“ฉันลืมหยิบกระเป๋าสตางค์มา ใครอยากได้คิวของฉันบ้าง ฉันขายให้ 15 หยวน”
คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรในประเทศจีน สำหรับภาพการต่อคิวยาวเหยียดเพื่อทำธุระต่างๆ อาทิ การเข้าคิวในธนาคาร เข้าคิวตรวจโรค ต่อคิวซื้อของ ซื้อตั๋วรถ ตั๋วชมกีฬา สมัครงาน หรือสารพัดคิว จากการที่เป็นประเทศที่มีประชากรมหาศาลที่สุดในโลกกว่า 1,300 ล้านคน
โดยเฉพาะในตัวเมืองใหญ่ๆ หรือเมืองที่มีความเจริญอย่างในปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เซินเจิ้น หรือว่ากว่างโจว (กวางเจา) การรอคิวทีละนานๆแทบจะกลายเป็นเรื่องปกติเหมือนกับรถที่ติดแออัดอยู่บนท้องถนน
อย่างเช่นการไปต่อคิวทำธุรกรรมกับธนาคาร ที่เคยมีการทดลองทำสถิติ แล้วพบว่าชาวจีนในเมืองใหญ่ๆเวลาจะไปทำอะไรที่ธนาคารแต่ละครั้ง จะต้องรอคิวอย่างน้อยราว 45 นาที ถ้านานก็เรื่อยไปจนเป็นชั่วโมง 2 ชั่วโมง หรือมากกว่านั้น
ชาวต่างชาติหลายคนคงเซอร์ไพรส์ไม่น้อย ถ้าไปยังสถานที่เหล่านี้แล้วเห็นคนจีนเตรียมหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หนังสือการ์ตูน หนังสือนิยาย รวมไปถึงเม็ดแตง ขนมขบเคี้ยวต่างๆมานั่งๆ ยืนๆ หรือทำกิจกรรมต่างๆด้วยเวลาต่อคิว ทว่า..เรื่องที่ดูเหมือนจะขำแบบนี้กลับไม่ขำเลยสำหรับผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เพราะมันไม่เพียงแต่เสียเวลา ยังเป็นการเสียสุขภาพจิตอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ ทางการจีนถึงกับเคยออกมาสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ร่วมกันหาวิธีแก้ไขปัญหาการต่อคิวนาน แล้วก็คนของทางการอีกนั่นแหละ ที่เคยออกมาเสนอวิธีการขายคิว คือถ้าใครต้องการคิวข้างหน้า ก็ให้ไปติดต่อซื้อขายเหมือนสินค้าอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าความคิดนี้ถูกนักวิชาการ และชาวจีนทั้งหลายรุมประณามก่นด่ากันอย่างกันระนาว
กระทั่งทางการต้องแก้เกมใหม่ด้วยการขยายลิมิตวงเงินของการกดเอทีเอ็มเพิ่มขึ้นจากวันละ 5,000 หยวน (ราว 25,000 บาท) ขึ้นมาเป็นไม่เกินวันละ20,000 หยวน (ราว 100,000 บาท) เนื่องจากยอด 5,000 หยวนนั้นต่ำเกินไป ทำให้ผู้ประกอบการทั้งหลายทั้งในและต่างประเทศต้องเสียเวลาเดินทางและเสียเวลาไปต่อคิวในธนาคารเพื่อเบิกเงิน
บริษัทรับจ้างต่อคิว
และแล้วเรื่องขำๆอีกเรื่องในภาวะสุดวิสัยแบบนี้ก็เกิดขึ้น เมื่อสื่อจีนรายงานข่าวว่า ในเมืองกว่างโจว ได้มีคนจัดตั้ง “บริษัทรับบริการต่อคิว” หรือพูดง่ายๆก็คือบริษัทรับจ้างต่อคิว อย่างถูกกฎหมาย โดยเริ่มต้นด้วยการจ้างพนักงาน 20 คนเพื่อทำการวิ่งต่อคิวแทนลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาขอใช้บริการ
ไอเดียใสปิ๊งนี้เกิดจากความคิดของสาวน้อยคนหนึ่งนามเจียงอี้ว์เฟิ่ง โดยเธอได้เล่าว่า “มันเริ่มต้นเมื่อปลายปี 2005 วันนั้นฉันมุดฝูงชนเข้าไปต่อแถวเพื่อเตรียมถอนเงินจากเค้าท์เตอร์ธนาคาร ฉันได้บัตรคิวหมายเลข 189 และรอคิวอยู่นานกว่า 2 ชั่วโมง พอใกล้ถึงคิวฉัน จู่ๆก็มีวัยรุ่นคนหนึ่งมาบอกว่า “คุณครับ ช่วยหน่อยได้ไหม ผมต้องรีบเบิกเงินไปให้ลูกค้า แต่ผมได้คิวหมายเลข 300 ขืนรอต่อไปวันนี้คงไปไม่ทัน ช่วยแลกคิวกับผมหน่อยได้ไหมครับ ผมให้คุณ 30 หยวนเลย (ราว 150 บาท)”
บัตรคิวที่ได้เปล่า กลับสามารถขายได้ถึง 30 หยวน เจียงอี้ว์เฟิ่งจึงรีบตกลงขายคิวนั้นให้ทันที หลังจากเรื่องนั้นผ่านไปไม่นาน อีกครั้งหนึ่งในขณะที่เจียงเดินผ่านไปที่ทรัสต์มาร์ท เห็นว่าวันนั้นมีคนคึกคักมากกว่าปกติ เมื่อเข้าไปจึงพบว่าวันนี้มีการลดราคาสินค้า แต่ละเค้าท์เตอร์มีคนเบียดเป็นแถวยาวนับ 100 เมตร
เจียงรีบเข้าไปต่อคิว ต่อไปเรื่อยๆจนเมื่อใกล้ถึงคิวของเธอ และเป็นช่วงที่กิจกรรมลดราคาก็กำลังจะจบ เธอกลับพบว่าเหลือเงินในกระเป๋าเพียง 5 หยวน ดังนั้นเจียงจึงรีบตะโกนขึ้นมาว่า “ฉันลืมหยิบกระเป๋าสตางค์มา ใครอยากได้คิวของฉันบ้าง ฉันขาย 15 หยวน (ราว 75 บาท)” หลังจากสิ้นเสียงของเธอ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นพร้อมๆกันจากผู้คนรอบด้าน แต่แล้ว..สิ่งที่หลายคนนึกไม่ถึงก็คือ มีคนร่างท้วมคนหนึ่งที่ต่ออยู่ช่วงท้ายแถวรีบวิ่งเข้ามาบอกว่า ขายให้ฉันเถอะ!
ประสบการณ์ “จับเสือมือเปล่า” ทั้ง 2 ครั้งได้ทำให้เจียงคิดว่า “เวลาเป็นเงินเป็นทอง” พร้อมทั้งเชื่อว่า “การรับจ้างต่อคิว” ให้คนอื่น ยังเป็นการช่วยเหลือคนอีกด้วย โดยเจียงระบุว่า “ตลาดแบบนี้มีโอกาสอยู่มาก ฉันถึงตัดสินใจมา “ขายเวลา” ให้”