xs
xsm
sm
md
lg

พึงระวังวาจา

เผยแพร่:   โดย: โชติช่วง นาดอน

สัปดาห์ก่อนโน้นเขียนเรื่อง “วาจาไม่ตรงกับใจ” มีคนที่หน้า “จีนวันนี้” บอกว่าชอบ วันนี้ก็เลยขออนุญาตนำเอาเรื่องดีๆ จากคัมภีร์ “หลี่สื้อชุนชิว” มาเสนออีกบทหนึ่ง บนนี้ชื่อว่า “พึงระวังวาจา” 重言 มีเนื้อความดังนี้

“วาจาของประมุข มิอาจไม่ระมัดระวัง ท่านเกาจ้ง (กษัตริย์อู่ติง แห่งราชวงศ์ซาง) เป็นโอรสสวรรค์ เมื่อท่านขึ้นรับตำแหน่ง ท่าน (ปฏิบัติตน) ดั่งไว้ทุกข์ สามปีไม่พูด (ออกความเห็น) สิ่งใด เหล่าเสนาพฤฒามาตย์ต่างพากันวิตกหวั่นเกรงเป็นห่วงเป็นใย เกาจ้งจึงว่า

“ตัวเราเป็นแกนนำทั้งทั่วสี่ทิศ เราเกรงว่า (หากเอ่ยไป) อาจมีวาจมไม่เหมาะไม่ควร เราจึงไม่เอ่ย”

โอรสสวรรค์ในยุคโบราณให้ความระมัดระวังวาจา สิ่งที่พูดออกไปไม่มีพลาดพลั้ง

.....................................................

ครั้งหนึ่งเจ้าโจวเฉิงหวาง (ราชบุตรของโจวอู่หวาง) ผู้โค่นล้มทรราชย์ราชวงศ์ซาง) สำราญอยู่กับซูอวี๋ผู้น้องชาย โจงเฉิงหวางใช้ใบต้นถงแทนกกุธภัณฑ์หยก “กุ้ย” ยื่นให้ซูอวี๋และพูดว่า “ด้วยสิ่งนี้ เราของแต่งตั้งเจ้า” (ตามราชประเพณีแล้ว เวลาประมุขแต่งตั้งให้เจ้าองค์ใดได้ครอบครองแผ่นดินส่วย ประมุขจะมอบกุ้ย เครื่องราชกกุธภัณฑ์ทำด้วยหยกให้ โจวเฉิงหวางแหย่เย้าน้องชายเล่นตามประสาเด็ก)

ซูอวี๋ดีใจ ไปเล่าให้โจวกงต้าน (อา) ฟัง โจวกงต้านจึงเข้าไปทูลต่อโจวเฉิงหวางว่า “พระองค์แต่งตั้งซูอวี๋ไปกินเมืองหรือ”

โจวเฉิงหวางว่า “เราเพียงแต่พูดเล่นกับซูอวี๋เท่านั้น”

โจวกงต้านจึงว่า “ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า โอรสสวรรค์ต้องมีวาจาสัตย์ เหตุด้วยประมุขตรัสแล้ว ขุนนางไท่สื่อจะต้องจดบันทึกไว้ ขุนนางกงซือจะเผยแพร่ออกไป นรชนทั้งหลายก็จะสรรเสริญสดุดี”

(ด้วยเหตุนี้โจวเฉิงหวาง) จึงต้องประกาศแต่งตั้งซูอวี๋ให้เป็น “จิ้งโหว”

นับว่าโจวกงต้านเจรจาโน้มน้าวได้ดี เรื่องนี้ทำให้โจวเฉิงหวางเห็นความสำคัญของการระมัดระวังวาจา ทั้งยังสามารถแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีใจรักน้อง อันเป็นการเสริมสร้างความสุขสงยให้กับพระราชวงศ์

.....................................................

เจ้าฉู่จวงหวางครองราชย์ได้สามปีแล้ว ไม่ชอบว่าราชการ ชอบแต่เล่นทายปริศนาฟังเรื่องราวแปลกๆ เฉิงกงเจี๋ยต้องการจะนำเสนอนโยบาย ฉู่จวงหวางบอกว่า

“เราได้ห้ามไว้แล้วว่า ห้ามฎีกาเสนอนโยบาย ไฉนท่านจึงยังมาว่ากล่าวอีก”

เฉิงกงเจี๋ยทูลว่า “หามิได้ ข้าพระองค์มิกล้าละเมิด ข้าพระองค์เพียงแต่จะมาเล่นทายปริศนากับพระองค์เท่านั้น”

ฉู่จวงหวางจึงว่า “เช่นนั้นไฉนไม่รีบทายมาเล่า”

เฉิงกงเจี๋ยทูลถามว่า “มีปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ สามปีแล้วไม่ยอมเคลื่อนไหว ไม่ยอมบิน ไม่ยอมขันคู ปักษานี้คือปักษาอะไร เชิญพระองค์เฉลย”

ฉู่จวงหวางตอบว่า “ปักษาตัวหนึ่งอาศัยอยู่บนดอยทางทิศใต้ มันไม่เคลื่อนไหวสามปี เพื่อปักหลักปณิธานให้แน่วแน่มั่นคง มันไม่โบยบินสามปีเพื่อรอให้ปีกใหญ่กล้าแข็ง มันไม่ขันคูเพื่อคอยตรวจสอบภาวะของอาณาประชาราษฎร ปักษาตัวนี้แม้มันจะยังไม่บิน แต่หากบินก็จะทะลุฟ้า แม้มันจะยังมิขันคู แต่หากขันคูย่อมก้องกัมปนาทยินทั่วทุกตัวคน ท่านกลับไปก่อนเถิด เราเข้าใจแล้ว”

เมื่อออกขุนนางว่าราชการในวันรุ่งขึ้น ฉู่จวงหวางสั่งปลดขุนนางสิบคน แต่งตั้งใหม่ห้าคน ขุนนางทั้งหลายต่างดีใจเฉลิมฉลองกัน ที่คำกลอนใน “ซือจิง” ว่า

๏ไฉนจึงเนิ่นนานเพราะต้องมีไม้เด็ด
ไฉนจึงอยู่นี่เพราะต้องมีดี ๏

คงจะตรงกับวิธีการของฉู่จวงหวางละกระมัง

ปริศนาของเฉินกงเจี๋ยสูงส่งกว่าถ้อยคำอธิบายอันงดงามไท่จี๋ผี่นัก ถ้อยคำของไท่จี๋ผี่ถูกหูฟูไช (ประมุขแคว้นอู๋) แต่แล้วแคว้นอู๋ก็สิ้นชาติ ส่วนคำปริศนาของเฉิงกงเจี๋ยเปรียบเปรยปลุกฉู่จวงหวางได้ ทำให้แคว้นฉู่ได้เป็นอธิราช

.....................................................

เจ้าฉีหวนกงกับก่วนจ้งวางแผนจะปราบแคว้นอิ๋ง แผนการยังมิทันกำหนดแน่นอน ชาวชนรู้กันทั่ว เจ้าฉีหวนกงแปลกใจจึงว่า

“เราคิดแผนจะปราบแคว้นอิ๋งกับท่านพ่อก่วนจ้ง แผนการยังมิทันประกาศ แต่ชาวชนกลับรู้กันทั่ว นี่เป็นเหตุผลกลใดเล่า”

ฉีหวนกงว่า “เอ... ในวันนั้น (ที่วางแผนกันอยู่สองคน) เราเห็นไพร่คนหนึ่งมือถือเจ้อฉู่ (เครื่องมือชนิดหนึ่ง ยังไม่พบหลักฐานว่ามีลักษณะอย่างไร) แหงนหน้ามองข้างบน (ที่เราอยู่) สงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้” จึงให้ไปตามตัวคนผู้นั้นมาทันที ไม่นานตงกัวหยาก็มาถึง

ก่วนจ้งจึงว่า “เป็นผู้นี้แน่นอน” ให้คนนำตัวขึ้นมาแล้วถามว่า “เจ้าคือคนที่เที่ยวพูดว่าแคว้นฉีจะตีแคว้นอิ๋งใช่หรือไม่”

ตงกัวหยารับคำ ก่วนจ้งจึงว่า “เรายังไม่เคยเอ่ยเลยว่าจะปราบแคว้นอิ๋ง ไฉนเจ้าจึงไปเที่ยวพูดเช่นนั้น”

ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า วิญญูชนสันทัดในการวางแผนโครงการ ไพร่ข้าสามัญสันทัดในการคาดเดา เรื่องนี้ทั้งหมดเกิดจากข้าน้อยคาดเดาเอาเองทั้งนั้น”

ก่วนจ้งว่า “ก็เรายังมิได้เอ่ยว่าจะปราบแคว้นอิ๋งเลย เจ้าเดาได้อย่างไร

ตงกัวหยาว่า “ข้าน้อยยินมาว่า ประมุขนั้นมีสีหน้าและลักษณาการสามแบบ หากบันเทิงสุขใจอย่างชัดแจ้ง เรียกว่า สี่หน้าลักษณาการดนตรี สงบนิ่งเฉยเรียกว่าสีหน้าลักษณาการทุกข์ หากคึกคักฮึกเหิมมือเท้ากุมเกร็งกวัดแกว่ง เรียกว่า สีหน้าลักษณาการศึก วันนั้นข้าน้อยมองเห็นท่านประมุขคึกคักห้าวเหิม มือเท้ากุมเก็งกวัดแกว่งอันเป็นสีหน้าลักษณาการศึก เวลาท่านประมุขเอ่ยคำปากท่านไม่หุบดูท่าเหมือนคำว่าอิ๋ง ท่านยกแขนชี้มือไปทางทิศแคว้นอิ๋ง อีกทั้งข้าน้อยพิเคราะห์ดูแล้ว ในบรรดาสามนตราชทั้งหลาย จะมีที่กระด้างกระเดื่อต่อท่านประมุข ก็มีเพียงเจ้าแคว้นอิ๋งเท่านั้น ข้าน้อยจึงพูดไปว่า จะปราบแคว้นอิ๋ง”

คนเราจะได้ยินก็ต่อเมื่อมีเสียง แต่ครั้งนี้ ไม่ต้องมีเสียง เพียงแต่สังเกตสีหน้าท่าทางยกแขน ตงกัวหยาก็สามารถได้ยินโดยไม่ต้องใช้หูฟัง

ฉีหวนกงและก่วนจ้งแม้จะสันทัดในการเก็บความลับ แต่กลับมิสามารถปกปิดเรื่องนี้ไว้ได้

อัจฉริยะบุคคลนั้น สามารถฟังได้โดยไม่ต้องมีเสียง สามารถเห็นได้โดยไม่ต้องมีรูปลักษณ์ บุคคลเหล่านี้ได้แก่ เล่าจื๊อ จานเหอ เถียนจื่อฟาง เป็นต้น”
กำลังโหลดความคิดเห็น