xs
xsm
sm
md
lg

มีจริงหรือ “มุกราตรี” อัญมณีสุกสกาวยามรัตติกาล!?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้จัดการออนไลน์ - นานมาแล้วที่ “ไข่มุกราตรี” มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์แดนมังกร ตลอดจนในบทกลอน และนวนิยายกำลังภายในเรื่องแล้วเรื่องเล่า.......แต่ใครบ้างเล่าที่เคยเห็นและสัมผัสอัญมณีปริศนาดังกล่าวอย่างแท้จริง จนหลายคนเชื่อว่ามุกราตรีเป็นเพียงอัญมณีล้ำค่าที่มีอยู่เพียงในจินตนาการเท่านั้น

เมื่อย้อนกลับไปอ่านบันทึกทางโบราณคดีเก่าแก่ ก็เคยมีบันทึกไว้ว่าในตำนานของจักรพรรดิเหยียน (炎帝) หรือ เทพกสิกร (神农氏) ที่ชาวจีนเชื่อกันว่าเป็นบรรพกษัตริย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์จีน ได้มีการกล่าวถึง “หยกเรืองแสง” ที่ชื่อว่า "เย่หมิง" (夜明= สว่างยามราตรี) ต่อมาในสมัยราชวงศ์จิ๋นก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับมุกราตรีที่ฝังอยู่ตามผนังของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ เพื่อให้แสงสว่างต่างตะเกียง ตลอดจนในสมัยราชวงศ์ซ่ง หยวน และหมิง ที่ราชสำนักโปรดปรานมุกราตรีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์หยวนฮ่องเต้เคยถึงขนาดส่งคนไปซื้อมุกราตรีสีแดงถึงศรีลังกา แต่เรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงที่สุดเห็นจะเป็น เรื่องของขุนพลซุนเตี้ยนอิง (孙殿英) ที่บุกเข้าสุสานตะวันออกราชวงศ์ชิงและขโมยมุกราตรีที่อยู่ในปากพระศพของซูสีไทเฮาเมื่อปี 1928 เล่ากันว่ามุกราตรีเม็ดนั้นซุนได้มอบให้แก่ซ่งเหม่ยหลิง ภริยาของเจียงไคเช็ก (ซึ่งปราชัยต่อพรรคคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามกลางเมืองและถอยร่นไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่ไต้หวันในปี ค.ศ.1949)

เมื่อมีการกล่าวขวัญถึงแทบทุกสมัยเช่นนี้ แต่เหตุใดนักโบราณคดียังไม่เคยมีการขุดพบมุกราตรีโบราณเลยแม้แต่เม็ดเดียว หรือจะเป็นเพียงตำนานอย่างที่หลายคนสงสัย???

ต่อข้อสงสัยเหล่านี้ศาสตราจารย์หลวนปิ่ง จากคณะอัญมณีศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรณีวิทยาแห่งประเทศจีน ควบตำแหน่งรองประธานสมาคมอัญมณีแห่งประเทศจีน และได้เคยเขียนตำราเรื่อง “มุกราตรี อดีตสู่ปัจจุบัน” รับอาสาไขข้อข้องใจดังกล่าว

“แร่มุกราตรีนั้นปรากฏขึ้นให้เห็นกันจริงๆ ครั้งแรกในช่วงทศวรรษที่ 80 หลังจากนั้นก็มีการขุดพบแร่มุกราตรีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสีเขียว สีแดง โดยมุกราตรีนั้นเป็นแร่หินประเภทหนึ่งที่ประกอบด้วยสารเรืองแสงภายในพวกฟลูออร์สปาร์ทำให้สามารถเรืองแสงได้ในที่มืด ปัจจุบันมีการขุดพบแร่ประเภทดังกล่าวและมีการเจียระไนให้เป็นทรงกลมเหมือนไข่มุก”

อย่างไรก็ตาม มุกราตรีที่ขุดพบกันนั้นล้วนแล้วแต่เป็นการขุดพบแร่หิน หาใช่เป็นการขุดพบมุกราตรีโบราณในอดีตไม่ ดังเช่นมุกราตรีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.6 เมตร หนัก 6.2 ตัน ก็เป็นแร่ที่ถูกขุดพบในเหมืองแห่งหนึ่งในมณฑลยูนนาน ก่อนจะนำมาเจียรไนใหม่เป็นทรงกลม (คลิกข่าวเกี่ยวข้อง)

สาเหตุที่ปัจจุบันยังไม่มีการขุดพบมุกราตรีในประวัติศาสตร์นั้นศาสตราจารย์หลวนเชื่อว่า อาจเป็นเพราะมุกราตรีไม่เหมือนหยกที่มีอยู่ดาษดื่น แต่เป็นหินล้ำค่าที่มีอยู่ไม่มาก อีกทั้งคนทั่วไปน้อยคนจะรู้จัก หรือถึงขั้นคิดว่ามุกราตรีเป็นเพียงคำร่ำลือหรือมีแต่เพียงในนิยายเท่านั้น นอกจากนี้ในเวลากลางวันมุกราตรีจะไม่เรืองแสง ดังนั้นสิ่งที่ขุดพบขึ้นมาอาจมีมุกราตรีรวมอยู่ด้วย แต่ถูกมองข้ามไป

“ไม่มีใครลุกขึ้นมาดูเพชรพลอยตอนมืดหรอก” ศาสตราจารย์หลวนกล่าว

นอกจากนี้มุกราตรียังไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นทรงกลมหรือมีลักษณะเหมือนไข่มุกเสมอไป มองดูผิวเผินอาจเหมือนหินธรรมดาทั่วไป ถึงแม้ว่าจนถึงปัจจุบันจะยังไม่มีการยืนยันการพบมุกราตรีโบราณก็ตาม แต่ก็ยังมิอาจสรุปได้ว่ามันไม่มีอยู่จริง

“อย่างเช่นที่อินเดียก็มีการขุดพบแร่หินประเภทเดียวกับมุกราตรี แต่ที่นั่นเรียกกันว่า “หินนัยน์ตาอสรพิษ” หรือสมัยราชวงศ์ชิง มงกุฎของซูสีไทเฮาก็มีมุกราตรีฝังอยู่ 9 เม็ด ในจำนวนนี้มี 4 เม็ดเคยหายไป ก่อนจะได้กลับคืนมาไว้ยังคลังสมบัติของประเทศหลังจากจีนสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน” ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ศาสตราจารย์หลวนมั่นใจถึงความมีอยู่จริงของมุกราตรีในตำนาน................




กำลังโหลดความคิดเห็น