xs
xsm
sm
md
lg

สังคมนิยม – เครื่องมือสร้างชาติ (35)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

คงไม่ผิดจากข้อเท็จจริงนัก หากจะมองว่า ณ วันนี้ ความเหมือนกันของประเทศไทยกับประเทศจีน คือความเป็นประเทศกำลังพัฒนา ส่วนความแตกต่างอยู่ตรงที่ จีนเป็น “สังคมนิยมขั้นปฐม” (พูดกระแทกหูหน่อยก็ว่า “สังคมนิยมโหลยโท่ย” ) ไทยเป็น “ทุนนิยมต่อพ่วง” หรือทุนนิยมกระพร่องกระแพร่ง ไม่สมประกอบ (พูดกระแทกหูหน่อยก็ว่า “ทุนนิยมโหลยโท่ย”)
บนฐานแห่งความจริงนี้ เราสามารถมองไปสู่อนาคต และคาดเดาอนาคตของประเทศจีนและประเทศไทยได้ แต่ทั้งนี้ต้องทำความเข้าใจลงลึกถึงสิ่งที่เรียกว่า “สังคมนิยมโหลยโท่ย” กับ “ทุนนิยมโหลยโท่ย” พอให้ได้เค้าความจริงเสียก่อน
สังคมนิยมขั้นปฐมที่จีนกำลังเป็นอยู่ ได้มีการอธิบายอย่างชัดเจนแล้วในทางทฤษฎี โดยพรรคคอมมิวนิสต์จีนยุคเติ้งเสี่ยวผิง ช่วงทศวรรษ ค.ศ. 1980-1990 ได้ประมวลความเข้าใจในลักษณะสังคมจีน หรือที่เรียกกันเป็นทางการว่า “สังคมนิยมเอกลักษณ์จีน” ว่าเป็นระยะต้นของความเป็นสังคมนิยม ซึ่งเป็นระยะต้นของสังคมคอมมิวนิสต์อีกที ทั้งนี้วัดกันที่ระดับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม วิทยาการสมัยใหม่ และการศึกษาวัฒนธรรม ของประเทศจีน ยังล้าหลังมากเมื่อเทียบกับประเทศทุนนิยมพัฒนาแล้ว
กระนั้น ด้วยความเป็นสังคมนิยม มีแนวคิดอุดมการณ์ก้าวหน้ากว่าระบบทุนนิยม ด้วยจุดยืน ทัศนะ วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถเข้าถึงและสะท้อนกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมมนุษย์ได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง มีความเป็น “สัมมาทิฐิ” มีความเป็น “ธรรมะ” ทำให้สามารถกำหนดภารกิจใจกลางในการพัฒนาประเทศได้อย่างถูกต้อง จัดระเบียบสังคมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ (เช่น การพัฒนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และการสร้างสังคมกลมกลืน เป็นต้น) เกิดผลดีต่อการพัฒนาประเทศในทุกขั้นตอนของการพัฒนา ทำให้ประเทศจีนปีกกล้าขาแข็งได้ในระยะเวลาอันสั้น ประชาชนจีนลืมตาอ้าปากได้ในชั่วข้ามคืน เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งในสายตาชาวโลก
นั่นหมายความว่า การพัฒนาของจีน จะก้าวหน้าไปไกลอย่างแน่นอน
หันมาดูประเทศไทย เราก็ไม่วายต้อง “ใจหาย” เมื่อพบว่า แนวคิดชี้นำการพัฒนาประเทศของเรา ยังติดยึดอยู่ในกรอบความคิดของทุนนิยมโลก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ผลคือ ทำให้เราไม่สามารถกำหนดภารกิจใจกลางในการพัฒนาประเทศได้อย่างสอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของเราเอง
ในทางปฏิบัติ เราจึงขาดความเป็นอิสระ ไม่สามารถ “แหกคอก” ฝ่าวงล้อมทางเศรษฐกิจการค้า การลงทุน ที่ทุนนิยมโลกเป็นผู้กำหนดและกำกับ ซึ่งหลักๆก็คือการทำให้ประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจเสรีโลก เปิดโล่งให้ทุนโลกทะลวงลึกเข้าสู่ทุกส่วนขององคาพยพไทย โดยปราศจากแรงต้านทานใดๆ
ผลของการพัฒนาประเทศ ที่ปรากฏออกมาในรูปของตัวเลขจีดีพี เป็นเพียงการสะท้อนให้เห็นถึงการเจริญเติบใหญ่ของเศรษฐกิจต่อพ่วงของทุนนิยมโลก อันประกอบด้วยกิจการของทุนข้ามชาติ และทุนผูกขาดในประเทศที่เป็นฐานอำนาจทางการเมืองของรัฐบาลตัวแทนกลุ่มทุนใหญ่ใหม่เป็นสำคัญ ผลพวงของการพัฒนาไหลรวมไปหล่อเลี้ยงกลุ่มทุนครอบโลกและกลุ่มทุนผูกขาดในประเทศเป็นส่วนใหญ่
บนฐานนี้ แม้กลุ่มทุนใหญ่ไทยจะเติบใหญ่เป็นทุนระดับโลก ประเทศไทยก็ไม่เข้มแข็ง ไม่เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง แต่มีแนวโน้มกลายเป็น “องค์ประกอบ”ส่วนหนึ่งของกลุ่มทุนใหญ่ในประเทศซึ่งอิงอยู่กับกลุ่มทุนครอบโลก ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ยังคงยากจน “มูลค่าชีวิต”ลดน้อยถอยลง ต่ำกว่าระดับมาตรฐานของความเป็นมนุษย์ ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยการ “ขายตัว” มัวเมาอยู่ในเรื่องหวยเบอร์ โชคลาภ วนเวียนอยู่ในวงวัฏแห่งความไม่รู้ภายใต้การครอบงำของสื่อรัฐและสื่อกลุ่มทุนหลายซับหลายซ้อน ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำ เพื่อแลกกับค่าตอบแทนอันน้อยนิด พอประทังให้ชีวิตรอดไปวันๆ หนำซ้ำยังต้องแบกหนี้สินล้นพ้นตัว จนปัญญาที่จะแก้ไขได้ เปิดช่องให้พรรคการเมืองกลุ่มทุนเข้ากว้านซื้อเสียงสนับสนุน ด้วยนโยบายประชานิยมต่างๆนานา ตกเป็น “ตัวประกัน”ทางการเมืองของพรรคกลุ่มทุนอย่างยากที่จะดิ้นหลุดได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเวทนายิ่งนัก
บนฐานนี้ ประเทศไทยจึงมัวหมอง สังคมไทยจึงเสื่อมโทรม คนไทยจึงไร้ศักดิ์ศรี และไร้ซึ่งหลักประกันในความปลอดภัย
เปรียบเทียบกันแล้ว จึงพอจะคาดการณ์ได้ไม่ยากว่า หากการพัฒนาของประเทศจีนและประเทศไทยยังคงดำเนินไปในลักษณะดังที่ได้พรรณนามาแล้ว อีกไม่ช้าไม่นาน เราก็จะเห็นความแตกต่างระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนมากยิ่งขึ้น
กระนั้นก็ตาม ด้วยความที่สังคมไทยขับเคลื่อนตนเองไปในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก และเป็นสังคมเปิด มีการถ่ายเททางความคิดกับโลกภายนอกอยู่เนืองๆ จึงปรากฏมีบุคคลและกลุ่มบุคคลที่มีความคิดลุ่มลึก สายตายาวไกล รักชาติ รักประชาชน รักความเป็นธรรม จับกลุ่มรวมตัวกันดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชาชาวไทย ในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง และอย่างไม่ย่อท้อ ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บุคคลและกลุ่มบุคคลเช่นนี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในแวดวงและสาขาอาชีพต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ทั้งในรั้วมหาวิทยาลัยและในชุมชนต่างๆ
เมื่อใดที่มีการเชื่อมโยงกันเข้าเป็นเครือข่ายทางปัญญา และมีองค์กรจัดตั้งที่เข้มแข็งรองรับ ก็มักจะเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการสามัคคีกันเข้าของพลังรักชาติ รักประชาธิปไตย รักความเป็นธรรม และรักประชาชน ขับเคลื่อนการพัฒนาของสังคมไทย ให้ดำเนินไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง
ในอดีตที่ผ่านมา กระบวนการดังกล่าวยังไม่ได้รับการยอมรับทั่วไปในสังคมไทย สืบเนื่องจากการขยายตัวของพลังอำนาจกลุ่มทุนใหญ่ สามารถใช้เงื่อนไขและโอกาสที่เปิดให้ในระบบการเมืองเลือกตั้งที่ถอดแบบมาจากการเมืองเลือกตั้งของประเทศทุนนิยมพัฒนาแล้ว ฉกฉวยอำนาจบริหารประเทศไปได้ทุกครั้งไป
มาบัดนี้ การเมืองเลือกตั้งที่เอื้อโอกาสให้แก่กลุ่มทุนใหญ่ ได้สะดุดหยุดลงอีกครั้ง ภายหลังการเคลื่อนไหวต่อสู้ของกลุ่มผู้รู้และทรงปัญญาในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ราษฎรอาวุโส และบรรดาคณาจารย์ นิสิตนักศึกษาปัญญาชนจากสถาบันต่างๆ ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนานนับปี กลายเป็นคลื่น “สึนามิ”ถาโถมเข้าใส่อำนาจรัฐกลุ่มทุนผูกขาดในนามพรรคไทยรักไทย และนำมาสู่การก่อรัฐประหารยึดอำนาจของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นำโดย พล. อ. สนธิ บุญรัตกลิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
ในสายตาของผู้เขียน การโค่นอำนาจปกครองของกลุ่มทุนใหญ่ไทยรักไทยครั้งนี้ มีนัยทางการเมืองที่สำคัญคือ เป็นการถอนรากถอนโคนระบบอำนาจกลุ่มทุนใหญ่นาม “ระบอบทักษิณ”ก่อนที่มันจะหยั่งรากลึกยึดครองประเทศไทย ตัดโอกาสการผูกขาดประเทศของกลุ่มทุนใหญ่ใหม่ไทย เปิดช่องให้การเมืองภาคประชาชนก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองเลือกตั้งครั้งสำคัญ ซึ่งภาคประชาชนมีความพร้อมที่สุด
ทั้งนี้ การตื่นตัวของภาคประชาชน ที่สั่งสมต่อเนื่องกันมาหลายยุคหลายสมัย ในเรื่องสิทธิประโยชน์ของตน โดยเฉพาะจากการกระตุ้นของนโยบายประชานิยมของรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และจากการ “จุดเทียนปัญญา”ของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในรอบปีที่ผ่านมา ได้กำหนดให้ประชาชน “คาดหวัง”ว่า การกระทำรัฐประหารครั้งนี้ ก็เพื่อนำไปสู่การจัดระเบียบการเมืองไทยให้เป็นแบบประชาธิปไตยของประชาชน ที่จะเปิดเวทีให้พรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนก้าวขึ้นสู่เวทีการเมืองเลือกตั้งของประเทศไทย
ในทางปฏิบัติ คณะปฏิรูปฯ หรือต่อจากนี้ไปก็คือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ จึงต้องกำกับการปฏิรูปการเมืองให้ดำเนินไปในทิศทางที่เอื้อต่อการก้าวขึ้นสู่เวทีของพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เพื่อสามัคคีพลังรักชาติ รักประชาชน รักความเป็นธรรม ทั้งหลายทั้งปวง โดยไม่แยกเขาแยกเรา ไม่แยกฐานะอาชีพ ไม่แยกเก่าแยกใหม่ ไม่แยกบนแยกล่าง ไม่แยกสีแยกพวก เชื่อมโยงทุกภาคฝ่ายเข้าหากัน หลอมรวมกันเข้าเป็นพลังแก่นแกน ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาของประเทศไทยให้ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้อง
โดยมีวิสัยทัศน์ร่วมกันที่ ประเทศชาติเข้มแข็ง เศรษฐกิจก้าวหน้า การเมืองโปร่งใส สังคมเป็นธรรม ประชาชนน่าชื่นตาบาน อยู่ดีมีสุข “พอเพียง” กันถ้วนหน้า

---------------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น