xs
xsm
sm
md
lg

เปลื้อง “ทองห่อผ้าขี้ริ้ว” ในศึกโค่นบัลลังก์วังทอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้กำกับดังแดนมังกรจางอี้โหม่ว กลับมาประกาศศักดาฝีไม้ลายมือในวงการจอเงินโลกอีกครั้ง ในศึกโค่นบัลลังก์วังทอง หรือในชื่อจีน满城尽带黄金甲 (หม่าน เฉิง จิ้น ไต้ หวง จิน เจี่ย )และชื่ออังกฤษ Curse of The Golden Flower งานนี้ จางอี้โหม่วหยิบเอาสองสิ่งที่เป็นยอดแห่งความโดดเด่นสองประการของแผ่นดินมังกรมาหลอมรวมเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทุ่มทุนสร้างถึง 45 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยได้หยิบเอาพล็อตเรื่องจากบทละครเวทีคลาสสิก เหลย-อี่ว์ (雷雨/Thunderstorm )(1933)ของนักเขียนบทละครมือหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 20 ของจีนคือ เฉา อี่ว์(曹禺)และความอลังการแห่งยุคราชวงศ์ถังที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน

เหลยอี่ว์เป็นละครเวทีคลาสิกของจีนที่กระชากหน้ากากชน ชั้นสูงที่มั่งคั่งในสังคมศักดินาได้อย่างลึกซึ้งถึงขีดสุด สะท้อนอิทธิพลอำนาจที่ได้มาจากความฉ้อฉล หน้าไหว้หลังหลอก สารพัดสิ่งสามานย์ ซึ่งได้ถูกซุกซ่อนไว้ภายในเปลือกนอกอันทรงเกียรติภูมิสูงส่ง และผลกรรมที่เป็นโศกนาฏกรรมที่ตามมาอย่างเลวร้ายสะเทือนช็อกผู้ชม

จางอี้โหม่วได้นำพล็อตเรื่องจากเหลยอี่ว์ มาใส่ในฉากราชสำนักราชวงศ์ถัง อันขึ้นชื่อเป็นยุคทองแห่งศักดินาที่รุ่งโรจน์ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน ฉากเมลืองมลังโดยใช้สีทองตกแต่งบรรยากาศทั้งหมดในเรื่องอย่างตระการตาสุดสุด ถูกปั้นขึ้นมาเป็นเปลือกห่อหุ้มชีวิตอันดำมืด

...เรื่องราวที่สามีบังคับให้ภรรยากินยา(พิษ)เพื่อรักษาโรคประหลาด, แม่เลี้ยงผู้เก็บกดกับความเย็นชาและว้าเว่ เป็นชู้กับลูกเลี้ยง, พี่ชายซึ่งเป็นชู้กับแม่เลี้ยงตัวเองอยู่แล้วยังมีความสัมพันธ์ลับฉันท์ชู้สาวกับน้องสาวแม่เดียวกันของตัวเอง นอกจากนี้ ในศึกโค่นบัลลังก์วังทอง จางอี้โหม่วได้ใส่ความเลวร้ายถึงขีดสุดที่อุบัติขึ้นจากแรงริษยาเครียดแค้นละโมบอำนาจคือ น้องฆ่าพี่ และพ่อฆ่าลูก แถมพ่วงเข้าในพล็อตเรื่องของเหลยอี่ว์

สิ่งเหล่านี้ เป็นการละเมิดต่อครรลองธรรมในความสัมพันธ์ระหว่างคน หรือที่จีนเรียกว่า “เหรินหลุน 人伦”(ได้แก่ นายกับบ่าว, บิดามารดากับลูก, พี่กับน้อง, สามีกับภรรยา และเพื่อน) ซึ่งเป็นเสาเอกของครรลองธรรมในจารีตประเพณีของสังคมศักดินาจีน การมีสัมพันธ์กันระหว่างสายเลือด การละเมิดหรือทำลายถือเป็นความผิดมหันต์ อัปยศบัดสีขั้นเลวร้ายที่สุด

จางอี้โหม่วยกย่องว่าเหลยอี่ว์ ยังคงเป็นแหล่งเนื้อเรื่องที่ลึกซึ้ง เป็นเรื่องราวที่บีบคั้นสร้างความสะเทือนใจแก่ผู้ชม ไม่ว่าจะจับไปวางอยู่ ณ ที่ใด ยุคสมัยไหน ก็กระชากอารมณ์สลดรันทดของผู้ชมกระทั่งในวันนี้อย่างไม่เปลี่ยนแปลง “ความละโมบในอำนาจ เป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายสารพัด เป็นบ่อเกิดของความโลภตะกละตระกรามต่างๆนานาอย่างหาที่เปรียบมิได้”
“ความละโมบในอำนาจ เป็นบ่อเกิดของความชั่วร้ายสารพัด เป็นบ่อเกิดของความโลภตะกละตระกรามต่างๆนานาอย่างหาที่เปรียบมิได้” ผู้กำกับจางอี้โหม่วกล่าวถึงแก่นเนื้อหาศึกชิงบัลลังก์วังทอง
ศึกโค่นบัลลังก์วังทองยังมีสิ่งแฝงเร้นซุกซ่อนอยู่ ที่กลุ่มผู้ชมที่อ่อนไหวทางการเมืองในจีนได้คุ้ยแคะออกมา แม้จางอี้โหม่วจะไม่เคยเปิดเผยออกมาก็ตาม...นั่นก็คือ มีสี่ฉากในภาพยนตร์ที่ละม้ายเหมือนเหตุการณ์ปราบปรามนักศึกษาที่ชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่จัตุรัสเทียนอันเหมินครั้งนองเลือดเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ.2532)

...ฉากแรกคือ ฉากที่โอรสองค์ที่สองเจี่ยหวังจื่อ นำทัพดอกเบญจมาสเคลื่อนมายังพระราชวัง ภาพที่เหล่าทหารติดสัญลักษณ์ดอกเบญจมาสคลาคล่ำออกันนอกพระราชวัง...ฉากทัพรถศึกนับพันขบวนม้านับหมื่น ดูละม้ายกับการผลัดเปลี่ยนอำนาจระหว่างช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนของปักกิ่งในปี ค.ศ. 1989... ใจกลางแห่งอำนาจของจีน มิใช่เป็นเช่นนี้ดอกหรือ?

...ฉากที่สองคือ เมื่อเจี่ยหวังจื่อนำทัพเคลื่อนสู่พระราชวัง จู่ๆกองทัพของฮ่องเต้ ก็ดาหน้าออกมา กองทัพดอกเบญจมาสไม่อาจรับมือได้ทันการณ์ ฉากทัพม้านับหมื่นรถศึกนับพันที่ปรากฏกายออกมาในชั่วพริบตานี้ ทำให้หลายคนนึกถึงกลางดึกในวันที่ 3 มิถุนายน ทหารกองทัพปลดแอกแห่งประชาชนจีนที่ซ่อนตัวอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินของมหาศาลาประชาชนและสถานีรถไฟใต้ดิน ได้จู่โจมแบบสายฟ้าแลบ และล้อมกรอบนักศึกษาที่นั่งชุมนุมอย่างสงบที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน

...ฉากที่สาม เมื่อทหารฮ่องเต้ พิชิตทัพดอกเบญจมาสสังหารคู่อริเลือดกระฉูดกระจาย ฉากสลับกลับมาที่ทหารกำลังกระวีกระวาดปักกวาดใช้น้ำฉีดล้างรอยเลือดที่ลานสังหารนั้น หลังจากนั้นก็นำกระถางดอกเบญจมาสมาตกแต่งใหม่ดูสวยสดงดงาม.... ภาพศึกนองเลือดอย่างเหี้ยมเกรียม และความสงบเรียบร้อยในชั่วพริบตานั้น เหมือนละม้ายที่สุดกับเหตุการณ์ในรุ่งอรุณวันที่ 4 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1989 นั่นคือภาพทหารกองทัพปลดแอกกำลังปัดกวาดจัตุรัสเทียนอันเหมิน

...ฉากที่สี่ คือหลังจากที่เจี่ยหวังจื่อยินดีเลือกอัตวินิบาตกรรม แต่ไม่อาจยอมตามพระราชบิดาฮ่องเต้ ที่ยื่นข้อเสนอให้พระองค์ไถ่โทษกบฏ โดยกล่อมให้ฮองเฮาพระมารดาเสวยยาพิษต่อไป เหตุการณ์นี้ เทียบเคียงได้กับกรณีของจ้าวจื่อหยังในปีนั้น! ในวันที่ 4 มิถุนายน เติ้งเสี่ยงผิงได้เสนอแก่จ้าวจื่อ หยังให้เพียงแต่ทำการสอบตรวจภายในพรรคฯ ก็สามารถไถ่โทษและดำรงตำแหน่งต่อไป แต่จ้าวจื่อหยังก็ยินดีที่จะถูกประณาม ถูกกักกัน มากกว่าที่จะยอมรับสารภาพความผิดทางการเมืองตามแรงบีบคั้น

สำหรับคนที่เคยดูเหลยอี่ว์แล้ว เหลยอี่ว์ทำได้เนียนกลมกลืนกว่า โดยเฉพาะการเผยปมปริศนาในตอนท้ายเรื่อง ขณะที่ศึกชิงบัลลังก์วังทองสะดุดขาดความต่อเนื่องไปในจุดที่ว่าฮ่องเต้รู้เรื่องระหว่างรัชทายาทกับนางสนมเจี่ยงฉานอย่างไร สำหรับในศึกโค่นบัลลังก์วังทอง จางอี้โหม่วได้สร้างศิลปะความขัดแย้งที่ตัดกันอย่างหน้ามือหลังมือโดยนำการสร้างฉากสีทองจรัสเรืองตัดกับความดำมืดมัวหมองที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน และการใช้วันสุกดิบของเทศกาลฉงหยังซึ่งเป็นวันมหามงคลวันหนึ่งตามประเพณีจีน เป็นวันศึกนองเลือดระหว่างกองทัพพ่อ-ลูกคือระหว่างศึกกองทัพดอกเบญจมาสและกองทัพฮ่องเต้กระทั่งเลือดแดงฉานท่วมดงดอกเบญจมาสเหลืองอร่าม

อย่างไรก็ตาม มีกลุ่มวิจารณ์ชี้ว่าจางอี้โหม่วโบะฉากทองจนหลุดข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ อาทิ การสวมเล็บยาวของฮองเฮานั้น ไม่เป็นที่นิยมเลยในยุคราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ซึ่งกว่าจะมาเป็นที่นิยมก็อีกหลายร้อยปีให้หลังในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368-1644), ทองซึ่งเป็นแก่นใจกลางของเรื่องนี้ ตามราชประเพณีแห่งราชสำนักจีนนั้น มีเพียงจักรพรรดิองค์เดียวเท่านั้น ที่สามารถใช้ได้ แม้กระทั่งราชวงศ์ที่ใกล้ชิดก็ไม่อาจสวมอาภรณ์สีทอง หรือกระทั่งใช้สิ่งของที่เป็นสีทอง ผู้ที่ละเมิดจะต้องโทษทัณฑ์ถึงชีวิตทีเดียว, สำหรับชุดเสื้อเกราะโลหะที่จักรพรรดิและเจี่ยหวังจื่อสวมใส่ในภาพยนตร์นั้น ก็ไม่เป็นที่นิยมเลยตลอดประวัติศาสตร์จีน เนื่องจากมันเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนไหวมาก เป็นต้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น