ผู้จัดการออนไลน์ – “ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง” (The Curse of Golden Flower) ภาพยนตร์ทุนสร้างมโหฬารของผู้กำกับจางอี้โหมว เป็นเรื่องราวการสะสางปมความแค้นและปลดพันธนาการของฮองเฮา (ก่งลี่) ที่มีต่อฮ่องเต้ (โจวหยุนฟะ) โดยฮองเฮาได้คบคิดกับองค์ชายหยวนเจี่ย (เจย์ โชว) ก่อการกบฏยึดอำนาจจากฮ่องเต้ในคืนวันสุกดิบของเทศกาลฉงหยาง....ฉากดอกเบญจมาศนับหมื่นนับแสนดอกหน้าพระราชวัง ที่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับเทศกาลฉงหยาง ถูกเหยียบย่ำและกลายเป็นสีแดงเลือด ยังติดอยู่ในความทรงจำ....บางคนที่ชมภาพยนตร์ไปแล้วอาจสงสัยว่าเทศกาลฉงหยางคือเทศกาลอะไร ในโอกาสที่เทศกาลดังกล่าวเวียนมาถึงอีกครั้ง จึงใคร่ขอเสนอเรื่องราวของเทศกาลนี้โดยสังเขป
เทศกาลฉงหยางนั้นตรงกับวันที่ 9 เดือน 9 ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 19 ตุลาคม สาเหตุที่เรียกว่าวันฉงหยาง เพราะตามตำราอี้จิงอันเก่าแก่ของจีนได้ระบุไว้ว่า เลข 6 เป็นเลข “หยิน” ส่วน 9 เป็นเลข “หยาง” ดังนั้นวันที่ 9 เดือน 9 จึงเรียกว่า “ฉงหยาง” (重阳= หยางคู่ หรือ หยางซ้อน) อีกทั้งเลข 9 9 ในภาษาจีนยังอ่านออกเสียงว่า “จิ๋วจิ่ว” ซึ่งพ้องเสียงกับคำว่า “ยืนยาว” (久久) ซึ่งมีนัยยะของความมีอายุยืนยาว ดังนั้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 เป็นต้นมาประเทศจีนจึงได้กำหนดให้วันฉงหยางเป็นวันผู้สูงอายุจีน และยังถือเป็นเทศกาลชมดอกเบญจมาศด้วย
กิจกรรมที่นิยมทำกันในวันมหามงคลนี้ ได้แก่ การขึ้นเขาหรือเจดีย์สูง (โดยเฉพาะผู้สูงอายุ) ชมดอกเบญจมาศ ดื่มเหล้าแช่ดอกเบญจมาศ (เก็กฮวย) ทานขนมฉงหยางหรือที่เรียกว่า “ฮัวเกา” และเสียบใบจูอี๋ว์ เป็นต้น
โดยประเพณีนิยมเหล่านี้ล้วนมีที่มา ตามตำนานเล่าว่าในสมัยฮั่นตะวันออกนั้น (ค.ศ.25-220) มีปีศาจร้ายปรากฏตัวที่แม่น้ำหรู่เหอ แค่เพียงมันปรากฏกาย แต่ละบ้านต้องมีคนล้มป่วย ทุกวันต้องมีคนล้มตาย พ่อแม่ของชายหนุ่มนาม “เหิงจิ่ง” ก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน แม้แต่ตัวเขาเองก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ด้วยเหตุนี้หลังจากฟื้นตัวเหิงจิ่งตัดสินอำลาเมียรักและบ้านเกิด ดั้นด้นเสาะแสวงหาผู้วิเศษ เพื่อร่ำเรียนวิชาปราบมาร ในที่สุดเขาก็ได้พบผู้วิเศษบนภูเขาที่เก่าแก่ที่สุดทางทิศตะวันออก
หลังจากฝึกวิชาได้พักใหญ่ อยู่มาวันหนึ่งท่านเซียนก็เอ่ยกับเหิงจิ่งว่า “พรุ่งนี้เป็นวันที่ 9 เดือน 9 ปีศาจจะออกอาละวาดอีกครั้ง บัดนี้เจ้าฝึกฝนวิชาจนแตกฉาน ถึงเวลากลับไปกำจัดมารร้ายปัดเป่าทุกข์ให้ชาวบ้านแล้ว” ท่านเซียนยังได้มอบใบจูอี๋ว์และเหล้าแช่ดอกเบญจมาศ 1 ไห และถ่ายทอดเคล็ดลับปราบมารให้ด้วย
เหิงจิ่งอำลาอาจารย์และขี่นกกระเรียนเซียนกลับมายังหมู่บ้าน ในเช้าตรู่ของวันที่ 9 เดือน 9 นั่นเอง เหิงจิ่งทำตามที่อาจารย์แนะนำ นำพาชาวบ้านอพยพขึ้นไปบนเขาที่ใกล้เคียง แล้วแจกจ่ายใบจูอี๋ว์และเหล้าแช่เบญจมาศให้ชาวบ้านเป็นเครื่องป้องกันตัว เมื่อปีศาจได้กลิ่นหอมของใบจูอี๋ว์และเหล้าเบญจมาศก็ล่าถอย เหิงจิ่งไม่ปล่อยโอกาสให้หลุดมือตามลงไปสังหารปีศาจสำเร็จ ประเพณีขึ้นเขาเพื่อหลีกหนีจากความชั่วร้ายและโรคภัยไข้เจ็บจึงได้เริ่มอุบัติขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา
นอกจากประเพณีเดินขึ้นเขาแล้ว ต่อมาในสมัยถัง (ค.ศ.618-907) ชาวจีนยังนิยมเสียบใบจูอี๋ว์ไว้ที่แขนหรือศีรษะ เพื่อเป็นเครื่องรางปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย ส่วนใหญ่คนที่ประดับจะเป็นเด็กหรือสตรี แต่บางพื้นที่ผู้ชายก็เสียบใบจูอี๋ว์ด้วยเช่นกัน ตามบันทึก “ซีจิงจ๋าจี้” ของเก่อหงแห่งราชวงศ์จิ้น (ค.ศ.265-420) ก็มีบันทึกไว้ว่า นอกจากเสียบใบจูอี๋ว์แล้ว ในสมัยนั้นผู้คนยังนิยมนำดอกเบญจมาศมาประดับศีรษะด้วย ต่อมาในสมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) มีการนำดอกเบญจมาศไปประดับบนประตูหน้าต่างเพื่อ “ขับไล่ปีศาจ เรียกโชคลาภ” ด้วย