ปักกิ่ง(เอเอฟพี) – หยังฝูสี่ช่างทำคันธนูและลูกธนูแบบดั้งเดิมของจีนคนสุดท้าย กับงานฝีมือที่กำลังจะสูญหาย ซึ่งเขาตั้งปณิธานจะรักษาไว้ให้จงได้
ชายอายุ 48 ปีชาวปักกิ่ง ชายผู้ซึ่งพยายามต่อต้านแรงกดดันของยุคสมัย กล่าวว่าเขาติดค้างบรรพบุรุษของเขา และติดค้างชาวจีนทั้งหมด
"ผมรู้สึกว่าผมต้องรับผิดชอบต่อประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่" เขากล่าวขณะที่นั่งอยู่บนม้านั่งในห้องทำงานเล็กๆ ตรงมุมหนึ่งของบ้าน พร้อมอธิบายถึงงานฝีมือของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยภูมิรู้ที่สั่งสมสืบทอดมาจากช่างทำคันธนูกว่า 100 รุ่น
"คันธนูที่ดีควรจะทำมาจากไผ่เจียงซู และจะต้องเสริมให้แข็งแรงยิ่งขึ้นในตอนปลายด้วยไม้ต้นเอล์ม" เขากล่าว "ซึ่งต้นไม้ดังกล่าวมีความโค้งงอ สามารถดัดได้ง่าย มีอยู่ที่บริเวณเหนือสุดของแม่น้ำแยงซีเกียง อันเป็นบริเวณที่มีความชื้นต่ำ"
หยังเล่าว่าคันธนูแบบดั้งเดิมพัฒนามาจนถึงขีดสุดในช่วงประมาณกลางสหัสวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช และได้ถูกใช้กันมาอย่างต่อเนื่อ จนกระทั่งยุคสิ้นราชวงศ์ชิง (พ.ศ.2187-2454) ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายในประวัติศาสตร์จีน
หลังจากนั้น งานฝีมืออันเก่าแก่ได้สูญหายไปอย่างสิ้นเชิงในชั่วข้ามคืน เมื่อเทคโนโลยีอาวุธแห่งศตวรรษที่ 20 เข้ามาแทนที่ และไม่หลงเหลือใครแม้เพียงสักคนที่จะสามารถสืบทอดประเพณีอันยาวนานของวิชาการยิงธนูนี้
"หากผมสืบทอดงานฝีมือนี้ต่อไปไม่สำเร็จ ประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องยาวนานมากว่า 4,500 ปีโดยไม่ขาดช่วงอาจจะต้องมาถึงจุดสิ้นสุด" หยังกล่าว ขณะที่รอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจเจิดจ้าอยู่บนใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเคราของเขา
หยังภาคภูมิในภูมิหลังของตนเองซึ่งมาจากครอบครัวช่างทำธนูเก่าแก่ชาวแมนจู ซึ่งในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 นั้นแมนจูเป็นชนชาติที่ สามารพิชิตแผ่นดินจีนได้ในการทำสงครามบนหลังม้า
จูหยวนหาว บิดาของหยัง และเป็นเจ้าของกิจการงานทำธนูคนที่ 10 คือผู้ที่อยู่ตรงรอยต่อแห่งยุคสมัย ของการค้าขายแบบโบราณกับโลกอนาคต แต่เขากลับต้องยอมให้ความเชื่อมต่อนั้นถูกทำลายลงไปแทบทั้งสิ้น
ก่อนหน้านี้ในช่วงที่จีนยังอยู่ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์ ผู้เป็นบิดาของหยัง ถูกสั่งให้หยุดการผลิตคันธนู เนื่องจากในช่วงเวลาที่ขาดแคลนวัตถุดิบอาชีพนี้ถูกมองว่าเป็นอาชีพที่สิ้นเปลือง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาที่เหลือในชีวิตการงานของเขาซ่อมแซมเฟอร์นิเจอร์แทน
เมื่อวันเวลาล่วงเลยมาถึงตอนที่หยังต้องเลือกอาชีพ เขาคิดว่ามันน่าจะมั่นคงและปลอดภัยกว่าหากเขาจะเป็นช่างไม้ ซึ่งนี่เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องในทางการเมือง แต่ไม่ใช่สิ่งที่สร้างความพอใจให้กับเขา สุดท้ายหยัง จึงผันตัวมาเป็นโชเฟอร์ขับรถแท๊กซี่
"เมื่อผมอายุ 40 ผมตัดสินใจที่จะกลับมาทำคันธนู ผมจึงขอร้องให้พ่อสอนผม" หยังเล่าต่อ "ผมเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพ่อของผม"
ปัจจุบัน หยังเป็นที่ต้องการตัวเนื่องจากเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ผลิตคันธนูของจีนคนสุดท้าย ซึ่งฝีมือของเขาเพิ่งได้รับการยกย่องผ่านทางจอโทรทัศน์ระดับชาติไปเมื่อเร็วๆ นี้
ลูกค้าของหยัง ซึ่งต่างยอมจ่ายเงินกว่า 3,800 หยวน (490 ดอลลาห์) เพื่อเป็นค่าคันธนูนั้น มีทั้งชาวต่างชาติ และชาวจีน โดยลูกค้าบางรายเป็นผู้มีประสบการณ์ในการยิงธนูเหมือนเขา แต่บางรายก็ซื้อเพียงเพราะประทับใจที่เขาทุ่มเททั้งเวลาและความพยายามในการผลิตคันธนูขึ้นมา
"การทำธนูเป็นกำหนดการที่ไม่สามารถเร่งรัดได้ ช่างฝีมือต้องใช้วิธีการดั้งเดิมในการทำธนู ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอย่างต่ำ 1 ปีเพื่อที่จะทำคันธนูสักอัน" หยังอธิบาย
"ด้านหลังของคันธนูต้องทำให้แข็งแรงด้วยเอ็นวัวหลายๆ ชั้น" เขากล่าว "เอ็นวัวหนึ่งชั้นเมื่อติดกาวไปกับคันธนูแล้วคุณต้องรออย่างต่ำ 1 สัปดาห์จึงจะติดกาวเอ็นวัวในชั้นต่อไปได้"
หยังเรียนรู้ความอดทนมาจากพ่อของเขา ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่ามันจะยังหลงเหลืออยู่ในหนุ่มสาวรุ่นต่อไปซึ่งติดอยู่กับความเร่งรีบของชีวิตทันสมัยหรือไม่
การทำคันธนูนั้นบางครั้งก็ท้าทายแต่บางขณะก็เรียบง่าย เฉื่อยชา จึงเป็นการยากที่จะฝึกใครสักคนขึ้นมาสืบต่องาน ซึ่งผู้ที่เคยฝึกงานกับหยังนั้นมักต้องถูกให้ออกไปก่อนที่เขาจะสอนถึงเคล็ดลับในการทำคันธนูของตระกูล
"มันเป็นเรื่องใหญ่ที่จะเสาะหาผู้รับช่วงต่อ แต่ผมก็ยังคงมีเวลาที่จะรอคอยคนที่เหมาะสม" เขากล่าว
"ลูกชายอายุ 19 ของผมอยากที่จะเป็นคนคนนั้น แต่เขาก็เป็นคนในรุ่นที่มีสิทธิพิเศษ ซึ่งไม่ได้ผ่านความยากลำบากมาเหมือนกับที่คนรุ่นผมได้รับ"
ในขณะที่หยังตั้งใจและเปิดใจที่จะหาใครสักคนมาเป็นผู้สืบทอดวิชาเก่าแก่นี้ เขามีเพียงเงื่อนไขที่สำคัญเพียงข้อเดียวในการเลือกเฟ้นผู้สมัครที่มากความสามารถของเขา นั่นคือผู้รับช่วงต่อการทำธนูจากเขาต้องเป็นผู้ชายเท่านั้น
"ผมอยากจะบอกว่าผู้หญิงสามารถรับภาระได้เพียง 1 ใน 3 ของงานที่หนักหนานี้เท่านั้น" เขากล่าว
"พวกผู้หญิงทำได้แค่เพียงจับลูกธนูมารวมกันหรือระบายสีในขั้นตอนสุดท้าย แต่ผมเกรงว่างานที่ต้องใช้แรงงานในการสร้างคันธนูคงมีแต่ผู้ชายเท่านั้นที่ทำได้"