xs
xsm
sm
md
lg

จีนในเงาโลกทันสมัย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สังคมโลกก้าวเข้าสู่ยุคทันสมัยมานานร่วมสามร้อยปีแล้ว แต่ประเทศจีนเพิ่งจะเริ่มยุคของการสร้างความทันสมัยให้แก่ตนเองเพียงไม่กี่สิบปี คือตั้งแต่ปี ค.ศ.1949 และสามารถทำกันได้อย่างจริงจัง เห็นผลเป็นรูปธรรมก็ตั้งแต่ปี ค.ศ.1978 เมื่อจีนประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ
ในฐานะของ “ผู้มาทีหลัง” จีนดูเหมือนจะร้อนใจอยู่มากในการ “ไล่กวด”ประเทศทุนนิยมก้าวหน้า ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำการขับเคลื่อนของสังคมโลกไปสู่อนาคต หนำซ้ำแนวทางสังคมนิยมที่ตนเลือกใช้ก็ต้องพังทลายลงไปในประเทศอื่นๆ เช่นในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกและอดีตสหภาพโซเวียต ทำให้ต้องดำเนินนโยบายอย่างระมัดระวังมากขึ้น ด้านหนึ่งต้องยืนหยัดแนวทางปฏิรูปและเปิดประเทศต่อไป อีกด้านหนึ่งก็คอยพะวงถึงภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นหากเกิดความผิดพลาด หรือเพลี่ยงพล้ำ แม้แต่เพียงเล็กน้อย
การดำเนินนโยบายอย่างชาญฉลาด ใช้ปัญญาชี้นำ กลายเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งยวดของคณะผู้นำจีน จากนี้ จึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาต้องนำมาประยุกต์ใช้กับประเทศจีน ขอเพียงแต่เห็นว่ามันจะช่วยเสริมเพิ่มให้การสร้างประเทศจีนให้ทันสมัยเป็นไปได้ดีขึ้น
ที่เด่นชัดก็เช่น ระบบเศรษฐกิจตลาด ที่พวกเขาเรียกว่า ระบบเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม มีการกำหนดไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ รับรองกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในทรัพย์สินต่างๆที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง หรือกระทั่งได้มาจากการทำกำไรในธุรกิจการค้า การลงทุน ยินยอมให้ปัจเจกชนสร้างฐานะจนร่ำรวยขึ้นมาเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี สามารถดำเนินชีวิตเสพสุขได้จนล้นพ้นเหนือกลุ่มชนผู้ใช้แรงงานซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แทบไม่มีอะไรแตกต่างไปจากที่เป็นอยู่ในประเทศทุนนิยมต่างๆทั่วโลก
ปัจจุบัน สังคมจีนได้แตกตัวออกมาเป็นหลายระดับชั้น เข้าสู่ระยะของการแยกขั้วระหว่างคนรวยกับคนที่ยังไม่รวยอย่างชัดเจน ซึ่งดูเหมือนจะรุนแรงเกินกว่าที่เป็นอยู่ในประเทศทุนนิยมก้าวหน้าเป็นไหนๆ
ความเหลื่อมล้ำที่กำลังพอกพูนขึ้นในสังคมจีน เป็นสาเหตุสำคัญยิ่งประการหนึ่ง ที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของอาชญากรรม ทั้งที่เป็นอาชญากรรมทั่วไปกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ผู้ที่มีโอกาสมากกว่าก็เอาแต่หาทางสร้างเงื่อนไขในการขยายพื้นที่การได้มาซึ่งสิทธิ์ประโยชน์ของตนเอง ขณะที่ผู้ด้อยโอกาสก็ต้องกระเสือกกระสนต่อสู้กับชีวิต ปกป้องสิทธิประโยชน์ของตนเองอย่างลำบากยากเย็น
สรุปแล้ว ประเทศจีนในยุคพัฒนาไปสู่ความทันสมัย ยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงจุดดีจุดเด่นของความเป็นระบอบสังคมนิยมในระดับบูรณาการ มีบางด้านที่พอจะบอกว่า “ดี” หรือ “ดีกว่า”ที่เป็นอยู่ในประเทศทุนนิยม แต่ก็มีอีกหลายด้านที่ “แย่” หรือ “แย่กว่า”ที่เป็นอยู่ในประเทศทุนนิยม
เมื่อใดที่มีการยกเอาข้อดีของระบอบสังคมนิยมขึ้นมาพูด ก็จะมีผู้ยกเอาข้อเสียที่มีอยู่ในประเทศจีนขึ้นมาค้านยัน จนกระทั่งผู้ที่ยืนอยู่ในฝ่ายสนับสนุนแนวทางการสร้างชาติด้วยระบอบสังคมนิยมต้องนำกลับไปคิด หรือกระทั่งต้องยอมจำนนกับข้อกล่าวหาในสิ่งที่เป็นอยู่จริงในประเทศจีน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จนแล้วจนรอด คณะผู้นำจีน ก็ยังคงยืนยันอย่างหนักแน่นแข็งขันว่า การพัฒนาประเทศให้ทันสมัย จะเป็นไปได้สำเร็จก็ด้วยวิธีการสร้างชาติในระบอบสังคมนิยมเท่านั้น แนวคิดดังกล่าวของพวกเขา ได้รับการเผยแพร่โฆษณาอย่างกว้างขวางไปทั่วสังคมจีน พร้อมกับพัฒนาเปลี่ยนแปลงแนวคิดและวิธีการปฏิบัติอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อให้การบริหารประเทศของพวกเขาประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ได้ตั้งไว้ในแต่ละขั้นตอน จนเป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวจีน ในสถานภาพการนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จากตัวเลขสถิติต่างๆ และการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของคนจีน ณ วันนี้ อาจกล่าวได้ว่า โดยภาพรวมแล้ว ประเทศจีนเจริญก้าวหน้าเร็วมาก ประชาชนชาวจีนมีฐานะดีขึ้นมาก
นั่นแสดงว่า คณะผู้นำจีนประสบความสำเร็จในการบริหารประเทศจีน และหากพวกเขายืนหยัดพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยตามแนวคิดและวิธีปฏิบัติที่พวกเขายึดถืออยู่ ก็เชื่อได้ว่า ประเทศจีนในวันหน้า จะยิ่งเจริญก้าวหน้ากว่าที่เป็นอยู่ในวันนี้ ประชาชนชาวในวันหน้า จะยิ่งมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
พวกเขาจะพากันก้าวเข้าสู่สภาวะความเป็นประเทศทันสมัยได้เป็นขั้นๆ
มองในฐานะ “คนนอก”ที่คอยติดตามดูความเป็นไปในประเทศจีนอย่างใกล้ชิด อดที่จะรู้สึกระทึกใจไม่ได้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศจีน ไม่เพียงแต่กำลังจะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนจีนบนผืนแผ่นดินใหญ่จำนวนกว่า 1300 ล้านคนเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติโดยรวม ในระยะยาวด้วย
แน่ละ ในความปรารถนาส่วนตัวแล้ว ย่อมเป็นธรรมดาที่ต้องการให้ประเทศจีนก้าวหน้าไปในทิศทางที่ดี ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีกินดีและมีสุขถ้วนหน้า ขณะเดียว ประเทศจีนก็ใช้ความเจริญก้าวหน้าของตนเอง ช่วยเหลือเกื้อกูลประเทศที่ยังไม่พัฒนาและยังไม่ทันสมัยซึ่งเป็นประเทศส่วนใหญ่ของโลก ให้มีกำลังวังชาเพียงพอที่จะยืนหยัดอยู่บนลำแข้งตนเอง ดำเนินการพัฒนาตนเองให้เจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีสุขขึ้นเรื่อยๆ ไม่ปฏิบัติการซ้ำรอยกับประเทศมหาอำนาจทุนนิยม ที่คอยจ้องทำการทุกอย่างเพื่อสนองตอบผลประโยชน์ของตนเอง ให้ตนตั้งอยู่ในฐานะได้เปรียบตลอดไป ปฏิบัติการเพื่อทำลายผู้อื่นที่พวกเขาใช้อยู่ในวันนี้ มีทั้งด้วยวิธีการยุแยงตะแคงรั่ว กระทั่งจุดไฟสงครามย่อยๆไปในที่ต่างๆทั่วโลก ด้วยข้ออ้างข้างๆคูๆ
มีแต่เช่นนี้เท่านั้น ชาวโลกทั้งหลายจึงจะมีโอกาสและเงื่อนไขพอเพียงที่จะร่วมกันสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้แก่ลูกหลานได้อย่างแท้จริง สังคมโลกจึงจะหลุดพ้นจากวิกฤติอย่างแท้จริง
แต่หากไม่เป็นไปตามนั้น ก็คงต้องยอมรับโดยดุษฎีว่า ทุกอย่างคงต้องเป็นไปตามเวรตามกรรมของมัน เมื่อมนุษย์ยังยินดีอยู่กับการต่อสู้เอารัดเปรียบกัน ถือเอาประโยชน์เฉพาะตนเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าจะเรียกตัวเองว่าเป็นทุนนิยมหรือสังคมนิยม ก็คงไม่มีอะไรแตกต่างกัน
กระนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการด่วนสรุปเกินไป หรือ “มั่ว”เกินไป และเพื่อให้การศึกษาเรื่องจีนมีหลักฐานพอที่จะเชื่อถือได้ สามารถให้คำตอบแก่คนไทยได้ในระดับหนึ่ง ผู้เขียนจึงได้ยึดเอาการศึกษาค้นคว้า ทำความเข้าใจในแนวคิดทฤษฎีต่างๆของคณะผู้นำจีนมาเป็นลำดับ มุ่งใช้เป็นเครื่องมือประเมินความสำเร็จและล้มเหลวของ การพัฒนาของประเทศจีน ภายใต้การบริหารจัดการของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ว่าได้ดำเนินมาในแนวทางที่ควรจะเป็นหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด สามารถยังประโยชน์แก่ประชาชนชาวจีนได้อย่างแท้จริงหรือไม่ และส่งผลกระทบในด้านดีต่อชาวโลกโดยรวมได้อย่างแท้จริงหรือไม่ จากนี้ไปเป็นฐานในการติดตามการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศจีนในขั้นต่อไป
จากการศึกษาพบว่า แนวคิดสำคัญชี้นำการบริหารประเทศของคณะผู้นำจีน อีกนัยหนึ่ง แนวคิดทฤษฎีพรรคคอมมิวนิสต์จีน หลักๆประกอบด้วย แนวคิดชี้นำการสร้างชาติ และ แนวคิดชี้นำการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

แนวคิดชี้นำการสร้างชาติ ก่อรูปขึ้นมาตั้งแต่เริ่มการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ในปี ค.ศ.1921 ซึ่งต่อมาได้มีการพัฒนาชัดเจนขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยกำหนดไว้อย่างชัดเจนถึงจุดมุ่งหมายของการปฏิวัติว่า จะดำเนินปฏิวัติโค่นล้มอำนาจที่ครอบงำประเทศจีน ได้แก่จักรพรรดินิยม ศักดินานิยม และทุนนิยมขุนนาง เพื่อสร้างเงื่อนไขเบื้องต้นให้แก่การพัฒนาสร้างสรรค์ประเทศจีนให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป
ทั้งนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ต่อมาสามารถนำประชาชนชาวจีนดำเนินการปฏิวัติ ทำสงครามประชาชนจนได้รับชัยชนะ ได้กำหนดทิศทางการสร้างชาติไว้อย่างชัดเจนว่า จะต้องเป็นไปตามแนวคิดอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยการสร้างประเทศจีนให้เป็นสังคมนิยม แล้วก้าวเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์ ตามแบบอย่างของสหภาพโซเวียต(ในเวลานั้น)
พวกเขาเชื่อมั่นว่า ทฤษฎีมาร์กซิสม์ มีความถูกต้องเป็นวิทยาศาสตร์ สะท้อนกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ สามารถชี้นำการปฏิบัติ เปลี่ยนแปลงโลกและตนเองได้เป็นขั้นๆ สามารถปลดปล่อยชนชั้นผู้ใช้แรงงานให้หลุดพ้นจากการกดขี่ขูดรีด และปลดปล่อยมวลมนุษยชาติให้พ้นจากความลำบากยากจน และความไม่รู้ทั้งหลายทั้งปวงอย่างแท้จริง
ตามทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์ สังคมสังคมนิยมเป็นสังคมที่มีความล้ำเลิศกว่า เป็นขั้นการพัฒนาของสังคมที่ก้าวหน้ากว่าสังคมทุนนิยม ชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีนเชื่อว่า การพัฒนาประเทศไปตามแนวทางสังคมนิยม จะช่วยให้ประเทศจีนก้าวล้ำหน้าประเทศทุนนิยมได้อย่างรวดเร็ว ดังเช่นที่กำลังเป็นไปในสหภาพโซเวียตเวลานั้น (ไล่แซงประเทศทุนนิยมก้าวหน้าต่างๆอย่างรวดเร็ว เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง)
ด้วยเหตุนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงชูธงสร้างชาติด้วยระบอบสังคมนิยมอย่างสูงเด่นมาตั้งแต่บัดนั้น
ประชาชนชาวจีนที่เชื่อมั่นศรัทธาในพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเฉพาะในตัวเหมาเจ๋อตง ต่างพากันเห็นดีเห็นงาม ยินดีร่วมหัวจมท้ายกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน ทั้งในช่วงก่อนและหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน
ภายหลังการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนในปี ค.ศ.1949 แล้ว ในระยะแรกของการสร้างชาติ จีนประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการสร้างประเทศให้ทันสมัย สามารถปูพื้นฐานทางด้านอุตสาหกรรมหนักให้แก่ประเทศจีนได้เป็นอย่างดี ภายใต้การช่วยเหลืออย่างมากมายของอดีตสหภาพโซเวียต
กระนั้น คณะผู้นำจีน โดยมีเหมาเจ๋อตงเป็นแกนนำ ก็พบว่า รูปแบบหรือ “โมเดล”พัฒนาประเทศตามแบบอดีตสหภาพโซเวียต มีจุดอ่อนหลายด้าน ไม่เหมาะที่จะนำมาใช้กับประเทศจีนในระยะยาว ได้มีการสรุปกันเป็นเบื้องต้นว่า จีนจะต้องพัฒนาไปตามวิถีทางของตนเอง อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวจีนอย่างแท้จริง สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งหลักของสังคมจีนได้อย่างแท้จริง
จากการสรุปของพวกเขา ความขัดแย้งหลักของสังคมจีนในช่วงนั้นก็คือ ความล้าหลังทางเศรษฐกิจสังคมของประเทศจีน ความอ่อนแอของพลังการผลิตของสังคมจีนกับความเรียกร้องต้องการที่จะพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวจีน ซึ่งขณะนั้นทั้งล้าหลังและยากจนเป็นที่สุด กระหายที่จะพาตัวให้หลุดพ้นจากความขาดแคลนมากที่สุด
ถึงที่สุดแล้ว การพัฒนาประเทศ ประชาชนชาวจีนจะต้องเป็นผู้เสวยผลพวงของการพัฒนา สามารถยกระดับชีวิตความอยู่ของตนเองได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อนั้น ประชาชนชาวจีนก็จะยิ่งมีกำลังวังชา ทุ่มเทและอุทิศตนเข้าไปในกระบวนการพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นประเทศสังคมนิยมที่เจริญก้าวหน้า ไล่กวดบรรดาประเทศทุนนิยม และแซงหน้าไปได้ในที่สุด
แต่แนวคิดดังกล่าวกลับถูกพับเก็บไว้ในลิ้นชักของเหมาเจ๋อตง ด้วยสาเหตุนานาประการทั้งจากภายในและภายนอก นำไปสู่การต่อสู้ทางการเมืองภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีน อย่างยืดเยื้อยาวนาน จากปี ค.ศ.1957 จนถึงปี ค.ศ.1976 จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของเหมาเจ๋อตง

แนวคิดชี้นำการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เริ่มมีมาแล้วตั้งแต่ช่วงของการสร้างสรรค์สังคมนิยมตามแบบอย่างของอดีตสหภาพโซเวียต แต่พรรคคอมมิวนิสต์จีนภายใต้การนำของเหมาเจ๋อตงยังไม่ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่าควรจะทำกันอย่างไร
เมื่อสิ้นเหมาแล้ว คณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ ได้สรุปบทเรียนการสร้างสรรค์สังคมนิยมและเก็บรับประสบการณ์การพัฒนาประเทศของประเทศต่างๆทั่วโลก ทั้งที่เป็นประเทศสังคมนิยมและทุนนิยม ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา เห็นว่า การพัฒนาประเทศของจีนจะต้องเริ่มต้นจากสภาพเป็นจริงของประเทศจีน ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน
นั่นคือ ประเทศจีนยังมีความล้าหลัง ประชาชนชาวจีนยังยากจนและยังขาดความรู้ความเข้าใจของเรื่องต่างๆเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะใช้ระบอบการปกครองแบบสังคมนิยม แต่ก็ยังเป็นสังคมนิยมที่กะพร่องกะแพร่ง ยังไม่เข้าขั้นที่จะเรียกว่าสังคมนิยมอย่างแท้จริง
สังคมนิยมเช่นว่านี้ เต็มไปด้วยจุดอ่อนและข้อด้อยในด้านต่างๆ ตรงกันข้ามกับประเทศทุนนิยมก้าวหน้า และประเทศกำลังพัฒนาที่ก้าวหน้าของโลกวันนี้ ที่กำลังยกระดับตนเองขึ้นสู่ความเป็นประเทศไฮเทค ใช้วิทยาการยุคใหม่นำการพัฒนาสังคมและวิถีชีวิตประชาชนไปในทุกๆด้าน ทิ้งห่างประเทศจีนและกลุ่มประเทศสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียตในเวลานั้นอย่างชัดเจน
คณะผู้นำจีน โดยมีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ จึงมีมติปรับแนวทางการพัฒนาประเทศครั้งใหญ่ ดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศอย่างทั่วด้าน ทำการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ เปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ ปฏิรูประบบเศรษฐกิจ จากการวางแผนจากส่วนกลาง มาเป็นระบบเศรษฐกิจทีละขั้นๆ และอื่นๆอีกมากมาย
โดยในระหว่างปี ค.ศ.1978 – 1992 เติ้งเสี่ยวผิง ได้นำเสนอแนวคิดการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยออกมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งครอบคลุมไปทั่วทุกด้านทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การศึกษาวัฒนธรรม การทหาร การทูต ฯลฯ ซึ่งต่อมาคณะผู้นำจีนรุ่นต่อมา มีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ ได้ประมวลขึ้นมาอย่างเป็นระบบ รวมเรียกว่า “ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง”
กล่าวได้ว่า ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง คือทฤษฎีแม่บทชี้นำการขับเคลื่อนของสังคมจีน จากความไม่ทันสมัยไปสู่ความทันสมัย ในสังคมโลกยุคปัจจุบัน

ก้าวไปบนเส้นทางการสร้าง “สังคมนิยมเอกลักษณ์จีน”
แนวคิดการสร้างชาติในยุคเหมาเจ๋อตงเป็นแกนนำกับแนวคิดการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยในยุคเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ มีความต่อเนื่องกันในตัว เป็นการเริ่มต้นของการสร้างสรรค์สังคมนิยมเอกลักษณ์จีน
ทั้งนี้ คณะผู้นำจีนได้ทำการสรุปองค์ความรู้ที่ได้มาในระหว่างการปฏิบัติเป็นระยะ ตามหลักปรัชญา “ปฏิบัติ-รับรู้-ปฏิบัติ” โดยเฉพาะเกี่ยวกับความเป็นสังคมนิยมของจีน หรือปัจจุบันเรียกกันอย่างเป็นทางการว่า “สังคมนิยมเอกลักษณ์จีน”
ซึ่งกว่าจะเข้าถึง “ความจริง”หรือ “ธรรมชาติ”ของความเป็นสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนโดยคณะผู้นำในแต่ละรุ่นต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ทั้งในด้านการประยุกต์หลักทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์เข้ากับสภาพเป็นจริงของประเทศจีน และการแก้ไขปัญหาอันสลับซับซ้อนที่ไม่มีคำตอบในตำรา ถึงกับต้องใช้วิธีการ “คลำหินข้ามห้วย” เพื่อก้าวข้ามไปสู่ฝั่งแห่งความสำเร็จ
จนกระทั่งได้ดำเนินการพัฒนาประเทศไปได้ระยะหนึ่ง ตั้งแต่กลางทศวรรษ ค.ศ.1980 จนถึงกลางทศวรรษ ค.ศ.1990 คณะผู้นำจีนจึงได้สรุปความเข้าใจใน “ธรรมชาติ”ของระบอบสังคมนิยมจีนอีกครั้ง ถึงลักษณะเฉพาะของสังคมนิยมจีน ที่แตกต่างไปจากประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความเป็นประเทศกำลังพัฒนาของตน ในความเป็นประเทศขนาดใหญ่ มีประชากรมากที่สุดในโลก ทั้งล้าหลังและยากจนอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศทุนนิยมที่พัฒนาแล้ว และมีความแตกต่างอย่างมากกับอดีตรัฐสังคมนิยมในยุโรปตะวันออกและสหภาพโซเวียต
ลักษณะเฉพาะหรือ “เอกลักษณ์”ของสังคมนิยมจีน ที่เด่นที่สุดก็คือ “ความเป็นสังคมนิยมขั้นปฐม” หรือสังคมนิยมขั้นเริ่มต้น ยังห่างไกลมากจากความเป็นสังคมนิยมตามแนวคิดทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์ ที่ว่าสังคมนิยมคือสังคมต่อเนื่องจากสังคมทุนนิยม ก้าวหน้ากว่าสังคมทุนนิยมในทุกๆด้าน
แต่สังคมนิยมจีนล้าหลังกว่าสังคมทุนนิยมในแทบทุกด้าน จำเป็นจะต้องกำหนดแนวนโยบายพัฒนาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง นั่นคือเน้นการพัฒนาพลังการผลิต ด้วยการพัฒนาเศรษฐกิจ โดยใช้ปัจจัยและเงื่อนไขทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่ทั้งในประเทศและต่างประเทศให้เป็นประโยชน์สูงสุด

เริ่มต้นที่เหมา ปรากฎผลที่เติ้ง
การทำให้แนวคิดทฤษฎีของตน เป็นเอกภาพกับลักษณะเฉพาะหรือ “เอกลักษณ์”ของสังคมจีน จึงเป็นภารกิจเบื้องต้นของคณะผู้นำจีน
อีกนัยหนึ่ง คณะผู้นำจีนจะต้องเข้าถึงกฎเกณฑ์การพัฒนาของประเทศจีนในระบอบสังคมนิยม ซึ่งก็คือ “สังคมนิยมเอกลักษณ์จีน” จึงจะสามารถกำหนดแนวนโยบายได้อย่างถูกต้อง การพัฒนาจึงจะประสบความสำเร็จ
กระบวนการรับรู้ถึง “ธรรมชาติ” ในความเป็นสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (นับตั้งแต่พวกเขาเริ่มสร้างประเทศจีนใหม่หลังปี ค.ศ.1949) กินเวลานานถึงสามสิบปี ในท่ามกลางการปฏิบัติลองผิดลองถูก จึงแบ่งออกได้เป็นสองช่วง คือช่วงที่มีเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำ และช่วงที่เติ้งเสี่ยวผิงเป็นผู้นำ
เป็นกระบวนการที่ “เริ่มในยุคเหมา ปรากฏเป็นจริงในยุคเติ้ง”
องค์รวมความรับรู้ในธรรมชาติแห่งความเป็นสังคมนิยมแบบจีนได้กลายเป็นแกนปัญญาของแนวคิดทฤษฎีชี้นำการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นสังคมนิยมที่ก้าวหน้าต่อไปในอนาคตที่ไม่ไกลนัก
“ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง” ก็คือผลพวงขององค์รวมความรับรู้ดังกล่าวนี้ เป็นที่มาของแนวนโยบายการพัฒนาประเทศให้ทันสมัยในทุกๆด้านอย่างแท้จริง

คณะผู้นำพรรคฯจีนรุ่นต่อๆมา เช่นรุ่นที่มีเจียงเจ๋งหมินเป็นแกนนำ และรุ่นปัจจุบันที่มีหูจิ่นเทาเป็นแกนนำ ได้ดำเนินการสร้างชาติจีนตามแนวคิดทฤษฎีดังกล่าว และพัฒนาต่อยอดเป็นทฤษฎีใหม่ๆ แตกแขนงออกไปมากมาย หลักๆก็คือหลักคิดสำคัญเรื่อง “ตัวแทน 3 ประการ” (ซันเก้อไต้เปี่ยว)และทัศนะ “การพัฒนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์” (เคอเสวียฟาจั่นกวน)

จากการลำดับพัฒนาการทางปัญญาของพรรคคอมมิวนิสต์จีนดังที่ได้นำเสนอมาแล้ว ย่อมจะมองเห็นได้ลางๆว่า ประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนจะได้รับการพัฒนาต่อไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ความเป็นประเทศทันสมัยรอบด้าน เมื่อนั้น ชาวโลกก็จะประจักษ์ในข้อเท็จจริง (เสียที)ว่า จีนทันสมัยกับฝรั่งทันสมัย ใครจะ “เจ๋ง”กว่ากัน


-------------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น