“......เสียใจด้วย เจ้าโดนพิษ 100 บุปผา ที่มีผลทำให้ในร่างกายปั่นป่วน ธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณแตกซ่านจนไม่สามารถเดินลมปราณขับพิษได้ด้วยตัวเอง มีแต่หญ้าหิมะพันปีจากเขาคุนลุ้นเท่านั้นที่จะช่วยเจ้าได้......”
เชื่อว่าคอกำลังภายในส่วนใหญ่คงจะคุ้นเคยกับประโยคที่เหมือนหรือคล้ายคลึงกับประโยคข้างต้นเป็นอย่างดี เพราะในหนังสือ ภาพยนตร์ หรือการ์ตูนกำลังภายในจีนแทบจะทุกเรื่องมักจะปรากฏเหตุการณ์ที่ตัวละครตัวใดตัวหนึ่งโดนพิษที่สกัดจากพืชหรือสัตว์ร้ายแรง และมีเพียงสมุนไพรไม่กี่ชนิดในโลกที่สามารถถอนพิษได้
ซึ่ง ธาตุไฟ ลมปราณ เหล่านี้ต่างสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะเด่นของศาสตร์การแพทย์แผนจีน ที่แม้ว่าอยู่นอกเหนือบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ แต่ก็สืบทอดต่อเนื่องกันมาเป็นร้อยเป็นพันปีในแนวทางของตัวเอง
ถงเยิ๋นถัง( 同仁堂 )คือหนึ่งในผู้สืบทอดศาสตร์การแพทย์แผนจีน และร้านยาสมุนไพรจีนชื่อดังอันดับต้นๆ ในแผ่นดินจีน ซึ่งเป็น 1 ในเครื่องหมายการค้าคลาสสิคอันเก่าแก่เพียงไม่กี่เจ้าในประเทศจีนที่ยังคงดำเนินกิจการมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ส่วนในประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่มีตัวแทนจำหน่ายของยาสมุนไพรยี่ห้อนี้ ศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้เข้ามาฝังรากลึกแค่ไหน? กิจการร้านยาสมุนไพรของถงเยิ๋นถังไปได้ดีเพียงใด? ชื่อเสียงขจรขจายดังเช่นในแผ่นดินแม่หรือไม่ ? คงต้องมาหาคำตอบกัน
เส้นทางสู่ถงเยิ๋นถังเมืองไทย
ยุทธเดช เวชพงศารองกรรมการผู้จัดการบริษัท เป่ยจิง ถงเยิ๋นถัง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารรุ่นที่ 3 ในกิจการยาสมุนไพรของครอบครัวเวชพงศาเล่าถึงความเป็นมาของ เป่ยจิง ถงเยิ๋นถังในประเทศไทยว่าเป่ยจิง ถงเยิ๋นถัง (ประเทศไทย) เกิดขึ้นจากการร่วมมือระหว่างบรรษัทเป่ยจิง ถงเยิ๋นถัง และกลุ่มบริษัท เวชพงศ์โอสถ ซึ่งแต่เดิมธุรกิจของครอบครัวเวชพงศาก็คือเวชพงศ์โอสถ หรือที่รู้จักกันในชื่อของ 'ฮกอันตึ๊ง (福安堂 )' ซึ่งดำเนินกิจการมากว่า 90 ปีแล้ว โดยผลิตภัณฑ์ที่รู้จักกันดีคือ ธุรกิจยา เวชพงศ์โอสถ และ น้ำผึ้งเวชพงศ์
เมื่อดำเนินกิจการมาจนถึงสมัยที่หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ไทยมีความคิดที่จะเปิดสัมพันธ์กับประเทศจีนอีกครั้งจึงมีการเชิญนักธุรกิจไทยที่มีความรู้ทางด้านจีนเดินทางไปยังเมืองจีนซึ่งหนึ่งในผู้ที่เดินทางไปครั้งนั้นก็คือคนในครอบครัวเวชพงศา
หลังจากเปิดประเทศ จีนได้เริ่มเสนอส่งออกสินค้าต่างๆ มาขายเมืองไทยโดยผ่านทางครอบครัวเวชพงศา ซึ่งหนึ่งในสินค้าเหล่านั้นได้รวมเอายาสมุนไพรของถงเยิ๋นถังรวมอยู่ด้วย แต่การนำเข้ามาขายครั้งนั้นเป็นการนำเข้ามาขายในร้านของเวชพงศ์โอสถไม่ได้นำแบรนด์ถงเยิ๋นถังเข้ามาเต็มตัว
พอถึงปี พ.ศ.2543 (ค.ศ.2000) เมื่อประเทศจีนเปิดประเทศเต็มตัว บรรษัทถงเยิ๋นถังเองก็ต้องการที่จะขยายเครือข่ายออกนอกประเทศ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยนั้นด้วยความที่เป็นลูกค้าเก่าแก่ มีความไว้เนื้อเชื่อใจและมีสัมพันธ์อันดีต่อกัน ถงเยิ๋นถังจึงได้ติดต่อเวชพงศ์โอสถมาร่วมทุนตั้งบริษัท เป่ยจิง ถงเยิ๋นถัง(ประเทศไทย) จำกัด โดยฝ่ายไทยถือหุ้นร้อยละ 51 ฝ่ายจีนถือหุ้นร้อยละ 49 และเป็นตัวแทนขายผู้เดียวในประเทศไทย
นอกจากนั้นถงเยิ๋นถังยังได้ลงทุนในหลายๆ ประเทศด้วย เช่น ฮ่องกง สิงค์โปร์ ไทย มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา ออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา และในทวีปยุโรปก็กำลังจะเปิดสาขาอีกหลายแห่ง ส่วนอเมริกายังไม่มี เนื่องจากปัจจุบัน กฎการนำเข้าสมุนไพรจีนยังคงต้องนำเข้าในแง่ที่เป็นอาหารเสริม (Food supplements) เท่านั้นแต่ไม่สามารถนำเข้าสมุนไพรจีนในฐานะที่เป็นยารักษาโรคได้
เมื่อเข้ามาจดทะเบียนร่วมทุนเปิดบริษัทในประเทศไทยขึ้นมาแล้ว ถงเยิ๋นถัง(ประเทศไทย) ได้ทำการจำหน่ายยาจีนแผนโบราณสำเร็จรูปและยาจีนสมุนไพรที่ต้องนำมาปรุงหรือแปรรูป รวมทั้งยังเปิดสถานพยาบาล บริการตรวจรักษาโดยแพทย์แผนจีน ภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับถงเยิ๋นถังในประเทศจีน โดยแพทย์ที่ให้การตรวจรักษานั้นมีทั้งแพทย์อายุรกรรม(หมอแมะ) และแพทย์ฝังเข็ม
เล็งตีตลาดคนรุ่นใหม่
ยุทธเดชกล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักของยาสมุนไพรถงเยิ๋นถังย่อมเป็นชาวจีนในประเทศไทย แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกคนจีนและกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็เป็นลูกค้าเป้าหมายถัดไปด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องพัฒนาภาพลักษณ์ของร้านยาจีนโบราณให้ดูทันสมัย เข้าถึงง่าย เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวด้วย
“กลุ่มลูกค้าของเราแน่นอนว่ากลุ่มแรกก็คือกลุ่มฮาร์ดคอร์หรือคนจีนในไทยที่ยังเหนียวแน่นกับวัฒนธรรมจีน สังเกตว่าที่ตั้งของร้านเราต้องมาตั้งที่นี่(เจริญกรุง) ซึ่งเป็นย่านคนจีนในเมืองไทยเพราะลูกค้ากลุ่มนี้เป็นกลุ่มหลักและมีจำนวนมากที่สุด
“กลุ่มถัดไปที่เราตั้งเป้าไว้คือกลุ่มลูกจีนที่รู้จักยาจีนในระดับหนึ่งมีความไว้ใจยาจีนในระดับหนึ่ง แต่ด้วยความยุ่งยากในการปรุงยาจีนเลยทำให้เราต้องพยายามทำร้านเราให้เป็นแบบUser-friendly คือคุณไม่รู้เรื่องยาจีนคุณเข้ามาคุยได้ สอบถามได้ แม้ว่าไม่เข้ามาซื้อหา มาถาม มาคุย ได้หมด เรายินดีให้คำอธิบาย
“นอกจากนั้นการให้ยาปรุงยาก็ต้องง่ายขึ้น ยกตัวอย่างสมัยก่อนหาหมอเขาก็ต้องมีใบสั่งยามา มีชื่อยาเป็น 10 ตัว ก็ต้องไปจัดยาหรือที่เรียกว่า 'เถี่ยเอี๊ย' แล้วร้านก็จะให้ยามาเป็นห่อๆ เอาไปต้มที่บ้านทีละห่อเป็นถ้วยมานั่งกิน ต้มแบบ 10 ส่วน เหลือ 8 ส่วน ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่ทำ ทำไม่เป็น ไม่มีเวลาด้วย ให้ผมทำผมก็ไม่ หรือสมัยก่อนก็มีฝากร้านต้มแต่แบบนั้นพอถึงเวลาคุณต้องมากินยาที่ร้านทุกวันซึ่งชีวิตสมัยก่อนทำได้แต่เดี๋ยวนี้ทำลำบาก เพื่อแก้ปัญหานี้เราก็เลยมีการต้มเตรียมให้เป็นถุงกลับไปบ้านเอาเข้าไมโครเวฟกินได้เลย”
เพื่อซื้อใจลูกค้า นอกจากการปรับปรุงร้านให้ทันสมัยเข้าถึงง่ายแล้วอุปสรรคอีกประการหนึ่งที่ยุทธเดชต้องพาธุรกิจยาสมุนไพรจีนฝ่าข้ามไปคือการสร้างความน่าเชื่อถือของการรักษาและการจ่ายยา
“ลูกค้าอีกกลุ่มคือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความรู้ไม่ไว้ใจอะไรง่ายๆ คิดแบบที่เป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น ขณะที่ร้านของผมสามารถที่จะอธิบายได้ตั้งแต่เริ่มต้นจนสุดท้ายเขาสามารถเห็นกระบวนการที่โปร่งใสว่าทำไมถึงต้องรักษาแบบนี้เขาสามารถตัดสินใจได้ ยกตัวอย่างเช่นมาหาหมอที่นี่คุณก็เลือกหมอเอาเองได้ พอหาหมอเสร็จได้ใบสั่งยา เราตัดตอนชัดเจนคือคุณไม่สั่งยาที่นี่ก็ได้ก็เอาใบสั่งยาไปที่อื่นก็ได้ ไม่ใช่หาหมอเสร็จแล้วรอรับยาเลยโดยไม่เห็นใบสั่งยา เราแยกใบสั่งยาและเขียนตัวยาชัดเจนถัดไป พอลงไปจัดยาและคิดเงินแล้วคุณจะรับยาหรือไม่ก็ได้หากเห็นว่าแพงไปจะไม่เอาก็ได้หรือเดินไปหาหมอบอกว่ายาราคาแพงไปช่วยจัดยาที่สรรพคุณคล้ายกันแต่ราคาถูกกว่านี้อีกนิดให้ใหม่ก็ได้ ส่วนการจัดยาเราก็จัดให้เห็นกันตรงนั้นไม่ได้ไปแอบซ่อนกันที่ไหน ข้อสำคัญของเราคือยาของเราเป็นยาจีนที่ดีที่สุดในประเทศไทย สะอาด สด คุณภาพสมกับที่นำเข้าตรงมาจากปักกิ่ง ”
คัดสรรยา-แพทย์คุณภาพ
ทั้งนี้การนำเข้ายาสมุนไพรจีนมายังประเทศไทยนั้น ยุทธเดชเล่าว่าทางกระทรวงสาธารณสุขไทยและผู้ประกอบการจะยึดตามตำรายาสมุนไพรจีน หากสมุนไพรที่นำเข้ามามีบันทึกในตำราว่าเป็นยาจีนก็สามารถนำเข้ามาจำหน่ายได้
ส่วนแพทย์แผนจีนที่ประจำอยู่ในร้านถงเยิ๋นถังนั้น มีทั้งหมด 6 คน โดยมีทั้งแพทย์ชาวจีนที่อพยพเข้ามาและลูกหลานชาวจีนในไทยที่เดินทางไปศึกษาด้านการแพทย์ที่ประเทศจีนและปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข รวมทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับให้ศาสตร์การแพทย์จีนเป็นศาสตร์ทางเลือก โดยกำหนดให้แพทย์แผนจีนต้องผ่านการสอบเพื่อขอรับใบประกอบโรคศิลป์ก่อนซึ่งแพทย์ในร้านถงเยิ๋นถังนั้นสอบผ่านเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้นักศึกษาด้านแพทย์แผนจีนในบางสถาบันของเมืองไทยก็เป็นบุคลากรอีกกลุ่มหนึ่งที่ยุทธเดชคาดหวังว่าจะมาเป็นกำลังสำคัญในอนาคต
“ตอนนี้เราก็มีปัญหาอยู่บ้างคือบุคลากรด้านจีนแม้แต่คนที่พูดจีนได้มีน้อยมาก แล้วงานอยู่กับคนแก่อยู่กับความเจ็บป่วยคนหนุ่มสาวจะไม่ค่อยอยากทำ เราก็ต้องไปเสาะหากันนิดนึงถึงจะเจอคนที่อยากทำ ซึ่งบุคลากรด้านแพทย์แผนจีนโดยตรงในประเทศ ตอนนี้ก็มีเปิดสอนที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทน์เกษม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งเราก็รอเวลาที่กลุ่มนี้จะจบออกมา เพราะจากที่ไปคลุกคลี ก็พบว่ามีบุคคลที่มีศักยภาพ มีความสนใจใฝ่รู้ด้านนี้อยู่เช่นกัน”
ในส่วนของการจ่ายยานั้นยุทธเดชก็ได้ออกแบบระบบจ่ายยาที่น่าเชื่อถือให้กับถงเยิ๋นถังอีกด้วย
"ตัวผมเป็นเภสัชกรแผนปัจจุบัน ทางครอบครัวผมสอนมาว่าเราจะต้องไม่เอากำไรนำหน้าเพื่อที่คนไข้ก็มีความสุข เราก็มีความสุข คนไข้อยากที่จะมาหาเรา อย่างถงเยิ๋นถังเมืองจีนจะโดดเด่นในเรื่องชนิดของสมุนไพรที่หยิบจากในประเทศมีเป็นพันเป็นหมื่นชนิด ขณะที่ของเราแค่หลัก 100 แต่เราโดดเด่นด้านการบริการเพราะทางโน้นเขาตั้งสมมติฐานว่าผู้ใช้ยารู้เรื่องจึงไม่ได้อธิบายวิธีใช้ให้ลูกค้าฟังเท่าไหร่ แต่เราจะต้องแน่ใจว่าลูกค้าเข้าใจวิธีใช้จึงจะปล่อยเขาไป อย่างที่นี่ ด้วยความที่ผมก็เป็นเภสัชกรแผนปัจจุบันผมก็เลยออกแบบระบบที่นี่ให้เป็นระบบที่มีดับเบิ้ลเช็คกันเสมอ เพราะเราถือว่าเรื่องยาผิดไม่ได้แต่เราไม่ได้ไปดับเบิ้ลเช็คหมอนะ เราดูในส่วนของการจ่ายยาโดยจะมีคนอ่านใบสั่งยาที่จะต้องอ่านภาษาจีนได้และจะต้องรู้เรื่องยาสมุนไพรจีน สามารถพบเมื่อมีข้อผิดพลาดเกินขึ้น เช่น ยาที่ไม่ควรต้องอยู่ด้วยกันหรืออย่างยาที่ให้ปริมาณมากเกินไป หรือยาตัวนี้เป็นยาคนละหมวดหมู่กับยาตัวอื่นๆ มาอยู่ได้ยังไง เป็นต้น เพราะบางทีเขียนผิดนิดเดียวความหมายก็เป็นคนละฟาก เมื่อเช็คแล้วก็เอาใบสั่งส่งให้คนจัดยา อันนี้ง่ายเพราะผมสร้างระบบให้คนจัดยาเป็นใครก็ได้ ไม่ต้องรู้ภาษาจีนก็ได้ พอจัดยาเสร็จจะต้องมีอีกคนที่ไม่ใช่คนแรกมาตรวจดูอีกครั้งหนึ่งว่ายาที่จัดมาตรงกับใบสั่งยาหรือไม่ น้ำหนักถูกต้องไหมแล้วทุกคนก็ต้องมาเซ็นชื่อรับรองไว้ด้วย ส่วนคำอธิบายยาก็แปลเป็นไทย-จีนกำกับไว้ที่ห่อยาด้วย"
แผนจีนหรือแผนปัจจุบัน?
จากคำกล่าวที่ว่า “แพทย์แผนจีนรักษาคน ไม่รักษาโรค” นั้นแสดงให้เห็นถึงลักษณะเด่นของศาสตร์การแพทย์แผนจีนได้ชัดเจน โดยยุทธเดชชี้แจงว่าศาสตร์การแพทย์แผนจีนเน้นว่าสภาวะธรรมชาติของคนควรจะแข็งแรง ดังนั้นคือทำทุกอย่างให้กลับสู่สภาวะธรรมชาติคือคนต้องแข็งแรง และที่สำคัญการแพทย์แผนจีนดูอะไรไม่ได้ดูแยกส่วน ไม่เหมือนการแพทย์แผนตะวันตกที่รักษาทีละอาการ ทีละอวัยวะ โดยการแพทย์แผนจีนเชื่อว่าแต่ละส่วนสัมพันธ์กันไปหมดเช่นร้อนใน กับท้องผูก ถ้าจะรักษาร้อนในก็ต้องรักษาท้องผูก ส่วนถ้าจะรักษาท้องผูกก็ต้องรักษาร้อนในเพราะทั้ง 2 อาการเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวเนื่องกัน แม้ว่าอาการเกิดคนละที่ (ร้อนในเกิดที่ปาก-ที่ตา แต่ท้องผูกอยู่ในกระเพาะ ในลำไส้) ก็ตาม
อย่างไรก็ตามยุทธเดชยอมรับว่าข้อด้อยของศาสตร์การแพทย์แผนจีนก็มีเช่นกันคือออกฤทธิ์ช้าและเป็นศาสตร์ที่อาศัยการสังเกต ไม่ได้ผ่านกระบวนการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
“ศาสตร์การแพทย์แผนจีนก็ยังมีข้อด้อยอยู่บ้างเนื่องจากการแพทย์แผนจีนใช้ยาสมุนไพรซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้แปรรูปดังนั้นยาจะยาออกฤทธิ์ช้า กลายเป็นว่าโรคบางโรครักษาด้วยแพทย์แผนจีนไม่ทัน โรคที่มันเป็นโรคปัจจุบันทันด่วนนี่ไม่ทันเช่น โรคลมชักที่กำลังชักอยู่ อุบัติเหตุ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ปัจจุบันทันด่วน ไข้ขึ้นสูง พวกนี้ผมก็ไม่แนะนำให้ใช้ยาแผนจีน ต้องใช้ยาแผนปัจจุบัน
“นอกจากนั้นทฤษฎีของแพทย์จีนไม่ได้เป็นทฤษฎีที่พิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ว่าทดลองทำซ้ำกี่คนก็ได้ข้อสรุปเดียวกันจึงสามารถอธิบายปรากฏการณ์ได้ แต่ของจีนอาศัยความเคยชิน และการสังเกต เอาผลไปอธิบายเหตุ ซึ่งสามารถใช้อธิบายได้ในโลกของแพทย์แผนจีนและใช้ได้จริง แต่พอออกพ้นกรอบแพทย์แผนจีนเอาไปเทียบกับวิทยาศาสตร์มันอธิบายไม่ได้ อย่างหนังกำลังภายใน พระเอกโคจรลมปราน ธาตุไฟแตก ทางจีนเขาบอกมีลมปราณโคจรในร่างกาย ถ้าเผื่อมันไปอุดกั้น ทำให้เกิดไฟร้อนขึ้นจากตับไปเผาหัวใจทำให้ธาตุไฟแตก เป็นต้น และมีวิธีการรักษาคือใช้ยาไปสงบตับแล้วหัวใจจะหายเอง นี่คือทฤษฎีของแผนจีนแต่ว่าไอ้ลมปราณที่โคจรเนี่ยพอเทียบจับด้วยวิทยาศาสตร์มันไม่มี ไฟตับก็ไม่มี มันเป็นนามธรรมและแผนจีนมีอวัยวะหลัก 5 อย่าง ตับ ไต ม้าม หัวใจ ปอด และธาตุทั้ง 5 คือไม้ น้ำ ไฟ ดิน ทอง แต่ละอันก็ประสานกัน ข่มกันไปมา แต่ความจริงมันไม่มี แต่ก็เอามาอธิบายเชื่อมโยงและเกิดผลในการรักษาจริง มันเป็นทฤษฎีซึ่งภาษาวิทยาศาสตร์เรียกว่า Empirical คือเอาสิ่งที่เห็นมาอธิบายเหตุ อย่างแพทย์แผนจีนใช้วิธีนี้มาเป็นพันปี มีการขัดเกลามาเรื่อยๆ และใช้งานได้จริง”
อย่างไรก็ตาม จุดด้อยของการแพทย์แผนจีนอันนี้ กลับกลายเป็นตัวเกื้อหนุน เติมเต็มให้กับการแพทย์แผนปัจจุบันด้วยเช่นกัน
“การแพทย์แผนจีนนั้นเหมาะกับ โรคเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเรื้อรังที่การแพทย์แผนปัจจุบันไม่รู้จะรักษาอย่างไร ภาษาจีนคือ 'ม่านซิ่งปิ้ง(慢性病)' และ 'โรคชรา' ที่เรียกว่าเหล่าเหยินปิ้ง(老人病) ที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่ได้ เหตุที่รักษาไม่ได้เพราะปรัชญาของแพทย์แผนปัจจุบันนั้น การรักษาเขาเต้องดูว่าเกิดกับอวัยวะใด เกิดจากเชื้ออะไร เกิดจากสารเคมีอะไร เกิดจากความผิดปกติที่ไหน เดี๋ยวนี้ถึงขั้นเกิดจากดีเอ็นเอตัวไหน เช่นธาลัสซีเมีย หรือเบาหวาน แต่บางโรคจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ผมย้อนกลับไปที่โรคร้อนใน แผนปัจจุบันเอาไปตรวจให้ตายยังไงก็ไม่เจอ ตรวจเลือด ตรวจอิเลคโตรไลต์ ตรวจตับ ตรวจไต ทุกอย่างรับรองค่าปกติหมดเพราะว่าความผิดปกติในร่างกายมันแกว่งอยู่ในลิมิตปกติในความหมายของแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ว่ามันสะสมอย่างละนิดละหน่อยเพราะงั้นก็รักษาไม่ได้ได้แต่รักษาตามอาการ เช่น ป้ายปาก แต่ในขณะที่แพทย์แผนจีนมีทฤษฎีของเขาเองที่เอาไปจับและอธิบายได้ เลยรักษาได้”
อย่างไรก็ตามผู้บริหารของถงเยิ๋นถังประเทศไทยแนะว่า โรคบางโรคสามารถรักษาโดยใช้การแพทย์แผนปัจจุบันและแผนจีนควบคู่กันไปได้โดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันในการรักษาอาการเฉพาะหน้าและใช้แผนจีนรักษา-แก้ไขอาการระยะยาวเช่น โรคเส้นเลือดในสมองตีบ โดยขั้นต้นต้องไปหาแพทย์แผนปัจจุบันเพื่อรับยาละลายลิ่มเลือด แต่ด้วยความที่ผู้ป่วยโรคเส้นเลือดในสมองตีบจะมีอาการอัมพฤกษ์ควบคู่ไปด้วยเพราะสมองซีกนั้นไม่ได้รับเลือดชั่วคราว ซึ่งเมื่อจะรักษาอาการอัมพฤกษ์จะต้องรอให้ร่างกายฟื้นฟู ตรงนี้สามารถจะดึงเอายาแผนจีนเข้ามาช่วยได้เพราะแผนจีนมีวิธีรองรับมากมายเกี่ยวกับโรคเส้นเลือดในสมองตีบ ทั้งวิธีฝังเข็มกระตุ้นส่วนที่ช็อกไปจากการขาดเลือด ทั้งนี้ปัจจุบันนี้มีแพทย์แผนปัจจุบันหลายรายที่มาเรียนฝังเข็มเพื่อไปใช้ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูด้วย
แนวโน้วธุรกิจร้านยาจีนในประเทศไทย
ยุทธเดช เปิดเผยว่า กิจการของถงเยิ๋นถังในปัจจุบันชะลอตัวลงเล็กน้อยตามสภาพเศรษฐกิจโดยรวม แต่ไม่น่าหนักใจ เนื่องจากเขาไม่ได้พุ่งเป้าในการเก็งกำไรสูงสุด
“เดือนนี้ก็ซบๆไปบ้างจากพิษเศรษฐกิจ แต่การที่ผมอยู่ในธุรกิจยาถือว่าโชคดี เพราะธุรกิจยาเป็นธุรกิจที่ไม่หวือหวาแต่พอเศรษฐกิจไม่ดีก็ไม่ได้ตกมากมายเพราะยาเป็นปัจจัย 4 จะทำให้รวยมากๆ เหมือนอสังหาริมทรัพย์ก็คงทำไม่ได้ เพราะคนเราก็คงไม่ป่วยอะไรกันมากมายขนาดนั้นและการที่จะไปเอากำไรมากๆ จากยารักษาโรคนี่มันก็ผิดจรรยาบรรณด้วย ทางผู้ใหญ่ตั้งแต่รุ่นอากงสอนมาว่าเวลาคนไข้มาหาเราเขาก็เดือดร้อนจากการเจ็บป่วยมาขั้นนึงแล้วอย่าให้เขาต้องมาเดือดร้อนขั้นที่ 2 จากการไร้จรรยาบรรณของเรา แต่มาแล้วต้องหายกลับไป”
ส่วนคู่แข่งกิจการยาสมุนไพรจีนในประเทศไทยนั้น ยุทธเดชกล่าวว่าเขาไม่ถือว่าใครเป็นคู่แข่งเนื่องจากแทบทุกรายต่างก็เป็นคู่ค้ากัน ซึ่งถ้าหากตลาดการแพทย์แผนจีนเติบโตขึ้นก็ถือว่าเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย นอกจากนั้นตลาดของถงเยิ๋นถังยังเป็นตลาดใหม่ที่มีแน้วโน้มจะพัฒนาไปได้อีกมาก
“คือถ้าหากคุณทำยาจีนแบบดั้งเดิมตลาดอาจจะหดตัวลงบ้างเพราะคนจีนแบบดั้งเดิมก็น้อยลงไปเรื่อยๆ แต่ขณะเดียวกันถ้าเผื่อขยายขยับตลาดมาอีกนิดกลายเป็นร้านยาจีนแผนใหม่ ทันสมัย เข้าถึงได้ง่ายอย่างถงเยิ๋นถังอย่างนี้ ตลาดมันจะเปลี่ยนไปซึ่งอยู่ในขณะที่กำลังขยายตัวด้วยซ้ำไปบางสัปดาห์คนหนุ่มคนสาว คนไทยแท้ๆ จากต่างจังหวัดเหมารถกันเข้ามาให้รักษา มาซื้อยาที่ร้านก็มีซึ่งตรงนี้ผมก็ดีใจ ตลาดสองตลาดมันใกล้กันมากขึ้นอยู่กับว่าคุณจะอยู่ในตลาดไหน”
ยาจีนกับเสตียรอยด์
สุดท้าย ยุทธเดชฝากข้อคิดเกี่ยวกับ กรณีความเชื่อที่ว่ายาสมุนไพรจีนมักปลอมปนเสตียรอยด์รวมถึงวิธีป้องกัน
“ผู้บริโภคบางคนเชื่อว่ากินยาจีนเสี่ยงกับเสตียรอยด์ อันนี้ใช่ครับเสี่ยงแน่ถ้าคุณยังไปเชื่อกับยาที่เขาบอกว่ามีสรรพคุณรักษาได้ 108 อย่าง กินเช้า หายเย็น กินแล้วหายทันที หรือยาที่ไม่มีที่มาเพราะยาพวกนี้หากใส่เสตียรอยด์มาคุณไม่มีทางรู้และเขาก็มักจะใส่ด้วยเพราะอย่างที่ผมกล่าวไว้ตอนต้นว่ายาจีนมันออกฤทธิ์ช้า ดังนั้นคนที่อยากจะขายมากๆ เขาก็ต้องเร่งให้มันออกฤทธิ์เร็วเหมือนกับยาวิเศษ กินแล้วหายเลย กำลังปวดเมื่อย กินแล้วหายเลย อันนี้ฟันธงเลยว่าเสตียรอยด์ไม่ใช่ยาจีนเพราะยาจีนต้องช้า
“วิธีป้องกันง่ายๆ คือดูยาจีนที่มี อย. แค่นี้เอง แม้กระทั่งยาจีนที่บอกว่าได้จากหมอได้จากญาติถ้าไม่มี อย. ก็ต้องระวัง ส่วนสรรพคุณก็ต้องเป็นเฉพาะทางไม่ใช่ครอบจักรวาลครับ”
แถมเคล็ดลับวิธีดูโสม
การดูโสม ดี-ไม่ดี นั้นผู้บริหารถงเยิ๋นถัง(ประเทศไทย) แนะว่ามีวิธีดูง่ายๆ อยู่ 4 ประการคือ
1.อายุโสม ยิ่งนานยิ่งดี
2.ความสมบูรณ์ของลายเส้นบนตัวโสม ยิ่งชัดยิ่งดี
3.ระบบรากต้องยาว และมีปมรากเยอะ
4.เป็นโสมป่าหรือโสมเลี้ยง ถ้าเป็นโสมป่าราคาจะแพงกว่าประมาณ 10 เท่า
ส่วนโสมต้นที่นำมาโชว์นั้นมีอายุ 40 ปี ราคาอยู่ที่ 80,000 บาท ซึ่งยุทธเดชชี้แจงว่าระบบรากของโสมต้นดังกล่าวขาดไปเล็กน้อย ซึ่งหากระบบรากแข็งแรงกว่านี้จะมีราคาสูงถึง 100,000 บาทเลยทีเดียว
(ปัจจุบันร้านยาสมุนไพรถงเยิ๋นถังสาขาประเทศไทย ตั้งอยู่ที่ 554-558 ถนนเจริญกรุง แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กทม.10100 โทร 0-2623-2280-3, 0-2623-2286)
อ่านความเป็นมาของถงเยิ่นถัง