xs
xsm
sm
md
lg

สังคมนิยม – เครื่องมือสร้างชาติ (25)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ในยุค “สงครามและการปฏิวัติ” พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นพรรคปฏิวัติ แต่ปัจจุบัน ในยุค “สันติภาพและการพัฒนา” พรรคฯจีนทำหน้าที่เป็นพรรคสร้างชาติ ดำเนินการสร้างชาติด้วยระบอบสังคมนิยม
ฉันใดฉันนั้น ประเทศไทยในยุค “สันติภาพและพัฒนา” ก็ย่อมต้องการพรรคการเมืองสร้างชาติ ทำหน้าที่เป็นแกนนำประชาชนชาวไทยดำเนินการพัฒนาประเทศให้รุ่งเรืองรอบด้าน ประชาชนอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า ในระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับตนเอง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งทุนนิยมหรือสังคมนิยมแบบ “พอเพียง”
น่าเสียดาย ที่เรามีพรรคการเมือง “โหลยโท่ย” โลภเกินจนขาดปัญญา ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นครองอำนาจไม่สิ้นสุด มุ่งแต่กอบโกยโกงกิน มากกว่าทำหน้าที่เป็นแกนนำสร้างชาติได้ตามความเรียกร้องต้องการของปวงชนชาวไทย
มาบัดนี้ พรรคไทยรักไทยก็ดำเนินการบริหารประเทศไปในอีหรอบเดียวกันกับพรรคการเมืองเก่าๆ หนำซ้ำยัง “ล้ำเส้น” ฉกฉวยโอกาสที่พรรคนี้ได้เสียงข้างมากในสภาฯ รวบหัวรวบหางสถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จของกลุ่มทุนเหนือสังคมไทย อันเป็นต้นเหตุแห่งวิกฤติทั้งปวงที่กำลังขยายผล ทำลายโอกาสของประเทศไทยอยู่ ณ เวลานี้
วิกฤติใหญ่สร้างความสับสนแก่คนไทยอย่างไม่เคยมีมาก่อน ทำให้มองไม่เห็นทางออกที่ถูกต้อง คนไทยจิกตีกันหนักขึ้นทุกวัน
ผู้เขียนใคร่ชวนท่านผู้อ่านมา “ล้างตา” หาหนทางออกจากวิกฤตินี้ ด้วยข้อวิสัชนาว่าเมื่อใดที่เรา “ถอยห่าง”ออกมามองดูสิ่งที่กำลังเป็นไปในประเทศเราหรือกระทั่งทั้งโลก ก็จะเห็นได้ไม่ยากว่า “ปัญหา”มันอยู่ตรงไหน และควรจะแก้ไขอย่างไร แต่เมื่อใดที่เราเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง อยู่ในท่ามกลางการขับเคลื่อนของสิ่งที่กำลังเป็นไปในประเทศเราหรือกระทั่งทั้งโลก ก็จะ(พลัน)สับสนไปกับปัญหารูปธรรมต่างๆที่รุมล้อมอยู่ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้
เช่น ปัญหาวิกฤติของชาติที่กำลังเป็นอยู่นี้ มองในระดับองค์รวม ก็จะเห็นถึงเหตุได้ไม่ยาก ว่าเป็นเพราะพรรคไทยรักไทย โดยเฉพาะตัวหัวหน้าพรรค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศ อันเนื่องจากการใช้อำนาจไปในทางเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มและพวกของตนอย่างต่อเนื่องและในหลายๆด้าน ดังที่ได้มีการเปิดโปงไปทั่วแล้ว
การแก้ไขปัญหาก็คือ พรรคไทยรักไทยต้องวางมือจากการใช้อำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องลาออกจากตำแหน่ง แล้วเปิดทางให้พรรคการเมืองอื่นๆเข้ามาใช้อำนาจบริหารประเทศ หรือหากพรรคการเมืองอื่นๆติดขัดเรื่องเสียงสนับสนุนในรัฐสภา ก็สมควรประกาศยุบสภาจัดการเลือกตั้งใหม่อย่าง “แฟร์ๆ”
ทำเช่นนี้ ทุกอย่างจึงจะดำเนินไปได้อย่าง “ชอบธรรม” คือบนเส้นทางแห่งความถูกต้องที่มีความเป็นมาตรฐานสากล คนไทยส่วนใหญ่รับได้
นั่นหมายถึงว่า การเมืองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทย จะเดินหน้าไปบนเส้นทางที่ดี ขับเคลื่อนกระบวนการพัฒนาประเทศได้อย่างมั่นคง ประชาชนชาวไทยจะได้รับประโยชน์ตามไปด้วยอย่างสมน้ำสมเนื้อ
แต่ในการแก้ไขปัญหาที่เป็นจริง กลับตาลปัตรไปหมด ทั้งนี้เพราะพรรคไทยรักไทยยืนกรานที่จะรักษาอำนาจไว้ในมือสถานเดียว ด้วยข้ออ้างสารพัด หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่ยอมลาออก แม้แต่การประกาศยุบสภากำหนดการเลือกตั้งก็ทำอย่าง “ไม่แฟร์” บีบให้พรรคฝ่ายค้านต้องตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรการเลือกตั้ง แล้วเหตุการณ์วิกฤติก็บานปลายไปใหญ่ เกิดการแตกแยกขึ้นในหมู่ชนชาวไทยอย่างชัดเจน
มองในภาพรวม วิกฤติครั้งนี้ ตัวต้นเหตุมาจากการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แกนนำพรรคไทยรักไทย ที่ดำเนินมาตั้งแต่เริ่มต้นการทำหน้าที่รัฐบาลปี พ.ศ.2544 การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า สามารถดำเนินไปได้ภายใต้ข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญ แต่ก็มาติดตันตรงที่พรรคไทยรักไทยได้ครอบงำกลไกการทำงานตามกฎหมายรัฐธรรมนูญไว้เป็นส่วนใหญ่ จึงได้เกิดขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชน เริ่มจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของคุณสนธิ ลิ้มทองกุล และคุณสโรชา พรอุดมศักดิ์ แล้วพัฒนามาเป็น พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับพรรคการเมืองฝ่ายค้าน ดำเนินการเคลื่อนไหวขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาที่เป็นจริง
แต่พรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับดิ้นรนตอบโต้ สู้แบบหัวชนฝา สร้าง “ล็อค”วิกฤติใหม่ๆ เพื่อบั่นทอนกำลังของฝ่าย “ตรงข้าม” ทำให้วิกฤติบานปลายไปใหญ่ สังคมไทย “ติดหล่ม”อยู่ในวิกฤติ “ปลายน้ำ”กันถ้วนหน้า เช่น วิกฤติ กกต. วิกฤติ “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” เกิดการถกเถียง ทะเลาะกัน มีการ “แบ่งฝ่าย”กันมากขึ้นเรื่อยๆ มีแนวโน้มนำไปสู่การเผชิญหน้ากันในหมู่ประชาชนที่สนับสนุนและต่อต้านคุณทักษิณ และพรรคไทยรักไทยได้ในที่สุด
ทั้งนี้ น่าสังเกตว่า ในเรื่องของการแบ่งฝ่ายนั้น ได้มีการใช้ความเป็น “ทุนเก่า”กับ “ทุนใหม่”มาเป็นเส้นแบ่งด้วย ส่วนใหญ่เป็นไปในกลุ่มคนที่มีความรู้และความคิด เช่นนักวิชาการหัวก้าวหน้า ซึ่งมีอิทธิพลทางความคิดต่อชนชั้นกลาง โดยเฉพาะคือนักศึกษาปัญญาชน
แบบนี้ก็วุ่นละ เพราะการแบ่งฝ่ายเช่นนี้ ทำให้การแก้ไขปัญหาวิกฤติของชาติในขั้นนี้ลำบากมากขึ้นโดยไม่จำเป็น บั่นทอนพลังต่อต้านการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของพรรคไทยรักไทยเป็นอย่างมาก
พวกเขาลืมหรือละเลย “หัวใจ”ของปัญหา คือการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของพรรคไทยรักไทย แต่กลับติดอยู่กับเรื่อง “ทุนเก่า” – “ทุนใหม่” ซึ่งเป็นปัญหาพื้นฐานที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย และจะยังคงดำรงอยู่อีกนาน มันเป็นความขัดแย้งสำคัญของสังคมไทย แต่ไม่ใช่ “ตัววิกฤติ”หรือความขัดแย้งหลักที่จำเป็นต้องแก้ไขให้ตกไปในขั้นนี้
ผู้เขียนขอย้ำอีกทีว่า ความขัดแย้งหลักของสังคมไทยในปัจจุบันนี้ คือ การใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรมของพรรคการเมืองกลุ่มทุน(ไม่ว่ากลุ่มทุนเก่าหรือกลุ่มทุนใหม่) กับความเรียกร้องต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของปวงชนชาวไทย นั่นคือ พรรคการเมืองตัวแทนกลุ่มทุน(ทั้งเก่าและใหม่) ไม่สามารถดำเนินการบริหารประเทศให้เกิดประโยชน์สุขแก่ปวงประชาชนชาวไทย ไม่ได้เป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย
ทางแก้คือ ด้านหนึ่ง เราต้องคัดค้าน ต่อต้าน การใช้อำนาจใดๆอย่างไม่ชอบธรรม อีกด้านหนึ่ง เร่งสร้างพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย ก้าวเข้าสู่เวทีการเมือง ต่อสู้เอาชนะพรรคการเมืองกลุ่มทุน(ทั้งเก่าและใหม่)ด้วยรูปแบบวิธีการที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะเป็นจริงของสังคมไทย ในบริบทของสังคมโลกยุคปัจจุบัน
ในขั้นปัจจุบันนี้ เราคนไทยทุกคน จึงมีหน้าที่ต้องต่อสู้กับการใช้อำนาจอย่างไม่ชอบธรรม ต่อต้านการบริหารประเทศแบบมีผลประโยชน์ทับซ้อนและการทุจริตโกงกินทุกรูปแบบ
อีกนัยหนึ่ง คนไทยเราจะต้องดำเนินการต่อสู้กับพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุน(ไม่ว่าเก่าหรือใหม่)ทุกพรรค สนับสนุนกระบวนการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้พัฒนาก้าวหน้าไปตามสภาวะเป็นจริง นั่นคือ เสริมสร้างแรงกดดันให้พรรคการเมืองกลุ่มทุน ใช้อำนาจบริหารประเทศไปในทางที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศชาติ และการยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
อีกด้านหนึ่ง ก็เร่งสร้างพรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชนขึ้นมา ในท่ามกลางการต่อสู้ดังกล่าว
เชื่อว่า พรรคการเมืองตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน สามารถเกิดขึ้นมาได้ในท่ามกลางการต่อสู้ รณรงค์ให้พรรคการเมืองกลุ่มทุน “ทำดี” แสดงบทบาท “เหตุปัจจัยแกน”ในการขับเคลื่อนของสังคมไทยไปสู่อนาคตที่รุ่งเรืองได้ตั้งแต่ยังไม่ได้ใช้อำนาจบริหารประเทศ
คือ เป็นพรรคการเมืองที่ยังประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ยังเป็นพรรคนอกรัฐบาล และเมื่อได้เป็นรัฐบาล ใช้อำนาจบริหารประเทศ ก็จะยิ่งสร้างประโยชน์ใหญ่หลวงให้แก่ประเทศชาติและประชาชน
นี่แหละคือ “พรรคการเมืองสร้างชาติ” ในบริบทของสังคมไทยยุค “สันติภาพและพัฒนา” (มิใช่ยุค “สงครามและการปฏิวัติ”สักหน่อย )

หมายเหตุ ผู้เขียนใช้เนื้อที่คอลัมน์จีนวิเคราะห์ปัญหาไทย ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้

-----------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น