด และไม่กลัวใคร
นอกจากนี้ยังยึดถือหลัก “ความสมานฉันท์”ทั้งกับครอบครัวและกับสังคม โดยสอนกันมากว่า 2,500 ปีแล้วว่า ความเห็นต่างไม่เป็นไรและไม่ต้องทำให้ความเห็นเหมือนกันก็ได้ แต่ต้องยอมรับซึ่งกันและกัน
อีกทั้งยึดหลัก “ช่วยเหลือเกื้อกูล” ซึ่งกันและกัน ในอดีตจึงเกิดการเล่นแชร์ขึ้น มือหนึ่งมีค่าแชร์สูงเป็นแสนบาท ล้านบาท เหมือนกับการให้ ท้าวแชร์ กู้เงินไปเริ่มต้นทำธุรกิจ หรือเป็นเงินหมุนสำหรับภาคธุรกิจของคนจีนด้วยกัน แต่ทุกคนต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้ และเป็นคนซื่อสัตย์ ถือสัจจะวาจา คนไทยเชื้อสายจีนมีการช่วยเหลือกันโดยวิธีนี้กันมากมาย จนหลายคนประสบความสำเร็จในภาคธุรกิจในเวลาต่อมา ซึ่งก็จะมีการตอบแทนบุญคุณกันต่อไป
หลัก “ถือขนบธรรมเนียม” ก็เป็นหลักที่เคร่งครัดเหมือนกัน โดยยึดว่า ใครดีกับเราเราต้องดีกับเขามากกว่า เช่น มีคนเอาของมาให้เรา เราต้องให้เขาในมูลค่าหรือปริมาณมากกว่าที่เขาให้เรามา ถ้าให้น้อยกว่าจะไม่ดี
หลัก “กงสี” ครอบครัวที่มีกำลังมาก หลายตระกูลใช้ระบบการบริหารมรดกแบบกงสี ไม่ได้แยกกองมรดกออกจากกัน เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกันให้มีรายได้เสมอกัน และยืนยาว ตระกูลดังที่ยึดหลักนี้มานาน คือตระกูลหวั่งหลีที่ปัจจุบันยังใช้ระบบนี้ หรือ ตระกูลกรมดิษฐ์ ของวิกรม กรมดิษฐ์ก็มีการให้พี่น้องมาช่วยบริหารงานบริษัทร่วมกัน
หลัก “สัจจะวาจา” เป็นอีกหลักการหนึ่งที่สำคัญ เพราะการเริ่มทำธุรกิจจากการยืมเงินคนอื่นมา หรือไม่ได้ยืม ก็ต้องรักษาสัจจะวาจา ทั้งของตัวเอง และด้านเครดิตทางการค้า สัจจะวาจาของตนเองจะออกมาในรูปแบบความประพฤติดี รับผิดชอบ ขณะที่ด้านเครดิตการค้าคือรักษาการจ่ายหนี้ หรือตอบแทนคนอื่นด้วยความซื่อตรง เพื่อไม่ให้ตัวเองเสียชื่อเสียง
ที่สำคัญต้องยึดหลัก “การยอมรับความคิดคนอื่น” ก็จะทำให้การทำธุรกิจเจริญรุ่งเรือง โดยเฉพาะการเปิดกว้างทางความคิด ดูตัวอย่างได้จากคนจีนสมัยก่อน ในด้านการบริหารจัดการด้านบัญชี คนจีนสมัยก่อนใช้วิธีคิดบัญชีแบบบัญชีเดียว หักทุกอย่างเสร็จถือเป็นกำไร แต่สำหรับประเทศทางตะวันตกจะใช้ระบบบัญชีคู่ ข้อดีคือทำให้เห็นต้นทุนตลอดเวลา และทำให้การทำธุรกิจใหญ่ๆ ทำได้สะดวก หากคนจีนไม่ยอมรับความคิดนี้ ปัจจุบันก็ยากที่จะเห็นคนจีนบริหารบริษัทใหญ่ๆ ได้จนประสบความสำเร็จ รวมทั้งการเปิดกว้างด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ และระบบการบริหารงาน บริหารคนแบบใหม่ๆ ด้วย
“กตัญญู-เมตตาธรรม” นำชีวิตรุ่งเรือง
สำหรับทางอ้อม หลักการสำคัญของคำสอนขงจื่อคือ “ความกตัญญู” ขงจื่อสอนว่า “อันว่าเยาวชนนั้น เมื่ออยู่ในครอบครัว ต้องกตัญญูต่อบิดามารดา แต่เมื่อไปข้างนอกต้องมีความสัมมาคารวะต่อผู้ที่อาวุโสกว่า พึงเป็นคนพูดน้อย แต่มีสัจจะวาจาน่าเชื่อถือ และให้ใกล้ชิดคนมีคุณธรรม เมื่อปฏิบัติได้ดังนี้จนครบถ้วนแล้ว หากยังอยู่ในวิสัยที่สามารถกระทำได้ ก็ให้ศึกษาหาความรู้จากตำรับตำราอีก”
นอกจากนี้ขงจื่อยังสอนว่า “ขณะที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ ให้ปรนนิบัติตามระเบียบประเพณี เมื่อถึงแก่กรรมให้ปลงศพด้วยการฝังตามระเบียบประเพณี และให้เซ่นไหว้ตามระเบียบประเพณี”
ตอนหนึ่งขงจื่อได้ตอบคำถามของจื่ออิ๋ว เรื่องความหมายต่อความกตัญญูว่า “ทุกวันนี้สิ่งที่เรียกว่าความกตัญญูนั้น ว่ากันว่า มีความสามารถเลี้ยงดูบิดามารดาก็เป็นอันใช้ได้ แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว ทั้งม้าและสุนัขก็อาจได้รับการเลี้ยงดูเช่นกัน ดังนี้หากปราศจากความเคารพนบนอบในการปรนนิบัติแล้ว จะมีอะไรที่แตกต่างกันอีกเล่า”
อย่างไรก็ตาม เรื่องความกตัญญูต่อบิดามารดานี้ นอกจากจะเป็นหลักสำคัญที่สุดของจริยธรรมในปรัชญาขงจื่อแล้ว ก็เป็นหลักสำคัญของจริยธรรมในศาสนาพุทธและศาสนาเต๋า ที่หลอมรวมกันอยู่ในสังคมไทยเช่นกัน
อีกประการหนึ่งคือต้องยึดหลัก “เมตตาธรรม” ขงจื่อกล่าวว่า “ผู้มีเมตตาธรรมคือเมื่อตนปรารถนาจะตั้งตัว ก็จะช่วยให้ผู้อื่นตั้งตัวได้ด้วย เมื่อตนเองปรารถนาจะประสบความสำเร็จ ก็จะช่วยให้ผู้อื่นสำเร็จด้วย หากสามารถอนุโลมตามสิ่งที่ใกล้ตัวนี้ได้ก็ถือว่าเป็นวิธีการไปสู่เมตตาธรรม” ทั้งนี้หากสิ่งที่ตนไม่ปรารถนา ขงจื่อก็กล่าวว่า ก็จงอย่ากระทำต่อผู้อื่นด้วย
สุดท้ายแล้วเมื่อเรานำปรัชญาขงจื่อมาใช้กับการดำเนินชีวิตของเราเองได้แล้ว เชื่อว่าคุณธรรมของเราจะนำความเจริญก้าวหน้าพาเราไปสู่ความสำเร็จได้