xs
xsm
sm
md
lg

จีนสร้างชาติอย่างไร ? (15)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ตอนที่แล้วพูดถึงทฤษฎีชี้นำที่เป็นวิทยาศาสตร์ ความหมายก็คือ การกำหนดแนวคิดทฤษฎี สะท้อนกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคม สามารถใช้ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติ จนบังเกิดผลสำเร็จที่เป็นจริง เกิดคุณประโยชน์สูงสุดแก่ปวงประชามหาชน และสามารถนำไปสู่การ “นวัตกรรม”เป็นทฤษฏีใหม่ๆ ชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติในการขับเคลื่อนของสังคมในขั้นต่อไปได้อีกด้วย
อันเป็นผลึกทางปัญญาของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้วทั้งทางด้านตรงและด้านกลับ มีความเป็น “สัจธรรมทั่วไป”อยู่ในตัว สามารถนำมาปรับใช้กับประเทศอื่นๆหรือใครก็ได้ที่พร้อมและยินดี
ทฤษฎีปฏิวัติชี้นำการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ โดยเหมาเจ๋อตงเป็นผู้นำเสนอ สะท้อนกฎเกณฑ์การปฏิวัติและพัฒนาการของสังคมจีน จึงทรงพลังยิ่งนัก ปวงประชามหาชนชาวจีนเข้าถึงและยอมรับ โถมตัวเข้าร่วมขบวนการปฏิวัติภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ดำเนินการต่อสู้จนได้รับชัยชนะ
ในสภาวะการใหม่ ประเทศจีนก้าวเข้าสู่ระยะการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เมื่อคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยเหมาเจ๋อตงเป็นแกนนำ ใช้แนวคิดทฤษฎี “ปฏิวัติต่อไป” เน้นการปฏิวัติทางความคิดการเมืองมากกว่าการพัฒนาพลังการผลิต จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ในทางเป็นจริงก็คือการใช้ทฤษฎีชี้นำที่ไม่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศจีนและประชาชนชาวจีน ไม่ได้สะท้อนถึงกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมจีนในระยะใหม่ ไม่สอดรับกับลักษณะแห่งยุคสมัยที่เคลื่อนพ้นจากยุคสงครามและการปฏิวัติเข้าสู่ยุคสันติภาพและการพัฒนา ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แม้ว่าผู้นำเสนอคือเหมาเจ๋อตง แต่ก็ไม่อาจผลักดันหรือ “เข็น”ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ไม่เพียงไม่สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการพัฒนาของประเทศจีนได้เท่านั้น ตรงกันข้าม กลับ เป็นอุปสรรคขัดขวางสำคัญของการพัฒนาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองรอบด้าน ประเทศจีนถูกทิ้งห่างไปอีกหลายช่วงตัว
พิสูจน์ว่า ลำพังความปรารถนาดี หรือความมุ่งมั่นเฉพาะตน ไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่เป็นจริงได้ เผลอๆอาจจะทำให้ปัญหาบานปลาย สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
การนำเสนอแนวคิดที่ถูกต้องเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งก็คือสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริง สอดรับกับกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคม และคิดค้นวิธีการแก้ไขปัญหา พัฒนาระบบ กลไก สำหรับการแก้ไขปัญหาอย่างรอบด้าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐานของการบริหารประเทศ
ภายหลังมรณกรรมของเหมาเจ๋อตง เติ้งเสี่ยวผิงและคณะผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงได้ทำการปรับแนวคิดชี้นำการบริหารประเทศเสียใหม่ จากการต่อสู้ทางความคิดมาเป็นการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย โดยถือเอาการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหัวใจ ปรับแนวทางความคิด แนวทางการเมือง และแนวทางจัดตั้งให้ถูกต้อง ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริงของประเทศจีน ในบริบทของยุคสมัยที่สังคมโลกได้เคลื่อนตัวเองเข้าสู่กระแสโลกาภิวัตน์ ประชาชนชาวโลกถวิลหาสันติภาพและการพัฒนา ดำเนินนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศอย่างจริงจัง
เมื่อนั้น ประเทศจีนจึงสามารถเชื่อมโยงเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลก ดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศ ดูดซับวิทยาการยุคใหม่จากทั่วโลก สามารถพัฒนาพลังการผลิตอย่างก้าวกระโดด ขับเคลื่อนระบอบสังคมนิยมครั้งใหญ่
ความโดดเด่นของจีนบนเวทีโลก ได้พิสูจน์ชัดถึงความล้ำเลิศของระบอบสังคมนิยม ว่าด้วยจุดยืน ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ ด้วยแนวคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ พวกเขาสามารถกำหนดแนวทางการพัฒนาสร้างสรรค์ระบอบสังคมนิยมได้อย่างถูกต้องเสมอ เมื่อนั้น การพัฒนาก็จะดำเนินไปอย่างก้าวกระโดด
อดีตสหภาพโซเวียตในต้นศตวรรษที่ 20 เคยทำสำเร็จมาแล้ว และจีนในวันนี้ พวกเขากำลังสร้างสถิติใหม่ๆ บนฐานความเข้าใจในเรื่องการพัฒนาประเทศในระบอบสังคมนิยมที่ลึกซึ้งรอบด้านที่สุด
ก่อนอื่นใด พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ยืนหยัดใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ ทำการวิเคราะห์สภาวการณ์ที่เป็นอยู่ของสังคมโลก ทั้งในมุมมองของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต พยายามอย่างยิ่งในการกำหนดแนวนโยบายต่างๆอย่างสอดคล้องกับลักษณะแห่งยุคสมัยและความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน ในทุกขั้นตอนของการพัฒนา
ในการนี้ พวกเขายืนหยัดอย่างยิ่งในแนวทางความคิดที่ “ทุกอย่างเริ่มต้นจากความเป็นจริง หาสัจจะจากความเป็นจริง” ยืนหยัดอย่างยิ่งในการปฏิบัติและใช้การปฏิบัติมาวัดความถูกต้องของแนวคิดทฤษฎี ยืนหยัดอย่างยิ่งในแนวทางมวลชน อาศัยมวลชน และรับใช้ประชาชน ถือเอาผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนเป็นตัวตั้งในการกำหนดภารกิจหลักในการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย เจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน เพื่อการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านของประชาชนชาวจีน
ว่ากันถึงที่สุดแล้ว ความเป็นวิทยาศาสตร์ของแนวคิดทฤษฎีกับการยึดมั่นในผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เป็น “จุดแข็ง”ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่ทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพัน และ“มีชัยตลอดกาล” ยิ่งเมื่อพวกเขาได้ผ่านบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้วในช่วง “การปฏิวัติใหญ่ทางวัฒนธรรม” และฝ่ามรสุมลูกใหญ่อันเนื่องจากการล่มสลายของอดีตสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศสังคมนิยมยุโรปตะวันออกมาได้สำเร็จ ก็ยิ่งตระหนักใน “ความศักดิ์สิทธิ์”ของสิ่งนี้
สิ่งนี้มีความเป็นสากลในตัว เป็นสัจธรรมทั่วไป เมื่อใดที่พรรคการเมืองในประเทศใดก็ตาม สามารถสร้าง“จุดแข็ง”นี้ขึ้นมาได้ ก็จะพัฒนาเติบใหญ่ ได้รับการสนับสนุนจากปวงประชามหาชนเหนือพรรคการเมืองอื่นๆ มีความพร้อมที่จะก้าวขึ้นเป็นรัฐบาล ใช้อำนาจบริหารประเทศ สร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างมหาศาล
ตรงนี้ พอจะอธิบายได้เช่นเดียวกันว่า พรรคการเมืองที่ประกาศตนเป็นพรรคลัทธิมาร์กซ์ แต่ประสบความล้มเหลวทั้งในอดีตและปัจจุบัน สาเหตุสำคัญก็เพราะขาดความเป็นวิทยาศาสตร์ในแนวทางความคิด ไม่อาจสร้างประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
ฉันใดฉันนั้น ปัจจุบันนี้ การมีพรรคการเมืองที่พร้อมทั้งแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์และความยืนหยัดเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน ขึ้นมาเป็นรัฐบาล ใช้อำนาจบริหารประเทศ จึงเป็นความเรียกร้องต้องการอย่างยิ่งของประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะคือประเทศไทยอันเป็นที่รักของเรา
ว่าไปทำไมมี นับตั้งแต่รัฐบาลกลุ่มทุนไทยรักไทย นำโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหาร อำนาจหลุดจากมือไป คณะทหารในนามคณะปฏิรูปได้สถาปนารัฐบาลชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศชั่วคราว ทำให้สาธารณชนเกิดความคาดหวังว่า คณะผู้บริหารประเทศชุดเฉพาะกิจนี้ จะกำหนดภารกิจหลักไว้ที่การปรับฐานใหม่ให้แก่การเมืองไทย เพื่อเป็นหลักประกันให้ประเทศไทยมีพรรคการเมืองและรัฐบาลที่มุ่งทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
แต่หลายเดือนของการบริหารประเทศ รัฐบาลชั่วคราว ที่มี พล.เอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และมีคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติเป็นพี่เลี้ยง กลับแสดงออกถึงความไม่ชัดเจนในแนวทางความคิด ไม่ได้ตอบรับความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริงของประเทศชาติและประชาชนในขั้นปัจจุบัน
ในทางปฏิบัติ รัฐบาลโดยคณะรัฐมนตรีที่มาจากหลายทิศหลายทาง มีหลายแนวความคิด จึงต่างคนต่างทำ พยายามนำเสนอและผลักดันแนวคิดของตนให้เกิดผลในทางปฏิบัติ นำมาซึ่งความสับสนอลหม่าน สร้างความโกลาหลขึ้นในทุกแวดวงที่พวกเขาเข้าไป “แตะ”
พล. เอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีจึงตกที่นั่งลำบาก ต้องวุ่นวายอย่างยิ่งกับการทำงานแบบ “จับปูใส่กระด้ง” เป็นเหตุให้การทำงานดำเนินไปอย่างทุลักทุเล มีประสิทธิภาพต่ำ สะเปะสะปะ ไม่ตรงจุด
กระนั้น ถึงวันนี้ ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ก็ยังให้โอกาสคณะรัฐบาลและคณะความมั่นคงแห่งชาติ เพราะเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ โดยเฉพาะคือ พล. เอก สนธิ บุญรัตกลิน และพล. เอก สพรั่ง กัลยาณมิตร และความจริงใจของ พล. เอก สุรยุทธ์ จุลานนท์
สิ่งที่สาธารณชนคาดหวังไว้ก็คือ คณะมนตรีความมั่นคง โดยคณะรัฐบาลชุดปัจจุบัน จะต้อง “ชู”ภารกิจหลักที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริงของประเทศชาติและประชาชนให้โดดเด่น ระดมสรรพกำลัง โดยเฉพาะคือกำลังคนที่ตรง “สเปก” เข้ารับผิดชอบ ดำเนินการปฏิบัติ และทำการเผยแพร่ให้สังคมรับรู้และเข้าใจ เพื่อนำไปสู่การสร้างฐานการเมืองใหม่ที่พ้นไปจากการครอบงำของกลุ่มทุน ทั้งเก่าและใหม่ เป็นฐานการเมืองเพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เพื่อประชาชนชาวไทยจะได้พรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนขึ้นมาใช้อำนาจบริหารประเทศในอนาคตอันใกล้นี้
เริ่มเลยครับ เริ่มจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ และนายกรัฐมนตรี พล.เอก สุรยุทธ์ จุลานนท์นี้แหละ พัฒนาแนวคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์โดยทุกอย่างเริ่มจากผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน อันเป็นการ “นำร่อง” ให้แก่การสร้างวัฒนธรรมใหม่ของพรรคการเมืองที่จะมาจากการเลือกตั้งในอนาคต
เพื่อเป็นเงื่อนไขกลายๆว่า ต่อไปนี้ พรรคการเมืองที่ดี ที่จะก้าวขึ้นบริหารประเทศ จะต้องมีสิ่งนี้ (แนวคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์โดยทุกอย่างเริ่มจากผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน)เป็นคุณสมบัติพื้นฐาน มิเช่นนั้นประชาชนจะไม่เลือก (และ “คมช.”จะไม่เอา)

------------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น