สมัยที่ผมเรียนแพทย์ที่เซี่ยงไฮ้ ผมมีวิธีพักผ่อนแบบแปลกๆ อย่างหนึ่ง คือผมผ่อนคลายด้วยบทกวีจีน นอกจากจะได้ความรู้ภาษาจีนลึกซึ้งเร็วขึ้นแล้ว ยังได้คติคมความคิดที่สร้างพลังให้กับการสู้ชีวิตผจญกับความสกปรกโสมมในสังคมโลกด้วย
บทกวีเล่มแรกที่ผมซื้อมาอ่านชื่อว่า “เด็กน้อยเรียนกวีโบราณร้อยบท” แม้จะเป็นกวีที่อ่านเข้าใจไม่ยากเขาเลือกมาสำหรับเด็กเล็กๆ แต่ทว่าคมความคิดในบทกวีเหล่านนั้นลึกซึ้งบ่มเพาะอุดมคติที่ดีงาม บางบทก็มีลักษณะต่อสู้มากเหมือนกัน
ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บหนังสือเล่มน้อยเล่มนั้นไว้ แม้มันจะเปื่อยไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม วันนี้ผมเปิดอ่านลายมือที่ผมแปลบทกวีเป็นภาษาไทยไว้ในนั้น อ่านไปเรื่อยๆ พบบทหนึ่งที่ยังไม่เคยแปล มีชื่อว่า “จี่ไห้จ๋าซือ – บทกวีหลายหลากในปีจี่ไห้” ร้อยกรองโดย กงจื้อเจิน
己 亥 杂 诗
龚自珍
九州生气特风雷,
万马齐喑究可哀。
我劝天公重抖擞,
不拘一格降人才。
“กงจื้อเจิน” (ค.ศ. 1792 – 1841) เป็นชาวเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สอบได้เป็นจิ้นสื้อ ในยุคกลางของราชวงศ์ชิง ต่อมาลาออกจากราชการ แล้วป่วยตายกะทันหัน บทกวีของเขามีความก้าวหน้าโน้มเอียงไปทางหน่ออ่อนของเสรีนิยมชนชั้นนายทุน
กวีบทนี้เขาเขียนในปี ค.ศ. 1839 เนื้อความดังนี้
๏ รัฐเรืองรุ่งรอลมฟาดสายฟ้า
หมื่นอาชาเงียบใบ้ใจหมองหม่น
ข้าเชิญฟ้าปลุกเร้าจิตคิดส่งคน
อัจฉริย์สู่ภูวดลพ้นกรอบใด
ถอดความตามคำศัพท์ให้เป็นร้อยแก้ว เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้
ทั้งเก้าแคว้น (อันหมายถึงประเทศจีน) จะอุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองจำเป็นต้องรอคอยลมและอสนีบาตฟาดกระหึ่มจึงเกิดความชุ่มชื้นทำให้อุดมสมบูรณ์ แต่บัดนี้หมู่ม้านับหมื่นกลับเงียบเสียงไปหมด หมายถึงไม่มีผู้คนที่กล้าหาญออกมาช่วยรักษาชาติบ้านเมืองเลย ช่างน่าสลดใจเสียจริงๆ ข้าพเจ้าจึงขอเสนอต่อเจ้าสวรรค์ (เทียนกง 天公) โปรดเร้าระดมจิตใจ (โต่วโซว 抖擞) ส่งผู้คนที่ปรีชาสามารถลงมาเกิดในโลกมนุษย์โดยไม่ต้องพะวงกรอบกฎเกณฑ์ใดๆ เพื่อสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง
สองบาทหลัง ผมเข้าใจว่ากงจื้อเจิน คงตั้งใจวิพากย์ระบบการสอบเป็นบัณฑิตของทางราชสำนักจีน ซึ่งเริ่มทำกันเป็นระบบตั้งแต่ยุคราชวงศ์สุย แล้วพัฒนาเจริญเต็มที่ในยุคราชวงศ์ถัง
ระบบการสอบเทียบระดับความรู้ความสามารถนั้น แบ่งเป็นหลายระดับ ตั้งแต่สอบระดับท้องถิ่นต่ำที่สุด คือใครสอบผ่านก็เรียกว่า “ซิ่วไฉ” จากนั้นต้องสอบระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้เป็น "จิ้นสื้อ” (สอบผ่านระดับการสอบในราชธานี) แล้วจึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนาง
ถ้าใครสอบยังไม่ผ่านขึ้น “จิ้นสื้อ” ก็ยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ต้องหันกลับไปประกอบอาชีพเป็นครูน้อยตามหมู่บ้านตำบล
ด้านดีของการสอบบรรจุข้าราชการก็มีอยู่ คือสร้างโอกาสให้สามัญชนที่ไม่ใช่ครอบครัวลูกหลานขุนนาง ได้มีโอกาสสอบแข่งขันเข้าเป็นขุนนางได้ หากมีปัญญาจะร่ำจะเรียนให้สูงๆ จุดนี้ทำให้สังคมจีนพัฒนาก้าวหน้าขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่เมื่อใช้ระบบการสอบแบบนี้ต่อเนื่องยาวนานเป็นพันปี จากที่เคยมีข้อดี มันกลับกลายเป็นข้อเสีย ตรงที่มันขัดขวางการพัฒนาของการเรียนรู้การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพราะการสอบนั้นวัดผลจากการเขียนอธิบายความคัมภีร์ขงจื๊อ ความรู้จึงย่ำอยู่กับที่เป็นพันปี
กงจื้อเจินจึงกล้าเขียนว่า
๏ ข้าเชิญฟ้าระดมจิตคิดส่งคน อัจฉริย์สู่ภูวดลพ้นกรอบใด ๐
บอกเจ้าสวรรค์ว่าขอให้แหกกรอบกฎเดิมๆ ส่งคนที่เป็นอัจฉริยะมาช่วยชาติจีนหน่อยเถิด ไม่ต้องรอสอบหาคนเก่งตามรูปแบบการสอบจอหงวนที่โบร่ำโบราณคร่ำครึใช้ไม่ได้แล้ว
ไม่แน่ใจว่าฟ้าสวรรค์ฟังกงจื้อเจินหรือไร หลังจากเขาตายไปไม่นาน (สามสี่สิบปี) บรรดาอัจฉริยะทางการปฏิวัติก็มาเกิดในแผ่นดินจีนมากมาย ทำให้แผ่นดินจีนสะเทือนเลื่อนลั่น และเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายจากสภาพที่ล้าหลังมาในสมัยของกงจื้อเจิน มาเป็นชาติที่มีความก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้.
บทกวีเล่มแรกที่ผมซื้อมาอ่านชื่อว่า “เด็กน้อยเรียนกวีโบราณร้อยบท” แม้จะเป็นกวีที่อ่านเข้าใจไม่ยากเขาเลือกมาสำหรับเด็กเล็กๆ แต่ทว่าคมความคิดในบทกวีเหล่านนั้นลึกซึ้งบ่มเพาะอุดมคติที่ดีงาม บางบทก็มีลักษณะต่อสู้มากเหมือนกัน
ทุกวันนี้ผมก็ยังเก็บหนังสือเล่มน้อยเล่มนั้นไว้ แม้มันจะเปื่อยไปตามกาลเวลาแล้วก็ตาม วันนี้ผมเปิดอ่านลายมือที่ผมแปลบทกวีเป็นภาษาไทยไว้ในนั้น อ่านไปเรื่อยๆ พบบทหนึ่งที่ยังไม่เคยแปล มีชื่อว่า “จี่ไห้จ๋าซือ – บทกวีหลายหลากในปีจี่ไห้” ร้อยกรองโดย กงจื้อเจิน
己 亥 杂 诗
龚自珍
九州生气特风雷,
万马齐喑究可哀。
我劝天公重抖擞,
不拘一格降人才。
“กงจื้อเจิน” (ค.ศ. 1792 – 1841) เป็นชาวเมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง สอบได้เป็นจิ้นสื้อ ในยุคกลางของราชวงศ์ชิง ต่อมาลาออกจากราชการ แล้วป่วยตายกะทันหัน บทกวีของเขามีความก้าวหน้าโน้มเอียงไปทางหน่ออ่อนของเสรีนิยมชนชั้นนายทุน
กวีบทนี้เขาเขียนในปี ค.ศ. 1839 เนื้อความดังนี้
๏ รัฐเรืองรุ่งรอลมฟาดสายฟ้า
หมื่นอาชาเงียบใบ้ใจหมองหม่น
ข้าเชิญฟ้าปลุกเร้าจิตคิดส่งคน
อัจฉริย์สู่ภูวดลพ้นกรอบใด
ถอดความตามคำศัพท์ให้เป็นร้อยแก้ว เข้าใจง่ายขึ้นดังนี้
ทั้งเก้าแคว้น (อันหมายถึงประเทศจีน) จะอุดมสมบูรณ์รุ่งเรืองจำเป็นต้องรอคอยลมและอสนีบาตฟาดกระหึ่มจึงเกิดความชุ่มชื้นทำให้อุดมสมบูรณ์ แต่บัดนี้หมู่ม้านับหมื่นกลับเงียบเสียงไปหมด หมายถึงไม่มีผู้คนที่กล้าหาญออกมาช่วยรักษาชาติบ้านเมืองเลย ช่างน่าสลดใจเสียจริงๆ ข้าพเจ้าจึงขอเสนอต่อเจ้าสวรรค์ (เทียนกง 天公) โปรดเร้าระดมจิตใจ (โต่วโซว 抖擞) ส่งผู้คนที่ปรีชาสามารถลงมาเกิดในโลกมนุษย์โดยไม่ต้องพะวงกรอบกฎเกณฑ์ใดๆ เพื่อสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง
สองบาทหลัง ผมเข้าใจว่ากงจื้อเจิน คงตั้งใจวิพากย์ระบบการสอบเป็นบัณฑิตของทางราชสำนักจีน ซึ่งเริ่มทำกันเป็นระบบตั้งแต่ยุคราชวงศ์สุย แล้วพัฒนาเจริญเต็มที่ในยุคราชวงศ์ถัง
ระบบการสอบเทียบระดับความรู้ความสามารถนั้น แบ่งเป็นหลายระดับ ตั้งแต่สอบระดับท้องถิ่นต่ำที่สุด คือใครสอบผ่านก็เรียกว่า “ซิ่วไฉ” จากนั้นต้องสอบระดับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนได้เป็น "จิ้นสื้อ” (สอบผ่านระดับการสอบในราชธานี) แล้วจึงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนาง
ถ้าใครสอบยังไม่ผ่านขึ้น “จิ้นสื้อ” ก็ยังไม่ได้รับการบรรจุเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ต้องหันกลับไปประกอบอาชีพเป็นครูน้อยตามหมู่บ้านตำบล
ด้านดีของการสอบบรรจุข้าราชการก็มีอยู่ คือสร้างโอกาสให้สามัญชนที่ไม่ใช่ครอบครัวลูกหลานขุนนาง ได้มีโอกาสสอบแข่งขันเข้าเป็นขุนนางได้ หากมีปัญญาจะร่ำจะเรียนให้สูงๆ จุดนี้ทำให้สังคมจีนพัฒนาก้าวหน้าขึ้นในระดับหนึ่ง
แต่เมื่อใช้ระบบการสอบแบบนี้ต่อเนื่องยาวนานเป็นพันปี จากที่เคยมีข้อดี มันกลับกลายเป็นข้อเสีย ตรงที่มันขัดขวางการพัฒนาของการเรียนรู้การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพราะการสอบนั้นวัดผลจากการเขียนอธิบายความคัมภีร์ขงจื๊อ ความรู้จึงย่ำอยู่กับที่เป็นพันปี
กงจื้อเจินจึงกล้าเขียนว่า
๏ ข้าเชิญฟ้าระดมจิตคิดส่งคน อัจฉริย์สู่ภูวดลพ้นกรอบใด ๐
บอกเจ้าสวรรค์ว่าขอให้แหกกรอบกฎเดิมๆ ส่งคนที่เป็นอัจฉริยะมาช่วยชาติจีนหน่อยเถิด ไม่ต้องรอสอบหาคนเก่งตามรูปแบบการสอบจอหงวนที่โบร่ำโบราณคร่ำครึใช้ไม่ได้แล้ว
ไม่แน่ใจว่าฟ้าสวรรค์ฟังกงจื้อเจินหรือไร หลังจากเขาตายไปไม่นาน (สามสี่สิบปี) บรรดาอัจฉริยะทางการปฏิวัติก็มาเกิดในแผ่นดินจีนมากมาย ทำให้แผ่นดินจีนสะเทือนเลื่อนลั่น และเกิดการเปลี่ยนแปลงมากมายจากสภาพที่ล้าหลังมาในสมัยของกงจื้อเจิน มาเป็นชาติที่มีความก้าวหน้าทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างทุกวันนี้.