เรื่องปกติที่ปฏิบัติกันมานานในประเทศจีน ได้กลายมาเป็นหัวข้อถกเถียงในวงกว้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เมื่อหนูน้อยบางคนกลับจากโรงเรียนอนุบาลมาถามคุณแม่อย่างจริงจังว่า “ทำไมเพื่อนบางคนมี ‘จุ๋ดจู๋’ ทำไมหนูไม่มี แล้วทำไมเค้ายืนฉี่ ทำไมหนูต้องนั่งยองๆ”

ส่วนคุณแม่บางรายก็เล่าว่า มีอยู่พักหนึ่งหลังจากลูกสาวเข้าโรงเรียนอนุบาลได้ไม่นาน กลับบ้านมาก็ร้องที่จะยืนปัสสาวะเหมือนเพื่อนที่โรงเรียน ทำเอากางเกงเปียกไปหมด อีกรายเป็นหนูน้อยวัย 5 ขวบที่เติบโตในต่างประเทศ เมื่อต้องมาเข้าเรียนอนุบาลในปักกิ่ง ถึงกับไม่ยอมดื่มน้ำ และไม่ยอมเข้าห้องน้ำ เพราะไม่ชินกับการใช้ห้องน้ำร่วมกับเพื่อนนักเรียนชาย
เรื่องเล่าประเภทนี้ยังมีอีกมาก สาเหตุนั้นเกิดจากการที่ โรงเรียนอนุบาลในแดนมังกรไม่ได้จัดห้องน้ำแยกชายหญิงให้แก่นักเรียนตัวน้อยนั่นเอง
จนถึงปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ไม่เว้นปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวง เซี่ยงไฮ้เมืองใหญ่ทางเศรษฐกิจ หรือกว่างโจวเมืองแห่งธุรกิจในแดนมังกร ส่วนใหญ่ไม่มีการแยกห้องน้ำนักเรียนชายหญิง
ข้อมูลเมื่อปี 2003 ระบุว่าโรงเรียนอนุบาล 1,430 แห่งในปักกิ่ง ซึ่งมีจำนวนนักเรียนราว 200,000 คน มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จัดแยกห้องน้ำชายหญิง ซึ่งในระเบียบการศึกษาระดับอนุบาลก็ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องแยกไม่แยกห้องน้ำ
นักการศึกษาท่านหนึ่งเผยว่า การที่ทางโรงเรียนไม่มีการแยกห้องน้ำให้แก่นักเรียนอนุบาล เนื่องมาจากหน่วยงานวางแผนผังโรงเรียนอนุบาลได้ออกแบบห้องน้ำ 1 ห้องต่อชั้นเรียนเท่านั้น เด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงจึงต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในปักกิ่งที่มีประสบการณ์การสอนมา 27 ปี แสดงความเห็นว่า สำหรับเด็กวัย 3 - 6 ขวบยังไม่มีความจำเป็นจะต้องเน้นเรื่องการแยกใช้ห้องน้ำ เพราะยังเป็นวัยไร้เดียงสาไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างเพศชายหญิง ส่วนการที่ข้อถกเถียงนี้ร้อนระอุขึ้นมา เนื่องจากผู้ใหญ่ใช้มุมมองของตนมาเป็นเกณฑ์วัด

แต่สำหรับจูหมิ่น อาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนอนุบาลอีกแห่งกลับเห็นว่า การแยกห้องน้ำชายหญิงตั้งแต่ชั้นอนุบาลจะเป็นการเพาะบ่มสำนึกในการปกป้องตนเอง และรู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นให้แก่เยาวชนตัวน้อยแต่เด็ก
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนอนุบาลที่จัดทำห้องน้ำแยกชายหญิงในปักกิ่งก็มีให้เห็นบ้าง เช่นร.ร.อนุบาลสาธิต 21 เซ็นจูรี่ ที่นอกจากแยกชายหญิงแล้ว ยังแยกเด็กเล็กและเด็กโตด้วย โดยดูจากสัญลักษณ์ที่แสดง หากเป็นห้องน้ำสำหรับเด็กเล็กสัญลักษณ์จะเป็นการ์ตูน ส่วนห้องน้ำสำหรับเด็กโตจะใช้สัญลักษณ์เช่นเดียวกันห้องน้ำของผู้ใหญ่
ถึงกระนั้น การจัดห้องน้ำแยกชายหญิงอย่างชัดเจนยังทำได้ยาก ร.ร.อนุบาลส่วนใหญ่ที่เห็นความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวนี้ จึงมักใช้วิธีการต่างๆ มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ร.ร.อนุบาลแห่งหนึ่งในเขตเฟิงไถ ได้ใช้ผนังเตี้ยๆ มากั้นพอที่เด็กๆ จะไม่สามารถสอดส่องกันและกันได้ แต่คุณครูยังสามารถดูแลได้อยู่
ด้านร.ร.อนุบาลสาธิตมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง นอกจากกั้นผนังแล้วยังติดบานประตูเล็กที่มีความสูงพอเหมาะ ที่เด็กนักเรียนสามารถทำธุระส่วนตัวได้อย่างสบายใจ แต่ร.ร.บางแห่งคุณครูจะจัดกลุ่มเด็กชายเข้าห้องน้ำคนละเวลากับกลุ่มเด็กหญิง
หัวข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแยกหรือไม่แยกห้องน้ำเด็กชายหญิงในร.ร.อนุบาล คือข้อถกเถียงที่ว่า ควรเริ่มให้ความรู้เพศศึกษาแก่เด็กตั้งแต่ยังเล็กหรือไม่
ผู้ปกครองจำนวนมากเห็นว่าควรแยกห้องน้ำเป็นสัดส่วนตั้งแต่ชั้นอนุบาล เพราะจะช่วยให้เด็กรู้จักแยกแยะเพศตั้งแต่ยังเด็ก เป็นการค่อยๆ ให้เด็กเรียนรู้ว่าร่างกายของชายและหญิงต่างกัน

คุณครูไช่แห่งศูนย์วิจัยการศึกษาอนุบาลประจำเมืองปักกิ่ง กล่าวว่า จากการทดสอบพบว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับการเข้าห้องน้ำร่วมกับเด็กเพศตรงข้าม แต่เมื่อถึงวัยราว 6 ขวบ เด็กจะเริ่มเข้าใจ และจะเป็นธรรมชาติว่าเมื่อมีเด็กนักเรียนอยู่ในห้องน้ำ เด็กนักเรียนชายจะยังไม่เข้าไป
คุณครูไช่ย้ำว่า เด็กในยุคมิลลิเนียมรับรู้เรื่องเพศเร็วขึ้น ดังนั้นการแยกห้องน้ำจึงเป็นการให้ความรู้เบื้องต้นแก่เด็กในเรื่องเพศศึกษา
อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังเห็นว่าการแยกห้องน้ำชายหญิงในระดับอนุบาลไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เพราะหากจัดแยกจะยิ่งทำให้เด็กมีความรู้สึกไวต่อเรื่องเพศ หลี่เหวย จากสำนักวิจัยเยาวชน บัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน ให้ความเห็นว่า “สำหรับปัญหาเพศศึกษาในเด็ก การทำความเข้าใจสำคัญกว่าการป้องกัน ต้องให้เด็กๆเข้าใจว่าเพศหญิงและชายมีความต่างกัน แต่ไม่จำเป็นต้องนำมาพูดในชั้นเรียน”
นอกจากนี้ ผู้ปกครองบางส่วนยังไม่เห็นด้วยที่จะแยกห้องน้ำชายหญิงตั้งแต่ระดับอนุบาล เพราะเห็นว่า เด็กยังเล็กไร้เดียงสา ยังไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง 2 เพศ “แม้เด็กจะรู้ว่าชายและหญิงมีความต่างกัน แต่อยู่ในภาวะที่คลุมเครือไม่ชัดเจน หากอยู่ดีๆ เราไปแยกห้องน้ำ ยิ่งจะทำให้เด็กๆ อยากรู้อยากเห็น จนอาจเกิดผลในทางลบแก่เด็ก” .
เรียบเรียงจาก ไชน่านิวส์ และซินหัวเน็ต
ส่วนคุณแม่บางรายก็เล่าว่า มีอยู่พักหนึ่งหลังจากลูกสาวเข้าโรงเรียนอนุบาลได้ไม่นาน กลับบ้านมาก็ร้องที่จะยืนปัสสาวะเหมือนเพื่อนที่โรงเรียน ทำเอากางเกงเปียกไปหมด อีกรายเป็นหนูน้อยวัย 5 ขวบที่เติบโตในต่างประเทศ เมื่อต้องมาเข้าเรียนอนุบาลในปักกิ่ง ถึงกับไม่ยอมดื่มน้ำ และไม่ยอมเข้าห้องน้ำ เพราะไม่ชินกับการใช้ห้องน้ำร่วมกับเพื่อนนักเรียนชาย
เรื่องเล่าประเภทนี้ยังมีอีกมาก สาเหตุนั้นเกิดจากการที่ โรงเรียนอนุบาลในแดนมังกรไม่ได้จัดห้องน้ำแยกชายหญิงให้แก่นักเรียนตัวน้อยนั่นเอง
จนถึงปัจจุบันโรงเรียนอนุบาลส่วนใหญ่ไม่เว้นปักกิ่งซึ่งเป็นเมืองหลวง เซี่ยงไฮ้เมืองใหญ่ทางเศรษฐกิจ หรือกว่างโจวเมืองแห่งธุรกิจในแดนมังกร ส่วนใหญ่ไม่มีการแยกห้องน้ำนักเรียนชายหญิง
ข้อมูลเมื่อปี 2003 ระบุว่าโรงเรียนอนุบาล 1,430 แห่งในปักกิ่ง ซึ่งมีจำนวนนักเรียนราว 200,000 คน มีส่วนน้อยเท่านั้นที่จัดแยกห้องน้ำชายหญิง ซึ่งในระเบียบการศึกษาระดับอนุบาลก็ไม่มีการกล่าวถึงเรื่องแยกไม่แยกห้องน้ำ
นักการศึกษาท่านหนึ่งเผยว่า การที่ทางโรงเรียนไม่มีการแยกห้องน้ำให้แก่นักเรียนอนุบาล เนื่องมาจากหน่วยงานวางแผนผังโรงเรียนอนุบาลได้ออกแบบห้องน้ำ 1 ห้องต่อชั้นเรียนเท่านั้น เด็กนักเรียนทั้งชายและหญิงจึงต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน
อาจารย์ใหญ่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในปักกิ่งที่มีประสบการณ์การสอนมา 27 ปี แสดงความเห็นว่า สำหรับเด็กวัย 3 - 6 ขวบยังไม่มีความจำเป็นจะต้องเน้นเรื่องการแยกใช้ห้องน้ำ เพราะยังเป็นวัยไร้เดียงสาไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่างเพศชายหญิง ส่วนการที่ข้อถกเถียงนี้ร้อนระอุขึ้นมา เนื่องจากผู้ใหญ่ใช้มุมมองของตนมาเป็นเกณฑ์วัด
แต่สำหรับจูหมิ่น อาจารย์ใหญ่จากโรงเรียนอนุบาลอีกแห่งกลับเห็นว่า การแยกห้องน้ำชายหญิงตั้งแต่ชั้นอนุบาลจะเป็นการเพาะบ่มสำนึกในการปกป้องตนเอง และรู้จักเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้อื่นให้แก่เยาวชนตัวน้อยแต่เด็ก
อย่างไรก็ตาม โรงเรียนอนุบาลที่จัดทำห้องน้ำแยกชายหญิงในปักกิ่งก็มีให้เห็นบ้าง เช่นร.ร.อนุบาลสาธิต 21 เซ็นจูรี่ ที่นอกจากแยกชายหญิงแล้ว ยังแยกเด็กเล็กและเด็กโตด้วย โดยดูจากสัญลักษณ์ที่แสดง หากเป็นห้องน้ำสำหรับเด็กเล็กสัญลักษณ์จะเป็นการ์ตูน ส่วนห้องน้ำสำหรับเด็กโตจะใช้สัญลักษณ์เช่นเดียวกันห้องน้ำของผู้ใหญ่
ถึงกระนั้น การจัดห้องน้ำแยกชายหญิงอย่างชัดเจนยังทำได้ยาก ร.ร.อนุบาลส่วนใหญ่ที่เห็นความสำคัญในเรื่องความเป็นส่วนตัวนี้ จึงมักใช้วิธีการต่างๆ มาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ร.ร.อนุบาลแห่งหนึ่งในเขตเฟิงไถ ได้ใช้ผนังเตี้ยๆ มากั้นพอที่เด็กๆ จะไม่สามารถสอดส่องกันและกันได้ แต่คุณครูยังสามารถดูแลได้อยู่
ด้านร.ร.อนุบาลสาธิตมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง นอกจากกั้นผนังแล้วยังติดบานประตูเล็กที่มีความสูงพอเหมาะ ที่เด็กนักเรียนสามารถทำธุระส่วนตัวได้อย่างสบายใจ แต่ร.ร.บางแห่งคุณครูจะจัดกลุ่มเด็กชายเข้าห้องน้ำคนละเวลากับกลุ่มเด็กหญิง
หัวข้อถกเถียงที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กับการแยกหรือไม่แยกห้องน้ำเด็กชายหญิงในร.ร.อนุบาล คือข้อถกเถียงที่ว่า ควรเริ่มให้ความรู้เพศศึกษาแก่เด็กตั้งแต่ยังเล็กหรือไม่
ผู้ปกครองจำนวนมากเห็นว่าควรแยกห้องน้ำเป็นสัดส่วนตั้งแต่ชั้นอนุบาล เพราะจะช่วยให้เด็กรู้จักแยกแยะเพศตั้งแต่ยังเด็ก เป็นการค่อยๆ ให้เด็กเรียนรู้ว่าร่างกายของชายและหญิงต่างกัน
คุณครูไช่แห่งศูนย์วิจัยการศึกษาอนุบาลประจำเมืองปักกิ่ง กล่าวว่า จากการทดสอบพบว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 3 ขวบไม่มีปฏิกิริยาใดๆ กับการเข้าห้องน้ำร่วมกับเด็กเพศตรงข้าม แต่เมื่อถึงวัยราว 6 ขวบ เด็กจะเริ่มเข้าใจ และจะเป็นธรรมชาติว่าเมื่อมีเด็กนักเรียนอยู่ในห้องน้ำ เด็กนักเรียนชายจะยังไม่เข้าไป
คุณครูไช่ย้ำว่า เด็กในยุคมิลลิเนียมรับรู้เรื่องเพศเร็วขึ้น ดังนั้นการแยกห้องน้ำจึงเป็นการให้ความรู้เบื้องต้นแก่เด็กในเรื่องเพศศึกษา
อย่างไรก็ตาม บางส่วนยังเห็นว่าการแยกห้องน้ำชายหญิงในระดับอนุบาลไม่ใช่ปัญหาสำคัญ เพราะหากจัดแยกจะยิ่งทำให้เด็กมีความรู้สึกไวต่อเรื่องเพศ หลี่เหวย จากสำนักวิจัยเยาวชน บัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์แห่งชาติจีน ให้ความเห็นว่า “สำหรับปัญหาเพศศึกษาในเด็ก การทำความเข้าใจสำคัญกว่าการป้องกัน ต้องให้เด็กๆเข้าใจว่าเพศหญิงและชายมีความต่างกัน แต่ไม่จำเป็นต้องนำมาพูดในชั้นเรียน”
นอกจากนี้ ผู้ปกครองบางส่วนยังไม่เห็นด้วยที่จะแยกห้องน้ำชายหญิงตั้งแต่ระดับอนุบาล เพราะเห็นว่า เด็กยังเล็กไร้เดียงสา ยังไม่คำนึงถึงความแตกต่างระหว่าง 2 เพศ “แม้เด็กจะรู้ว่าชายและหญิงมีความต่างกัน แต่อยู่ในภาวะที่คลุมเครือไม่ชัดเจน หากอยู่ดีๆ เราไปแยกห้องน้ำ ยิ่งจะทำให้เด็กๆ อยากรู้อยากเห็น จนอาจเกิดผลในทางลบแก่เด็ก” .
เรียบเรียงจาก ไชน่านิวส์ และซินหัวเน็ต