ถึงตอนนี้ ผู้เขียนก็ต้องขอเผยความในใจ เกี่ยวกับการนำเสนอบทความชุด “จีนสร้างชาติอย่างไร ?” จุดมุ่งหมายสำคัญก็คือ การ “ถอดรหัส”ความสำเร็จในการสร้างชาติของจีนยุคใหม่ หากมิใช่การพรรณนาถึงความสำเร็จรูปธรรม ซึ่งด้วยวิธีการเช่นนี้ เราจึงจะสามารถเข้าถึง “หัวใจ”ได้ “คำตอบ”ในระดับปัญญา สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาหรือสร้างชาติของเราเองได้
อันความสำเร็จหรือล้มเหลวที่เป็นรูปธรรม ใช้ได้เป็นเพียง “สิ่งอ้างอิง” ประกอบการอธิบายเท่านั้น โดยผู้อธิบายจะอธิบายเชิงบวกคือความสำเร็จหรือเชิงลบคือความล้มเหลวยังไงก็ได้ แล้วแต่จะเลือก ดังกรณีผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ในเรื่องรูปธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำมาถกเถียงกัน ซึ่งมักจะกลายเป็นว่า มองกันคนละมุมไป จึงไม่สามารถได้คำตอบที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เข้าไม่ถึง “เหตุปัจจัย”ในความสำเร็จของประเทศจีน
วิธีการของผู้เขียนจึงไม่ติดยึดอยู่กับ “ปรากฏการณ์”รูปธรรม แต่ล่วงลึกลงถึง “แก่นแท้”ซึ่งก็คือเหตุปัจจัยที่แสดงบทบาท “กำหนด”ให้เกิดผลพวงที่เป็นรูปธรรมตามมาในระดับองค์รวม สร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมจีนในทุกซอกมุม ส่วนจะปรากฏผลในเชิงบวกหรือลบมากน้อยแค่ไหน ในด้านใดบ้าง ก็เป็นเรื่องของการประเมินประมวลและสรุป เพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอต่อผู้อ่าน มันจึงเป็น “เครื่องมือ”มากกว่า “หลักฐาน” หากท่านเข้าใจและนำไปใช้ในการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องจีน ก็จะได้ประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะสามารถเข้าถึงความจริงของจีนได้ในระดับ “เหตุปัจจัย” คือได้คำตอบว่า “ทำไม”จีนจึงประสบความสำเร็จ(หรือล้มเหลว)ในการสร้างชาติในแต่ละขั้นตอนของการขับเคลื่อนของสังคมจีน รวมทั้งไม่สับสนไปกับเรื่องราวรูปธรรมที่เป็นปรากฏการณ์ละลานตา ขจัดความเข้าใจผิดไปได้ตั้งแต่เริ่มต้น และไม่ตกเป็นเหยื่อของนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนบางประเภทที่ยึดติดอยู่กับจุดยืน “ต้านจีน” นำเสนอเรื่องจีนในมุมลบเป็นอาชีพ
กระนั้น ผู้เขียนก็ต้องขอออกตัวด้วยว่า ในสถานภาพที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษาอิสระเรื่องจีน(และโลก) สนใจใครรู้ในเรื่องจีนก็เพราะเห็นว่าจีนกำลังพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ ที่มวลมนุษยชาติโดยรวมถวิลหา คนจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนประกาศจุดยืนชัดเจน ยึดมั่นศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์ ชูธง “ดัดแปลงโลก ดัดแปลงตนเอง” ดำเนินแนวทางพัฒนาประเทศไปตามแนวคิดอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น ซึ่งจาก “ภาพ”ที่ผู้เขียนเห็นและ “สิ่ง”ที่ผู้เขียนเข้าใจ มันได้ยืนยันและพิสูจน์ในตัวแล้วว่า คนจีนกำลังเดินไปบนเส้นทางนั้น
ทว่า ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงข้อสรุปของผู้เขียนเอง มิได้เป็นผลงานวิจัยตามหลักวิชาการแต่ประการใด คุณค่าของมันจึงอยู่ที่การนำไปใช้ หากท่านผู้อ่านนำไปใช้ได้ผลดี เกิดประโยชน์ต่อท่านในด้านต่างๆ เช่นการวางแผนธุรกิจการค้า การศึกษา ท่องเที่ยว เป็นต้น ผู้เขียนก็พอใจและถือว่า “สอบผ่าน”แล้ว
และจะรู้สึกยินดียิ่ง หากท่านผู้อ่านเกิดความเข้าใจ เกิดวิสัยทัศน์ในสังคมแห่งอนาคต มองเห็นแนวโน้ม ทิศทางพัฒนาการของสังคมมนุษย์ ว่าถึงที่สุดแล้ว มวลมนุษย์ก็จะค่อยๆขับเคลื่อนตนเองไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ มีความเจริญรุ่งเรืองรอบด้าน เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตของเราๆท่านๆ ต่างก็สามารถแสดงบทบาทเป็นเงื่อนไขหรือ “ปัจจัย”ให้แก่กันและกันในการพัฒนาคุณค่าของชีวิต
อีกนัยหนึ่ง เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของมวลมนุษยชาติ ที่ขับเคลื่อนตนเองอย่างเป็นพลวัต บนฐานของการพัฒนาของพลังการผลิต และภายใต้การชี้นำของ “ปัญญา”โดยรวมของมวลมนุษยชาติ
อีกนัยหนึ่ง สามารถมองเห็นบทบาทของเหตุปัจจัยทางวัตถุและเหตุปัจจัยทางจิตใจในการขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ไปสู่อนาคตอันยาวไกล
ทำให้เกิดกำลังใจและความหวัง เกิดความพร้อมในการอุทิศตัวให้กับภารกิจสูงส่ง ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนตัวเองและสังคมรวมแห่งมวลมนุษยชาติไปสู่อนาคตอันยาวไกล ซึ่งสามารถเริ่มได้เลยตั้งแต่บัดนี้ ณ ตรงนี้
ซึ่งในฐานะที่เราเป็นคนไทย ก็เริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทย ทำความเข้าใจในเหตุการณ์และปัญหาต่างๆที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ร่วมกันศึกษาค้นคว้าหา “สาเหตุ”เบื้องลึกที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ ปัญหา และปรากฏการณ์ต่างๆ แล้วช่วยกันออกความคิดหาทางแก้ไข และลงมือทำการแก้ไขในจุดที่ทำได้ในทันที
ปัญหามีมาก เราจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาทีละอย่างๆ หลักยึดก็คือทำอะไรที่ทำได้ก่อน เพื่อสะสมประสบการณ์ในการเข้าถึงปัญหาปมเงื่อน สามารถปรับแนวคิดแนวการทำงานให้สอดรับกับสภาพเป็นจริง ซึ่งมักจะต้องใช้เวลาและวิธีการที่สลับซับซ้อน ต้องอดทนและเสียสละ สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงจะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการแก้ไขปัญหา และขจัดปัญหานั้นๆ
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังอยู่ในระหว่างการปรับตัวครั้งสำคัญ จากสังคมบริโภคนิยม เป็นสังคมพอเพียง เพื่อบรรลุสู่ความเป็น “สังคมปัญญาอันอุดม” อีกนัยหนึ่ง เพื่อบรรลุสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์แบบไทยๆ รูปแบบหนึ่งของสังคมอุดมการณ์ที่มวลมนุษย์ถวิลหา
ด้วยสมมติฐานว่า สังคมไทยที่ขับเคลื่อนตนเองภายใต้การชี้นำของ “ปัญญา” คือปัญญาที่ยึดมั่นในความเป็นจริง ในสัจธรรมหรือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ด้วยนั้น หากทำกันได้จริงๆ ถึงที่สุดก็จะสามารถขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ได้เช่นเดียวกัน คือเจริญรุ่งเรืองรอบด้านทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ฐานคิดสำคัญของการนำเสนอแนวคิดดังกล่าว ก็คือสังคมไทยตั้งอยู่บนฐานของความ “พอเพียง”ทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจมาตั้งแต่ต้น เป็นฐานจริงรองรับการดำรงอยู่ของสังคมไทย ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คนไทยอยู่ดีกินดีอยู่แล้วโดยพื้นฐาน แต่ขาดอย่างยิ่งในเรื่อง “ปัญญาชี้นำ” ในระดับชนชั้นปกครอง
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา กลุ่มปกครองไม่ยึดมั่นในความเป็นจริง ไม่ตระหนักถึงสิ่งที่สังคมไทยและคนไทยมีอยู่ หลงยึดติดความรู้ในตำราของต่างประเทศ พยายามแปลงประเทศไทยให้เป็นต่างประเทศ แปลงคนไทยให้เป็นคนต่างประเทศ ดำเนินการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิดชี้นำที่ไม่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงของสังคมไทยและคนไทย เน้นพัฒนาบนฐานที่เราไม่มีหรือไม่มีฐาน เป็นเหตุให้สังคมไทยและคนไทยค่อยๆแปลกแยกออกจากฐานของความ “พอเพียง”ทั้งทางวัตถุและจิตใจ ดำเนินชีวิตตามแบบตะวันตก พยายามกินและใช้สิ่งที่เราไม่มี จึงตกอยู่ในสภาวะของความขาดแคลน และรู้สึกถึงความ “ขาดแคลน”อยู่เป็นนิจ
สังคมไทยและคนไทยที่เคยอยู่กับความ “พอเพียง”มาโดยตลอด ต่างตกเข้าสู่วังวนของความขาดแคลนที่ถูกสร้างขึ้นโดยคณะผู้นำการบริหารประเทศที่ขาดปัญญาอย่างช่วยไม่ได้ เกิดวิกฤติไปทั่ว ดิ้นรนไปทั่ว และเบียดเบียนซึ่งกันและกันไปทั่ว สังคมไทยกลายเป็นสังคมวิปริต คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นคนวิกลจิต แสดงออกในลักษณะต่างๆ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุนี้ ณ วันนี้ เมื่อการเมืองประเทศไทยกลับมาตั้งตัวใหม่บนฐานความเป็นจริงของตนเอง นั่นคือความ “พอเพียง” ซึ่งจำเป็นต้องใช้ปัญญาชี้นำการบริหารประเทศ ย่อมหมายถึงว่า สังคมไทยและคนไทยจะสามารถพัฒนาตนเองไปได้อย่างมั่นคง ด้วยลำแข้งตนเอง และอย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง
เชื่อเหลือเกินว่า การพัฒนาประเทศภายใต้การชี้นำของของปัญญา ซึ่งก็คือปัญญาตื่นรู้ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงของสังคมมนุษย์และสังคมไทยโดยรวม เริ่มจากฐานที่ตนเองมี และมุ่งให้ประชาชนคนไทยอยู่ดีกินดี มีชีวิตสุขอย่าง “พอเพียง” สานต่อวิถีชีวิตแบบไทยๆที่นับเนื่องกันมานับพันปี ให้สานสอดกับกระบวนการพัฒนาของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์อย่างกลมกลืน สามารถใช้ประโยชน์เท่าที่เป็นไปได้และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเท่าที่ทำได้ในกระบวนการขับเคลื่อนของกระแสโลกาภิวัตน์ ในที่สุด ระบบความคิดบนฐานของปัญญาและความ “พอเพียง”นี้ ก็จะกลายเป็น “ปัญญาอันอุดม” ชี้นำความคิดและการกระทำของคณะผู้บริหารประเทศและประชาชนชาวไทย สร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่อย่างยิ่งยวด
ซึ่งด้วย “ปัญญาอันอุดม”นี่เอง ประเทศไทยจะพัฒนาก้าวหน้าเคียงคู่ไปได้กับบรรดาอารยประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมภายใต้การชี้นำของระบบความคิดมาร์กซิสม์ที่มีความเป็นปัญญาอันอุดมเช่นเดียวกัน
เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมมนุษยชาติบรรลุสู่สังคมอุดมการณ์ ทีละขั้นๆ
-------------------------------
อันความสำเร็จหรือล้มเหลวที่เป็นรูปธรรม ใช้ได้เป็นเพียง “สิ่งอ้างอิง” ประกอบการอธิบายเท่านั้น โดยผู้อธิบายจะอธิบายเชิงบวกคือความสำเร็จหรือเชิงลบคือความล้มเหลวยังไงก็ได้ แล้วแต่จะเลือก ดังกรณีผู้มีประสบการณ์เฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ในเรื่องรูปธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แล้วนำมาถกเถียงกัน ซึ่งมักจะกลายเป็นว่า มองกันคนละมุมไป จึงไม่สามารถได้คำตอบที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เข้าไม่ถึง “เหตุปัจจัย”ในความสำเร็จของประเทศจีน
วิธีการของผู้เขียนจึงไม่ติดยึดอยู่กับ “ปรากฏการณ์”รูปธรรม แต่ล่วงลึกลงถึง “แก่นแท้”ซึ่งก็คือเหตุปัจจัยที่แสดงบทบาท “กำหนด”ให้เกิดผลพวงที่เป็นรูปธรรมตามมาในระดับองค์รวม สร้างการเปลี่ยนแปลงขึ้นในสังคมจีนในทุกซอกมุม ส่วนจะปรากฏผลในเชิงบวกหรือลบมากน้อยแค่ไหน ในด้านใดบ้าง ก็เป็นเรื่องของการประเมินประมวลและสรุป เพื่อหาทางแก้ไขปรับปรุงต่อไป
ดังนั้น สิ่งที่ผู้เขียนนำเสนอต่อผู้อ่าน มันจึงเป็น “เครื่องมือ”มากกว่า “หลักฐาน” หากท่านเข้าใจและนำไปใช้ในการศึกษาวิเคราะห์เจาะลึกเรื่องจีน ก็จะได้ประโยชน์ยิ่งกว่า เพราะสามารถเข้าถึงความจริงของจีนได้ในระดับ “เหตุปัจจัย” คือได้คำตอบว่า “ทำไม”จีนจึงประสบความสำเร็จ(หรือล้มเหลว)ในการสร้างชาติในแต่ละขั้นตอนของการขับเคลื่อนของสังคมจีน รวมทั้งไม่สับสนไปกับเรื่องราวรูปธรรมที่เป็นปรากฏการณ์ละลานตา ขจัดความเข้าใจผิดไปได้ตั้งแต่เริ่มต้น และไม่ตกเป็นเหยื่อของนักวิเคราะห์หรือผู้เชี่ยวชาญเรื่องจีนบางประเภทที่ยึดติดอยู่กับจุดยืน “ต้านจีน” นำเสนอเรื่องจีนในมุมลบเป็นอาชีพ
กระนั้น ผู้เขียนก็ต้องขอออกตัวด้วยว่า ในสถานภาพที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษาอิสระเรื่องจีน(และโลก) สนใจใครรู้ในเรื่องจีนก็เพราะเห็นว่าจีนกำลังพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ ที่มวลมนุษยชาติโดยรวมถวิลหา คนจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนประกาศจุดยืนชัดเจน ยึดมั่นศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์ ชูธง “ดัดแปลงโลก ดัดแปลงตนเอง” ดำเนินแนวทางพัฒนาประเทศไปตามแนวคิดอุดมการณ์อันสูงส่งนั้น ซึ่งจาก “ภาพ”ที่ผู้เขียนเห็นและ “สิ่ง”ที่ผู้เขียนเข้าใจ มันได้ยืนยันและพิสูจน์ในตัวแล้วว่า คนจีนกำลังเดินไปบนเส้นทางนั้น
ทว่า ทั้งหมดนั้น ก็เป็นเพียงข้อสรุปของผู้เขียนเอง มิได้เป็นผลงานวิจัยตามหลักวิชาการแต่ประการใด คุณค่าของมันจึงอยู่ที่การนำไปใช้ หากท่านผู้อ่านนำไปใช้ได้ผลดี เกิดประโยชน์ต่อท่านในด้านต่างๆ เช่นการวางแผนธุรกิจการค้า การศึกษา ท่องเที่ยว เป็นต้น ผู้เขียนก็พอใจและถือว่า “สอบผ่าน”แล้ว
และจะรู้สึกยินดียิ่ง หากท่านผู้อ่านเกิดความเข้าใจ เกิดวิสัยทัศน์ในสังคมแห่งอนาคต มองเห็นแนวโน้ม ทิศทางพัฒนาการของสังคมมนุษย์ ว่าถึงที่สุดแล้ว มวลมนุษย์ก็จะค่อยๆขับเคลื่อนตนเองไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ มีความเจริญรุ่งเรืองรอบด้าน เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตของเราๆท่านๆ ต่างก็สามารถแสดงบทบาทเป็นเงื่อนไขหรือ “ปัจจัย”ให้แก่กันและกันในการพัฒนาคุณค่าของชีวิต
อีกนัยหนึ่ง เข้าใจในกฎเกณฑ์การพัฒนาของมวลมนุษยชาติ ที่ขับเคลื่อนตนเองอย่างเป็นพลวัต บนฐานของการพัฒนาของพลังการผลิต และภายใต้การชี้นำของ “ปัญญา”โดยรวมของมวลมนุษยชาติ
อีกนัยหนึ่ง สามารถมองเห็นบทบาทของเหตุปัจจัยทางวัตถุและเหตุปัจจัยทางจิตใจในการขับเคลื่อนสังคมมนุษย์ไปสู่อนาคตอันยาวไกล
ทำให้เกิดกำลังใจและความหวัง เกิดความพร้อมในการอุทิศตัวให้กับภารกิจสูงส่ง ในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนตัวเองและสังคมรวมแห่งมวลมนุษยชาติไปสู่อนาคตอันยาวไกล ซึ่งสามารถเริ่มได้เลยตั้งแต่บัดนี้ ณ ตรงนี้
ซึ่งในฐานะที่เราเป็นคนไทย ก็เริ่มจากความเป็นจริงของประเทศไทย ทำความเข้าใจในเหตุการณ์และปัญหาต่างๆที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่ ร่วมกันศึกษาค้นคว้าหา “สาเหตุ”เบื้องลึกที่ส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ ปัญหา และปรากฏการณ์ต่างๆ แล้วช่วยกันออกความคิดหาทางแก้ไข และลงมือทำการแก้ไขในจุดที่ทำได้ในทันที
ปัญหามีมาก เราจึงจำเป็นต้องแก้ไขปัญหาทีละอย่างๆ หลักยึดก็คือทำอะไรที่ทำได้ก่อน เพื่อสะสมประสบการณ์ในการเข้าถึงปัญหาปมเงื่อน สามารถปรับแนวคิดแนวการทำงานให้สอดรับกับสภาพเป็นจริง ซึ่งมักจะต้องใช้เวลาและวิธีการที่สลับซับซ้อน ต้องอดทนและเสียสละ สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จึงจะสามารถเอาชนะอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการแก้ไขปัญหา และขจัดปัญหานั้นๆ
ปัจจุบันสังคมไทยกำลังอยู่ในระหว่างการปรับตัวครั้งสำคัญ จากสังคมบริโภคนิยม เป็นสังคมพอเพียง เพื่อบรรลุสู่ความเป็น “สังคมปัญญาอันอุดม” อีกนัยหนึ่ง เพื่อบรรลุสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์แบบไทยๆ รูปแบบหนึ่งของสังคมอุดมการณ์ที่มวลมนุษย์ถวิลหา
ด้วยสมมติฐานว่า สังคมไทยที่ขับเคลื่อนตนเองภายใต้การชี้นำของ “ปัญญา” คือปัญญาที่ยึดมั่นในความเป็นจริง ในสัจธรรมหรือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งครอบคลุมถึงกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ด้วยนั้น หากทำกันได้จริงๆ ถึงที่สุดก็จะสามารถขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่ความเป็นสังคมอุดมการณ์ได้เช่นเดียวกัน คือเจริญรุ่งเรืองรอบด้านทั้งทางวัตถุและจิตใจ
ฐานคิดสำคัญของการนำเสนอแนวคิดดังกล่าว ก็คือสังคมไทยตั้งอยู่บนฐานของความ “พอเพียง”ทั้งทางด้านวัตถุและจิตใจมาตั้งแต่ต้น เป็นฐานจริงรองรับการดำรงอยู่ของสังคมไทย ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ คนไทยอยู่ดีกินดีอยู่แล้วโดยพื้นฐาน แต่ขาดอย่างยิ่งในเรื่อง “ปัญญาชี้นำ” ในระดับชนชั้นปกครอง
อาจกล่าวได้ว่า ในช่วงเกือบร้อยปีที่ผ่านมา กลุ่มปกครองไม่ยึดมั่นในความเป็นจริง ไม่ตระหนักถึงสิ่งที่สังคมไทยและคนไทยมีอยู่ หลงยึดติดความรู้ในตำราของต่างประเทศ พยายามแปลงประเทศไทยให้เป็นต่างประเทศ แปลงคนไทยให้เป็นคนต่างประเทศ ดำเนินการพัฒนาประเทศภายใต้แนวคิดชี้นำที่ไม่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงของสังคมไทยและคนไทย เน้นพัฒนาบนฐานที่เราไม่มีหรือไม่มีฐาน เป็นเหตุให้สังคมไทยและคนไทยค่อยๆแปลกแยกออกจากฐานของความ “พอเพียง”ทั้งทางวัตถุและจิตใจ ดำเนินชีวิตตามแบบตะวันตก พยายามกินและใช้สิ่งที่เราไม่มี จึงตกอยู่ในสภาวะของความขาดแคลน และรู้สึกถึงความ “ขาดแคลน”อยู่เป็นนิจ
สังคมไทยและคนไทยที่เคยอยู่กับความ “พอเพียง”มาโดยตลอด ต่างตกเข้าสู่วังวนของความขาดแคลนที่ถูกสร้างขึ้นโดยคณะผู้นำการบริหารประเทศที่ขาดปัญญาอย่างช่วยไม่ได้ เกิดวิกฤติไปทั่ว ดิ้นรนไปทั่ว และเบียดเบียนซึ่งกันและกันไปทั่ว สังคมไทยกลายเป็นสังคมวิปริต คนไทยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆกลายเป็นคนวิกลจิต แสดงออกในลักษณะต่างๆ ทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว
ด้วยเหตุนี้ ณ วันนี้ เมื่อการเมืองประเทศไทยกลับมาตั้งตัวใหม่บนฐานความเป็นจริงของตนเอง นั่นคือความ “พอเพียง” ซึ่งจำเป็นต้องใช้ปัญญาชี้นำการบริหารประเทศ ย่อมหมายถึงว่า สังคมไทยและคนไทยจะสามารถพัฒนาตนเองไปได้อย่างมั่นคง ด้วยลำแข้งตนเอง และอย่างเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง
เชื่อเหลือเกินว่า การพัฒนาประเทศภายใต้การชี้นำของของปัญญา ซึ่งก็คือปัญญาตื่นรู้ที่ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงของสังคมมนุษย์และสังคมไทยโดยรวม เริ่มจากฐานที่ตนเองมี และมุ่งให้ประชาชนคนไทยอยู่ดีกินดี มีชีวิตสุขอย่าง “พอเพียง” สานต่อวิถีชีวิตแบบไทยๆที่นับเนื่องกันมานับพันปี ให้สานสอดกับกระบวนการพัฒนาของสังคมโลกยุคโลกาภิวัตน์อย่างกลมกลืน สามารถใช้ประโยชน์เท่าที่เป็นไปได้และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเท่าที่ทำได้ในกระบวนการขับเคลื่อนของกระแสโลกาภิวัตน์ ในที่สุด ระบบความคิดบนฐานของปัญญาและความ “พอเพียง”นี้ ก็จะกลายเป็น “ปัญญาอันอุดม” ชี้นำความคิดและการกระทำของคณะผู้บริหารประเทศและประชาชนชาวไทย สร้างชาติให้เจริญรุ่งเรืองอย่างรอบด้าน เหมาะแก่การมีชีวิตอยู่อย่างยิ่งยวด
ซึ่งด้วย “ปัญญาอันอุดม”นี่เอง ประเทศไทยจะพัฒนาก้าวหน้าเคียงคู่ไปได้กับบรรดาอารยประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศจีนในระบอบสังคมนิยมภายใต้การชี้นำของระบบความคิดมาร์กซิสม์ที่มีความเป็นปัญญาอันอุดมเช่นเดียวกัน
เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนสังคมมนุษยชาติบรรลุสู่สังคมอุดมการณ์ ทีละขั้นๆ
-------------------------------