สัปดาห์ก่อนโน้นเขียนเรื่อง “วาจาไม่ตรงกับใจ” มีคนที่หน้า “จีนวันนี้” บอกว่าชอบ วันนี้ก็เลยขออนุญาตนำเอาเรื่องดีๆ จากคัมภีร์ “หลี่สื้อชุนชิว” มาเสนออีกบทหนึ่ง บนนี้ชื่อว่า “พึงระวังวาจา” 重言 มีเนื้อความดังนี้
“วาจาของประมุข มิอาจไม่ระมัดระวัง ท่านเกาจ้ง (กษัตริย์อู่ติง แห่งราชวงศ์ซาง) เป็นโอรสสวรรค์ เมื่อท่านขึ้นรับตำแหน่ง ท่าน (ปฏิบัติตน) ดั่งไว้ทุกข์ สามปีไม่พูด (ออกความเห็น) สิ่งใด เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ต่างพากันวิตกหวั่นเกรงเป็นห่วงเป็นใย เกาจ้งจึงว่า
“ตัวเราเป็นแกนนำทั้งทั่วสี่ทิศ เราเกรงว่า (หากเอ่ยไป) อาจมีวาจมไม่เหมาะไม่ควร เราจึงไม่เอ่ย”
โอรสสวรรค์ในยุคโบราณให้ความระมัดระวังวาจา สิ่งที่พูดออกไปไม่มีพลาดพลั้ง
.....................................................
ครั้งหนึ่งเจ้าโจวเฉิงหวาง (ราชบุตรของโจวอู่หวาง) ผู้โค่นล้มทรราชย์ราชวงศ์ซาง) สำราญอยู่กับซูอวี๋ผู้น้องชาย โจงเฉิงหวางใช้ใบต้นถงแทนกกุธภัณฑ์หยก “กุ้ย” ยื่นให้ซูอวี๋และพูดว่า “ด้วยสิ่งนี้ เราของแต่งตั้งเจ้า” (ตามราชประเพณีแล้ว เวลาประมุขแต่งตั้งให้เจ้าองค์ใดได้ครอบครองแผ่นดินส่วย ประมุขจะมอบกุ้ย เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทำด้วยหยกให้ โจวเฉิงหวางแหย่เย้าน้องชายเล่นตามประสาเด็ก)
ซูอวี๋ดีใจ ไปเล่าให้โจวกงต้าน (อา) ฟัง โจวกงต้านจึงเข้าไปทูลต่อโจวเฉิงหวางว่า “พระองค์แต่งตั้งซูอวี๋ไปกินเมืองหรือ”
โจวเฉิงหวางว่า “เราเพียงแต่พูดเล่นกับซูอวี๋เท่านั้น”
โจวกงต้านจึงว่า “ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า โอรสสวรรค์ต้องมีวาจาสัตย์ เหตุด้วยประมุขตรัสแล้ว ขุนนางไท่สื่อจะต้องจดบันทึกไว้ ขุนนางกงซือจะเผยแพร่ออกไป นรชนทั้งหลายก็จะสรรเสริญสดุดี”
(ด้วยเหตุนี้โจวเฉิงหวาง) จึงต้องประกาศแต่งตั้งซูอวี๋ให้เป็น “จิ้งโหว”
นับว่าโจวกงต้านเจรจาโน้มน้าวได้ดี เรื่องนี้ทำให้โจวเฉิงหวางเห็นความสำคัญของการระมัดระวังวาจา ทั้งยังสามารถแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีใจรักน้อง อันเป็นการเสริมสร้างความสุขสงยให้กับพระราชวงศ์
.....................................................
เจ้าฉู่จวงหวางครองราชย์ได้สามปีแล้ว ไม่ชอบว่าราชการ ชอบแต่เล่นทายปริศนาฟังเรื่องราวแปลกๆ เฉิงกงเจี๋ยต้องการจะนำเสนอนโยบาย ฉู่จวงหวางบอกว่า
“เราได้ห้ามไว้แล้วว่า ห้ามฎีกาเสนอนโยบาย ไฉนท่านจึงยังมาว่ากล่าวอีก”
เฉิงกงเจี๋ยทูลว่า “หามิได้ ข้าพระองค์มิกล้าละเมิด ข้าพระองค์เพียงแต่จะมาเล่นทายปริศนากับพระองค์เท่านั้น”
ฉู่จวงหวางจึงว่า “เช่นนั้นไฉนไม่รีบทายมาเล่า”
เฉิงกงเจี๋ยทูลถามว่า “มีปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ สามปีแล้วไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่ยอมบิน ไม่ยอมขันคู ปักษานี้คือปักษาอะไร เชิญพระองค์เฉลย”
ฉู่จวงหวางตอบว่า “ปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ มันไม่เคลื่อนไหวสามปี เพื่อปักหลักปณิธานให้แน่วแน่มั่นคง มันไม่โบยบินสามปีเพื่อรอให้ปีกใหญ่กล้าแข็ง มันไม่ขันคูเพื่อคอยตรวจสอบภาวะของอาณาประชาราษฎร ปักษาตัวนี้แม้มันจะยังไม่บิน แต่หากบินก็จะทะลุฟ้า แม้มันจะยังมิขันคู แต่หากขันคูย่อมก้องกัมปนาทยินทั่วทุกตัวคน ท่านกลับไปก่อนเถิด เราเข้าใจแล้ว”
เมื่อออกขุนนางว่าราชการในวันรุ่งขึ้น ฉู่จวงหวางสั่งปลดขุนนางสิบคน แต่งตั้งใหม่ห้าคน ขุนนางทั้งหลายต่างดีใจเฉลิมฉลองกัน ที่คำกลอนใน “ซือจิง” ว่า
๏ไฉนจึงเนิ่นนานเพราะต้องมีไม้เด็ด
ไฉนจึงอยู่นี่เพราะต้องมีดี ๏
คงจะตรงกับวิธีการของฉู่จวงหวางละกระมัง
ปริศนาของเฉินกงเจี๋ยสูงส่งกว่าถ้อยคำอธิบายอันงดงามไท่จี๋ผี่นัก ถ้อยคำของไท่จี๋ผี่ถูกหูฟูไช (ประมุขแคว้นอู๋) แต่แล้วแคว้นอู๋ก็สิ้นชาติ ส่วนคำปริศนาของเฉิงกงเจี๋ยเปรียบเปรยปลุกฉู่จวงหวางได้ ทำให้แคว้นฉู่ได้เป็นอธิราช
.....................................................
เจ้าฉีหวนกงกับก่วนจ้งวางแผนจะปราบแคว้นอิ๋ง แผนการยังมิทันกำหนดแน่นอน ชาวชนรู้กันทั่ว เจ้าฉีหวนกงแปลกใจจึงว่า
“เราคิดแผนจะปราบแคว้นอิ๋งกับท่านพ่อก่วนจ้ง แผนการยังมิทันประกาศ แต่ชาวชนกลับรู้กันทั่ว นี่เป็นเหตุผลกลใดเล่า”
ฉีหวนกงว่า “เอ... ในวันนั้น (ที่วางแผนกันอยู่สองคน) เราเห็นไพร่คนหนึ่งมือถือเจ้อฉู่ (เครื่องมือชนิดหนึ่ง ยังไม่พบหลักฐานว่ามีลักษณะอย่างไร) แหงนหน้ามองข้างบน (ที่เราอยู่) สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” จึงให้ไปตามตัวคนผู้นั้นมาทันที ไม่นานตงกัวหยาก็มาถึง
ก่วนจ้งจึงว่า “เป็นผู้นี้แน่นอน” ให้คนนำตัวขึ้นมาแล้วถามว่า “เจ้าคือคนที่เที่ยวพูดว่าแคว้นฉีจะตีแคว้นอิ๋งใช่หรือไม่”
ตงกัวหยารับคำ ก่วนจ้งจึงว่า “เรายังไม่เคยเอ่ยเลยว่าจะปราบแคว้นอิ๋ง ไฉนเจ้าจึงไปเที่ยวพูดเช่นนั้น”
ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า วิญญูชนสันทัดในการวางแผนโครงการ ไพร่ข้าสามัญสันทัดในการคาดเดา เรื่องนี้ทั้งหมดเกิดจากข้าน้อยคาดเดาเอาเองทั้งนั้น”
ก่วนจ้งว่า “ก็เรายังมิได้เอ่ยว่าจะปราบแคว้นอิ๋งเลย เจ้าเดาได้อย่างไร
ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า ประมุขนั้นมีสีหน้าและลักษณาการสามแบบ หากบันเทิงสุขใจอย่างชัดแจ้ง เรียกว่า สี่หน้าลักษณาการดนตรี สงบนิ่งเฉยเรียกว่าสีหน้าลักษณาการทุกข์ หากคึกคักฮึกเหิมมือเท้ากุมเกร็งกวัดแกว่ง เรียกว่า สีหน้าลักษณาการศึก วันนั้นข้าน้อยมองเห็นท่านประมุขคึกคักห้าวเหิม มือเท้ากุมเก็งกวัดแกว่งอันเป็นสีหน้าลักษณาการศึก เวลาท่านประมุขเอ่ยคำปากท่านไม่หุบดูท่าเหมือนคำว่าอิ๋ง ท่านยกแขนชี้มือไปทางทิศแคว้นอิ๋ง อีกทั้งข้าน้อยพิเคราะห์ดูแล้ว ในบรรดาสามนตราชทั้งหลาย จะมีที่กระด้างกระเดื่อต่อท่านประมุข ก็มีเพียงเจ้าแคว้นอิ๋งเท่านั้น ข้าน้อยจึงพูดไปว่า จะปราบแคว้นอิ๋ง”
คนเราจะได้ยินก็ต่อเมื่อมีเสียง แต่ครั้งนี้ ไม่ต้องมีเสียง เพียงแต่สังเกตสีหน้าท่าทางยกแขน ตงกัวหยาก็สามารถได้ยินโดยไม่ต้องใช้หูฟัง
ฉีหวนกงและก่วนจ้งแม้จะสันทัดในการเก็บความลับ แต่กลับมิสามารถปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้
อัจฉริยะบุคคลนั้น สามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีเสียง สามารถเห็นได้โดยไม่ต้องมีรูปลักษณ์ บุคคลเหล่านี้ได้แก่ เล่าจื๊อ จานเหอ เถียนจื่อฟาง เป็นต้น”
“วาจาของประมุข มิอาจไม่ระมัดระวัง ท่านเกาจ้ง (กษัตริย์อู่ติง แห่งราชวงศ์ซาง) เป็นโอรสสวรรค์ เมื่อท่านขึ้นรับตำแหน่ง ท่าน (ปฏิบัติตน) ดั่งไว้ทุกข์ สามปีไม่พูด (ออกความเห็น) สิ่งใด เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ต่างพากันวิตกหวั่นเกรงเป็นห่วงเป็นใย เกาจ้งจึงว่า
“ตัวเราเป็นแกนนำทั้งทั่วสี่ทิศ เราเกรงว่า (หากเอ่ยไป) อาจมีวาจมไม่เหมาะไม่ควร เราจึงไม่เอ่ย”
โอรสสวรรค์ในยุคโบราณให้ความระมัดระวังวาจา สิ่งที่พูดออกไปไม่มีพลาดพลั้ง
.....................................................
ครั้งหนึ่งเจ้าโจวเฉิงหวาง (ราชบุตรของโจวอู่หวาง) ผู้โค่นล้มทรราชย์ราชวงศ์ซาง) สำราญอยู่กับซูอวี๋ผู้น้องชาย โจงเฉิงหวางใช้ใบต้นถงแทนกกุธภัณฑ์หยก “กุ้ย” ยื่นให้ซูอวี๋และพูดว่า “ด้วยสิ่งนี้ เราของแต่งตั้งเจ้า” (ตามราชประเพณีแล้ว เวลาประมุขแต่งตั้งให้เจ้าองค์ใดได้ครอบครองแผ่นดินส่วย ประมุขจะมอบกุ้ย เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทำด้วยหยกให้ โจวเฉิงหวางแหย่เย้าน้องชายเล่นตามประสาเด็ก)
ซูอวี๋ดีใจ ไปเล่าให้โจวกงต้าน (อา) ฟัง โจวกงต้านจึงเข้าไปทูลต่อโจวเฉิงหวางว่า “พระองค์แต่งตั้งซูอวี๋ไปกินเมืองหรือ”
โจวเฉิงหวางว่า “เราเพียงแต่พูดเล่นกับซูอวี๋เท่านั้น”
โจวกงต้านจึงว่า “ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า โอรสสวรรค์ต้องมีวาจาสัตย์ เหตุด้วยประมุขตรัสแล้ว ขุนนางไท่สื่อจะต้องจดบันทึกไว้ ขุนนางกงซือจะเผยแพร่ออกไป นรชนทั้งหลายก็จะสรรเสริญสดุดี”
(ด้วยเหตุนี้โจวเฉิงหวาง) จึงต้องประกาศแต่งตั้งซูอวี๋ให้เป็น “จิ้งโหว”
นับว่าโจวกงต้านเจรจาโน้มน้าวได้ดี เรื่องนี้ทำให้โจวเฉิงหวางเห็นความสำคัญของการระมัดระวังวาจา ทั้งยังสามารถแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีใจรักน้อง อันเป็นการเสริมสร้างความสุขสงยให้กับพระราชวงศ์
.....................................................
เจ้าฉู่จวงหวางครองราชย์ได้สามปีแล้ว ไม่ชอบว่าราชการ ชอบแต่เล่นทายปริศนาฟังเรื่องราวแปลกๆ เฉิงกงเจี๋ยต้องการจะนำเสนอนโยบาย ฉู่จวงหวางบอกว่า
“เราได้ห้ามไว้แล้วว่า ห้ามฎีกาเสนอนโยบาย ไฉนท่านจึงยังมาว่ากล่าวอีก”
เฉิงกงเจี๋ยทูลว่า “หามิได้ ข้าพระองค์มิกล้าละเมิด ข้าพระองค์เพียงแต่จะมาเล่นทายปริศนากับพระองค์เท่านั้น”
ฉู่จวงหวางจึงว่า “เช่นนั้นไฉนไม่รีบทายมาเล่า”
เฉิงกงเจี๋ยทูลถามว่า “มีปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ สามปีแล้วไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่ยอมบิน ไม่ยอมขันคู ปักษานี้คือปักษาอะไร เชิญพระองค์เฉลย”
ฉู่จวงหวางตอบว่า “ปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ มันไม่เคลื่อนไหวสามปี เพื่อปักหลักปณิธานให้แน่วแน่มั่นคง มันไม่โบยบินสามปีเพื่อรอให้ปีกใหญ่กล้าแข็ง มันไม่ขันคูเพื่อคอยตรวจสอบภาวะของอาณาประชาราษฎร ปักษาตัวนี้แม้มันจะยังไม่บิน แต่หากบินก็จะทะลุฟ้า แม้มันจะยังมิขันคู แต่หากขันคูย่อมก้องกัมปนาทยินทั่วทุกตัวคน ท่านกลับไปก่อนเถิด เราเข้าใจแล้ว”
เมื่อออกขุนนางว่าราชการในวันรุ่งขึ้น ฉู่จวงหวางสั่งปลดขุนนางสิบคน แต่งตั้งใหม่ห้าคน ขุนนางทั้งหลายต่างดีใจเฉลิมฉลองกัน ที่คำกลอนใน “ซือจิง” ว่า
๏ไฉนจึงเนิ่นนานเพราะต้องมีไม้เด็ด
ไฉนจึงอยู่นี่เพราะต้องมีดี ๏
คงจะตรงกับวิธีการของฉู่จวงหวางละกระมัง
ปริศนาของเฉินกงเจี๋ยสูงส่งกว่าถ้อยคำอธิบายอันงดงามไท่จี๋ผี่นัก ถ้อยคำของไท่จี๋ผี่ถูกหูฟูไช (ประมุขแคว้นอู๋) แต่แล้วแคว้นอู๋ก็สิ้นชาติ ส่วนคำปริศนาของเฉิงกงเจี๋ยเปรียบเปรยปลุกฉู่จวงหวางได้ ทำให้แคว้นฉู่ได้เป็นอธิราช
.....................................................
เจ้าฉีหวนกงกับก่วนจ้งวางแผนจะปราบแคว้นอิ๋ง แผนการยังมิทันกำหนดแน่นอน ชาวชนรู้กันทั่ว เจ้าฉีหวนกงแปลกใจจึงว่า
“เราคิดแผนจะปราบแคว้นอิ๋งกับท่านพ่อก่วนจ้ง แผนการยังมิทันประกาศ แต่ชาวชนกลับรู้กันทั่ว นี่เป็นเหตุผลกลใดเล่า”
ฉีหวนกงว่า “เอ... ในวันนั้น (ที่วางแผนกันอยู่สองคน) เราเห็นไพร่คนหนึ่งมือถือเจ้อฉู่ (เครื่องมือชนิดหนึ่ง ยังไม่พบหลักฐานว่ามีลักษณะอย่างไร) แหงนหน้ามองข้างบน (ที่เราอยู่) สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” จึงให้ไปตามตัวคนผู้นั้นมาทันที ไม่นานตงกัวหยาก็มาถึง
ก่วนจ้งจึงว่า “เป็นผู้นี้แน่นอน” ให้คนนำตัวขึ้นมาแล้วถามว่า “เจ้าคือคนที่เที่ยวพูดว่าแคว้นฉีจะตีแคว้นอิ๋งใช่หรือไม่”
ตงกัวหยารับคำ ก่วนจ้งจึงว่า “เรายังไม่เคยเอ่ยเลยว่าจะปราบแคว้นอิ๋ง ไฉนเจ้าจึงไปเที่ยวพูดเช่นนั้น”
ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า วิญญูชนสันทัดในการวางแผนโครงการ ไพร่ข้าสามัญสันทัดในการคาดเดา เรื่องนี้ทั้งหมดเกิดจากข้าน้อยคาดเดาเอาเองทั้งนั้น”
ก่วนจ้งว่า “ก็เรายังมิได้เอ่ยว่าจะปราบแคว้นอิ๋งเลย เจ้าเดาได้อย่างไร
ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า ประมุขนั้นมีสีหน้าและลักษณาการสามแบบ หากบันเทิงสุขใจอย่างชัดแจ้ง เรียกว่า สี่หน้าลักษณาการดนตรี สงบนิ่งเฉยเรียกว่าสีหน้าลักษณาการทุกข์ หากคึกคักฮึกเหิมมือเท้ากุมเกร็งกวัดแกว่ง เรียกว่า สีหน้าลักษณาการศึก วันนั้นข้าน้อยมองเห็นท่านประมุขคึกคักห้าวเหิม มือเท้ากุมเก็งกวัดแกว่งอันเป็นสีหน้าลักษณาการศึก เวลาท่านประมุขเอ่ยคำปากท่านไม่หุบดูท่าเหมือนคำว่าอิ๋ง ท่านยกแขนชี้มือไปทางทิศแคว้นอิ๋ง อีกทั้งข้าน้อยพิเคราะห์ดูแล้ว ในบรรดาสามนตราชทั้งหลาย จะมีที่กระด้างกระเดื่อต่อท่านประมุข ก็มีเพียงเจ้าแคว้นอิ๋งเท่านั้น ข้าน้อยจึงพูดไปว่า จะปราบแคว้นอิ๋ง”
คนเราจะได้ยินก็ต่อเมื่อมีเสียง แต่ครั้งนี้ ไม่ต้องมีเสียง เพียงแต่สังเกตสีหน้าท่าทางยกแขน ตงกัวหยาก็สามารถได้ยินโดยไม่ต้องใช้หูฟัง
ฉีหวนกงและก่วนจ้งแม้จะสันทัดในการเก็บความลับ แต่กลับมิสามารถปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้
อัจฉริยะบุคคลนั้น สามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีเสียง สามารถเห็นได้โดยไม่ต้องมีรูปลักษณ์ บุคคลเหล่านี้ได้แก่ เล่าจื๊อ จานเหอ เถียนจื่อฟาง เป็นต้น”