xs
xsm
sm
md
lg

จีนสร้างชาติอย่างไร ? (13)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ปัจจุบัน จีนกำลังพัฒนาวัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีนในการบริหารประเทศ เกิดเป็นระบบวิธีคิดวิธีการทำงานที่เป็นวิทยาศาสตร์ สอดคล้องกับความเป็นจริง สะท้อนกฎเกณฑ์และสัจธรรมเบื้องลึกในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ สามารถพัฒนาประเทศในระบอบสังคมนิยมให้เจริญก้าวหน้าอย่างรอบด้านเป็นขั้นๆ ประชาชนชาวจีนอยู่ดีมีสุข มีอิสรภาพในการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านมากขึ้นเรื่อยๆ
“วัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีน” มีองค์ประกอบพื้นฐาน 3 ประการ คือ
1. แนวคิดที่ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง หาสัจจะจากความเป็นจริง ทฤษฎีประสานกับการปฏิบัติ ใช้การปฏิบัติเป็นมาตรฐานวัดความถูกต้องของสัจธรรม(ในรูปของความคิดทฤษฎีที่ใช้ชี้นำการปฏิบัติ)และพัฒนาสัจธรรม
อีกนัยหนึ่งก็คือ “แนวทางความคิดที่ถูกต้อง”
2. กำหนดภารกิจหลักของการพัฒนาประเทศในแต่ละห้วงประวัติศาสตร์อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาวิกฤติปมเงื่อนได้อย่างทันกาล และบรรลุสู่ขั้นการพัฒนาที่สูงขึ้นไปอีก
อีกนัยหนึ่งก็คือ “แนวทางการเมืองที่ถูกต้อง”
3. รวมศูนย์พลังเอาการเอางานเข้าสู่การปฏิบัติภารกิจหลักในทุกขั้นตอนให้บรรลุผลสำเร็จ ดำเนินการปฏิรูประบบ กลไก โครงสร้างในด้านต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพของบุคลากรระดับต่างๆทั้งในภาครัฐและภาคประชาชน
อีกนัยหนึ่งก็คือ “แนวทางจัดตั้งที่ถูกต้อง”
ด้วยแนวคิดชี้นำที่ยึดมั่นในการ “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง ผู้นำและผู้ปฏิบัติงานของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน แสดงบทบาทเป็นแกนนำในการกำหนดภารกิจ แนวนโยบายในการพัฒนาประเทศ อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประเทศชาติและประชาชน สามารถรวมศูนย์พลังที่เอาการเอางานปฏิบัติภารกิจที่กำหนดไว้จนสำเร็จ แก้ไขปัญหาปมเงื่อนในแต่ละห้วงประวัติศาสตร์ให้ตกไปได้เป็นลำดับ ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาประเทศในระบอบสังคมนิยมได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง กลายเป็นปรากฏการณ์ชวนพิศวงในสายตาชาวโลก
เป็นเหตุให้มีการ “ตีความ”กันไปต่างๆนานา ทั้งในทางบวกและทางลบ ในหมู่คนที่ไม่มีความรู้เรื่องลัทธิมาร์กซ์แบบจีน ที่เรียกว่า ความคิดเหมาเจ๋อตง และทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง
“วัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีน” ในรูปของความคิดเหมาเจ๋อตงและทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ปัจจุบันสามารถแสดงบทบาทเป็นแกนหลักของกระบวนการพัฒนาของวัฒนธรรมจีนยุคใหม่ โดยการประสานเชื่อมเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนและของโลกโดยรวม ใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์แบบมาร์กซิสม์เป็นตัวกำกับกระบวนการประสานเชื่อมดังกล่าวตั้งแต่ต้นจนจบ
พูดเป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ยึดมั่นในหลักลัทธิมาร์กซ์ คัดเลือกเอาสิ่งดีๆทั้งในอดีตและปัจจุบัน ทั้งของจีนและของโลกมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการพัฒนาประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมให้เจริญก้าวหน้ารอบด้าน ซึ่งบั้นปลายก็คือสังคมคอมมิวนิสต์ ประชาชนชาวจีนอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า มีอิสรภาพในการพัฒนาตนเองอย่างรอบด้านเป็นขั้นๆไป เป็นเยี่ยงอย่างของการพัฒนาของประชากรส่วนหนึ่งของโลก จากฐานที่ล้าหลังยากจนอย่างยิ่ง ไปสู่ความทันสมัยระดับโลกได้ภายในระยะเวลาอันสั้น (เพียง 100 ปี) ให้ประชาชนชาวโลกได้ประจักษ์
วัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีนมีต้นกำเนิดมาจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ในระหว่างทศวรรษ ค.ศ.1920-40 และได้รับการพัฒนาครั้งใหญ่ในปลายทศวรรษ ค.ศ.1970
เป็นวัฒนธรรมกำกับวิธีคิดและวิธีปฏิบัติของชาวพรรคคอมมิวนิสต์จีน กำหนดค่านิยมแบบใหม่ให้แก่ชาวจีนในขบวนการปฏิวัติในช่วงการเคลื่อนไหวปฏิวัติ และแก่ชาวจีนโดยรวมตั้งแต่การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนปี ค.ศ.1949
กระนั้น ในบางช่วงทั้งก่อนและหลังสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน การก่อรูปของวัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีนก็เป็นไปอย่างทุลักทุเล ต้องมีการชำระสะสางกันเป็นระยะๆ เช่น การรณรงค์ปรับท่วงทำนองครั้งใหญ่ในกลางทศวรรษ ค.ศ.1940 และการรณรงค์ “ปลดปล่อยความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง” ในปลายทศวรรษ ค.ศ.1970
ต่อมาพรรคฯจีนภายใต้การนำของคณะผู้นำรุ่นใหม่ ทั้งในยุคเจียงเจ๋อหมินและยุคหูจิ่นเทา ได้ให้ความสำคัญในการสืบสานและพัฒนาวัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีนนี้เป็นอย่างดี มีการจัดทำแผนยกระดับความคิดการเมือง เสริมสร้างจุดยืน ทัศนะ วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ อันเป็นคุณสมบัติพื้นฐาน หรือมาตรฐานเบื้องต้น ให้แก่มวลสมาชิกพรรคและประชาชนชาวจีนโดยรวมเป็นระยะๆ ในรูปแบบต่างๆ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับประสิทธิผลของการทำงานและความพึงพอใจของมวลชน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ทั้งนี้เพื่อเป็นหลักประกันให้แก่กระบวนการพัฒนาประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมให้เจริญก้าวหน้าอย่างรอบด้านเป็นขั้นๆ ประชาชนชาวจีนอยู่ดีมีสุขยิ่งๆขึ้น
โดยสาระ แนวทางความคิดที่ถูกต้องก็คือ ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง หาสัจจะจากความเป็นจริง ทฤษฎีประสานกับการปฏิบัติ ใช้การปฏิบัติเป็นมาตรฐานวัดความถูกต้องของสัจธรรม(ความคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติ) แนวทางการเมืองที่ถูกต้องก็คือ ภารกิจหลักของการพัฒนาประเทศที่กำหนดขึ้นนั้น สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริงของประเทศชาติและประชาชน สามารถแก้ไขปัญหาปมเงื่อนและขับเคลื่อนสังคมไปสู่ความก้าวหน้าระยะใหม่ได้ ส่วนแนวทางจัดตั้งที่ถูกต้องหมายถึงสามารถคัดสรรและบ่มเพาะบุคลากรที่พร้อมที่จะปฏิบัติภารกิจหลักให้ลุล่วงไปได้ในแต่ละห้วงของการขับเคลื่อนของสังคม
ในช่วงการปฏิวัติ ก่อนที่เหมาเจ๋อตงก้าวขึ้นเป็นผู้นำ พรรคคอมมิวนิสต์จีนผิดพลาดทางแนวความคิด ด้วยยึดเอาการปฏิวัติรัสเซียเป็นแม่แบบ กำหนดภารกิจหลักไว้ที่ก่อการลุกขึ้นสู้ในเมือง ทุ่มเทพลังทั้งหมดไปในการจับอาวุธลุกขึ้นสู้และนัดหยุดงาน ประสบความสูญเสียมากมาย จนกระทั่งเหมาเจ๋อตงค้นพบสัจธรรม นำเสนอทฤษฎีสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมือง สร้างกองทัพแดงและฐานที่มั่น ทำสงครามยืดเยื้อ ฯลฯ ภารกิจหลักจึงเป็นการสะสมกำลัง พัฒนาศักยภาพการนำของพรรค เน้นการสร้างพรรคทางความคิด ขยายการจัดตั้ง และพัฒนากองทัพปฏิวัติให้เป็นกองกำลังสู้รบที่กล้าหาญชาญชัย ขยายแนวร่วมรักชาติรักประชาธิปไตย ดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตยแผนใหม่ และประสบชัยชนะในที่สุด
ในช่วงการพัฒนา ระยะแรกๆ ยังยึดแบบของอดีตสหภาพโซเวียต แม้ต่อมาจะเริ่มต้นการค้นหา “ทางเดินของตนเอง” แต่การกำหนดภารกิจหลักไว้ที่การต่อสู้ทางความคิด อันเนื่องจากต้องการขับเคลื่อนสังคมจีนเข้าสู่สังคมคอมมิวนิสต์แบบลัดสั้น ทำให้กระบวนการพัฒนาประเทศจีนสะดุด
ต่อมา เมื่อคณะผู้นำพรรคฯจีนชุดใหม่ ที่มีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ รณรงค์ให้ทั่วทั้งพรรคยึดมั่นในแนวทางความคิดที่ถูกต้อง สอดคล้องกับลักษณะของยุคสมัย(สันติภาพและการพัฒนา)และสภาพเป็นจริงของประเทศจีน (สังคมนิยมขั้นปฐม) จึงได้กำหนดภารกิจหลักไว้ที่พัฒนาประเทศจีนให้ทันสมัยโดยถือเอาการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหัวใจ ปรากฏออกมาในรูปของ “แนวทางพื้นฐาน” (หนึ่งหัวใจ คือการพัฒนาเศรษฐกิจ และสองฐานค้ำ คือ 1. การยึดมั่นในหลักการพื้นฐาน 4 ประการ และ 2. การยืนหยัดดำเนินการปฏิรูปและเปิดประเทศ) ซึ่งก็คือแนวทางการเมืองที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการที่เป็นจริงของประเทศชาติและประชาชน
ทั้งนี้ในการจัดตั้งกำลังคน ซึ่งก็คือผู้ปฏิบัติงานของพรรคในระดับต่างๆ เติ้งเสี่ยวผิงย้ำหนักแน่นว่า จะต้องเป็นผู้สนับสนุนแนวทางการเมืองดังกล่าวจริงๆ จะให้บุคคลที่ต่อต้านหรือวางตัว “เป็นกลาง”มารับผิดชอบไม่ได้เด็ดขาด เพราะเมื่อแนวทางการเมืองกำหนดแล้ว ผู้ปฏิบัติงานคือปัจจัยชี้ขาด เป็นผู้ทำให้แนวทางการเมืองปรากฏผลรูปธรรมอย่างแท้จริง
เติ้งเสี่ยวผิงบอกว่า การใช้ผู้เห็นด้วยกับผู้ไม่เห็นด้วยหรือ “กลางๆ”มารับผิดชอบ ผลที่ออกมาจะไม่เหมือนกัน
ในระดับองค์รวม วัฒนธรรมมาร์กซิสม์แบบจีน ในการบริหารประเทศ ที่ประกอบด้วย แนวทางความคิดถูกต้อง แนวทางการเมืองถูกต้อง และแนวทางจัดตั้งถูกต้องนี้ เชื่อมโยงเป็นเหตุเป็นผล มีความเป็นเอกภาพในตัวที่แยกออกจากกันมิได้ นั่นคือ เมื่อมีแนวทางความคิดถูกต้อง จึงจะมีแนวทางการเมืองถูกต้อง จึงจะมีแนวทางจัดตั้งถูกต้อง
ในนี้ การจะทำให้แนวทางความคิด แนวทางการเมืองปรากฏเป็นผลรูปธรรม จักต้องอาศัยแนวทางจัดตั้งที่ถูกต้องเท่านั้น

----------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น