xs
xsm
sm
md
lg

ความตาย

เผยแพร่:   โดย: โชติช่วง นาดอน

วันนี้เล่านิทานเต๋าเกี่ยวกับความตายกันสักสองสามเรื่องดีกว่า

เรื่องแรกชื่อว่า “กลัวตาย”

สมัยที่เจ้าฉีจิ่งกง เป็นประมุขปกครองแคว้นฉี ปราชญ์เยี่ยนจื่อเป็นขุนนางที่ปรึกษาของฉีจิ่งกง วันนึง ฉีจิ่งกง ออกไปเที่ยวแถวดอยหนิวซาน เห็นทิวทัศน์ภูมิประเทศงดงามนัก อดทอดถอนใจไม่ได้ เอ่ยขึ้นว่า “โอ้ปฐพีนี้ช่างงามสง่า งดงามนัก แต่วันหนึ่งข้าก็ต้องมรณาลาจากปฐพีที่แสนสวยงามนี้” โฮ...โฮ...ฉีจิ่งกงร้องไห้เสียใจกลัวตายจากโลกนี้

อำมาตย์สองคนที่ยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งกง เห็นประมุขร้องไห้ จึงร้องไห้ตามบ้าง และกล่าวว่า “โฮ...โฮ...แม้แต่ขุนนางต่ำต้อยอย่างพวกเรายังไม่อยากตายจากโลกนี้ไปเลย ยิ่งสูงยศรวยศักดิ์อย่างท่าน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง”

เยี่ยนจื่อเห็นพฤติกรรมของทั้งสามคน ก็เลยหัวร่อเสียงดังออกมา

ปรากฏว่าเสียงหัวเราะนี้ทำให้ฉีจิ่งกงโกรธ ตวาดเยี่ยนจื่อว่า

“ข้ามองดูแผ่นดิน คิดถึงความสิ้นสุดของชีวิต คิดถึงความตายจึงเศร้าใจร้องให้ มันมีอะไรน่าขำเรอะ”

เยี่ยนจื่อตอบอย่างใจเย็นว่า “ถ้าคนเราอายุยืนยาวไม่รู้จักตายกันละก็ ป่านฉะนี้ ท่านฉีไท่กง หรือท่านฉีหวนหง หรือท่านฉีจวงกง หรือท่านฉีหลิงกง บรรพชนของท่าน ก็จะยังเป็นประมุขแคว้นฉีอยู่ แล้วตัวท่านจะได้นั่งบัลลังก์หรือ ท่านคงจะต้องคลุมเสื้อหย้ากันฝนทำงานหนักอยู่ในไร่นา จะไม่มีเวลามาห่วงเรื่องเป็นเรื่องตายจนร้องห่มร้องไห้อยู่อย่างนี้หรอก ท่านเป็นผู้นำของแว่นแคว้น แต่มาเสียใจกลัวตายจนร้องไห้อย่างนี้ นับว่าด้อยปัญญา ในวันนี้ข้าพเจ้าอดหัวเราะเพราะขบขันไม่ได้ที่เห็นผู้นำด้อยปัญญาคนหนึ่งกับคนสอพลออีกสองคน”

ฉีจิ่งกงฟังแล้วได้สำนึกอับอาย จึงยกจอกเชิญชวนทุกคนดื่มสุราแก้เขิน”

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนเราควรจะกล้าเกิด-กล้าตาย ไม่พะวงเรื่องเป็น-ตาย ดำรงชีวิตอย่างเหมาะสมไปตามกาล คนเราถ้าอยากมีชีวิตอยู่จนหวาดผวาความตายเกินไป จะเป็นทุกข์ ไร้ความสุข

นิทานเรื่องต่อไปชื่อว่า “เขาตายไปแล้ว จะเศร้าไปทำไม” เรื่องมีอยู่ว่า

“มีชายคนหนึ่ง แซ่อู๋ อาศัยอยู่ทางตะวันออกของเมืองเว่ย วันนึงลูกชายของนายอู๋ตายไป แต่นายอู๋ก็มิได้แสดงอาการโศกเศร้าเสียใจอะไร เขาเดินไปร้านเหล้า สั่งซื้อสุราสองชั่ง

เถ้าแก่ร้านเหล้าสงสัย ถามนายอู๋ว่า ลูกชายแกเพิ่งตายไป จึงเรียกกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว ทำไมแกไม่เสียใจเลยหรือ

นายอู๋ยิ้มๆ ตอบว่า เดิมทีข้าไม่มีเมียไม่มีลูก ต่อมามีเมียเกิดลูก ตอนนี้ลูกตายไปแล้ว มันก็เหมือนกับตอนสมัยก่อนที่ข้ายังไม่มีลูก แล้วข้าจะทุกข์โศกไปทำไม”

คำตอบแบบนี้ไม่ใช่เพราะนายอู๋เป็นคนโง่ หรือไม่มีจิตใจรู้ร้อนรู้หนาวหรอก

เมื่อคนเราตายไป มันมีอะไรน่าโศกเศร้าหรือ แต่โดยทั่วๆ ไปแล้ว ผู้คนกลับมองคนที่คิดตกเข้าอกเข้าใจความเป็นธรรมชาติ จึงไม่ฟูมฟายโศกเศร้า เป็นคนไม่มีน้ำจิตน้ำใจ

แล้วการฟูมฟาย โศกเศร้า มากมายมันช่วยอะไรได้หรือเปล่า”

นิทานเรื่องสุดท้ายนี่ไม่เชิงนิทาน่ ลองอ่านทำความเข้าใจดู ก็จะไม่รู้สึกว่านายอู๋เป็นคนใจดำ

“เกิดมาชั่วคราว ตายไปชั่วคราว”

“ในความเข้าใจของคนทั่วไป เห็นว่าคนที่มีอายุได้ถึงร้อยปีนับเป็นยอดสมบูรณ์ ใครอยู่ได้ร้อยปีก็มองว่าอยู่ได้นานแล้ว แต่จริงๆ แล้ว ลองย้อนกลับไปพิจารณาดูสิว่า ในช่วงชีวิตของคนเรานั้นเป็นอย่างไรบ้าง

ช่วงชีวิตเป็นเด็กและช่วงชรากินเวลาไปครึ่งหนึ่งของชีวิต

หักลบเวลานอนหลับออกไปอีกกึ่งหนึ่ง

หักลบช่วงเจ็บไข้ได้ป่วย และช่วงชอกช้ำขมขื่นกลัดกลุ้มกังวลออกไปอีกกึ่งหนึ่ง

คิดไปคิดมา จะเหลือเวลาที่เบิกบาน เป็นตัวของตัวเอง อยู่นิดเดียวเท่านั้น

แล้วคนเรามีชีวิตอยู่เพื่ออะไรกันเล่า เพื่ออาหารการกินและอาภรณ์เครื่องนุ่งห่มหรือ เพื่อความสนุกทางกามรสหรือ

แต่ว่าคนเราแม้จะมีอาหารและเครื่องนุ่งห่มแล้ว ก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอไม่พอใจอยู่ร่ำไป

ช่วงชีวิตที่สั้นนิดเดียวนี้ มีเป้าหมายเพื่อเกียรติยศชั่วครู่หรือ

ถ้าตั้งเป้าหมายชีวิตอย่างนั้น ชั่วชีวิตนี้จะมิอาจฟังด้วยหูตัวเองอย่างแท้จริงเลย มิอาจเสพสุนทรีย์ด้วยตาตนเองเลย มิอาจดำเนินชีวิตตามอารมณ์ปรารถนาเลย

แท้จริงการเกิด เป็นเพียงการมาอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว การตายก็เป็นเพียงการจากโลกนี้ไปชั่วคราว

จงเดินไปตามมรรคาของธรรมชาติเถิด อย่าดื้อรั้นฝืนสู้ธรรมชาติเลย

อยากจะพันธนาการชีวิตของตนไว้ด้วยเรื่องชื่อเสียงกระนั้นหรือ จงทำตัวตามสบาย อย่าบีบคั้นธรรมชาติธาตุแท้ของตนเพราะลาภยศสรรเสริญเลย

จะได้ชื่อเสียงหรือชื่อเสีย จะมีชื่อเสียงตั้งแต่ก่อนตายหรือหลังตาย ช่างมันเถิด ถ้าเข้าใจว่า เราอยู่เพียงชั่วคราว ไปก็ไปเพียงชั่วคราว เราก็จะกล้าใช้ชีวิตสบายๆ”

ทั้งสามเรื่องข้างต้นนี้ แปลเรียบเรียงจากคัมภีร์เลี่ยจื่อ

คัมภีร์เลี่ยจื่อนี้ เป็นคัมภีร์หลักของปรัชญาเต๋าหนึ่งในสามคัมภีร์ ทั้งสามคัมภีร์นั้นคือ เต๋าเต็กเก็ง จวงจื่อ และเลี่ยจื่อ

ความตายในทรรศนะฝ่ายเต๋าเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องน่ากลัว การมีชีวิตอยู่ก่อความเลวต่างหาก เป็นเรื่องที่น่ากลัวกว่า
กำลังโหลดความคิดเห็น