ตอนที่แล้วผมเล่าเรื่องหนังสือ ‘นิราศตังเกี๋ย’ ไปถึงตอนที่นายแวว (ซึ่งต่อมามีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงนรเนติบัญชากิจ) เดินทางไปถึงฮ่องกง
ที่ฮ่องกงนี่ เป็นเมืองท่าใหญ่โตอันดับสองของโลกในยุคนั้น (พ.ศ.2430) ผู้คนที่ฮ่องกงค้าขายเก่งมานับแต่สมัยนู้นแล้ว คนไทย(สยาม) ไปให้คนฮ่องกงเขาเชือด (ทางการค้าขาย) มานักต่อนัก จนเขามีคำพูดล้อว่า “ตือเซียม-หมูสยาม”
ยุค “นายแวว” เมื่อร้อยยี่สิบปีที่แล้ว พ่อค้าฮ่องกงก็เก่งกาจ เห็นคณะข้าราชการไทยปุ๊บก็รู้ว่าเป็นชาวสยาม ทั้งๆ ที่คณะข้าราชการเหล่านั้นก็แต่งกายแบบสากล นายแววเล่าไว้ว่า
“แถวถนนกวินซลิศสนิทเนตรกว่าประเทศข้างหลังเมืองตังเกี๋ย
ทั้งหอห้างใหญ่ดีมีเฮียนั่งคลอเคลียเชิญซื้อว่าลื้อไทย
สารพัดที่จะมีดีดีเหลือล้วนพวกเสือกินทรัพย์นับไม่ไหว
เราก็นุ่งกุงเกงไม่เกรงใครเอาทำไมเจ๊กมาร้องว่าเซียม”
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเมืองท่าสากล คือโสเภณี
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญ ก็มีแหล่ง “รับชำเราบุรุษ” ขึ้นชื่อลือนามอยู่เหมือนกัน
ที่ฮ่องกงนั้น นาวแววเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปจนเจอดีเข้า ท่านเล่าไว้ว่า
“คืนวันหนึ่งเดินไปในวิถีเห็นผู้ดีรูปร่างเหมือนนางสวรรค์
อยู่บนตึกสูงลอยแช่มช้อยครันถึงสามชั้นร้องเชิญเกินผู้ดี
นึกละอายนี่เขาขายอะไรหนอไม่เห็นห่อกล้วยส้มขนมอี๋
หรือเกาเหลาเตาไฟก็ไม่มีนั่งเก้าอี้โคมสว่างหน้าต่างพับ
เป็นฝรั่งทั้งญี่ปุ่นดรุณภาพเหมือนมีลาภห่อเข้ามาเคล้ากับ
แต่ยั้งใจไม่ประสาขัดตาทัพพยักรับที่เขาเชิญแล้วเมินไป”
ต่อจากนั้น นวยแววเขียนวิจารณ์เรื่องโสเภณีไว้อีกพอสมควร แต่จะขอตัดข้ามไปถึงเที่ยวขากลับจากฮ่องกงเลย
คณะข้าราชการไทยลงเรือกลไฟชื่อ “เทวะวงศ์” กลับกรุงเทพ โดยต้องเดินทางไปซัวเถาก่อน แล้ววกกลับสิงคโปร์ แล้วจึงเข้ากรุงเทพ
วรรณคดีให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ได้ด้วยนะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าในสมัยนั้นสยามมีเรือกลไฟเดินทะเลสากลใช้ชื่อไทยชัดเจน
“ได้ดูเล่นเป็นสุขสนุกสนานกินอาหารโฮเต็ลเกือบเป็นถัง
แล้วออกจากที่พักนัครังลงบัลลังก์เรือเมล์ชื่อเทวะวงศ์”
เรือกลไฟวิ่งจากฮ่องกงคืนเดียวก็ถึงซัวเถา คณะข้าราชการไทยได้ลงไปเดินเที่ยวแถวๆ ท่าเรือ ไม่ได้เข้าไปลึกๆ เพราะเขาบอกกันว่า ที่นั่น “พาลชุม” ดีไม่ดีจะถูกปล้นฆ่าหมกหลุมเลยทีเดียว
“ที่ปากน้ำมีเกาะดูเหมาะเหม็งสร้างตึกเก๋งป้อมหอก่อถนน
ตลิ่งล้วนเขาโล่งโปร่งตำบลแต่ผู้คนเงียบสงัดทัศนา
กับป้อมเดินตามฝั่งต้องสังเกตเพราะกินเนตรมีทหารการรักษา
ดูเรือเมล์เข้าน้อยถอยราคาได้ไปมามากลำก็สำเภา
มีตึกว่างสร้างใหม่ก็หลายหลังเหมือนพึ่งแต่งตัวเมืองซัวเถา
ได้แข็งใจขึ้นดูหมู่ลำเนาเพราะว่าเราแต่งฝรั่งไม่อย่างไทย
มีตึกร้านบ้านเจ๊กขายเล็กน้อยเครื่องใช้สอยหม้อกระถางกับอ่างไห
แต่ในเมืองเขาไม่อาจขี้ขลาดไปด้วยทราบในสันดาลว่าพาลชุม
กัปตันว่าไม่หยอกปอกเอาหมดมันถอดยศแก้พกแล้วหมกหลุม
ถ้าขืนไปก็จะต้องประคองกุมจะหมดหนุ่มเสียหน้าตาดีๆ”
พอรุ่งขึ้นเรือ “เทวะวงศ์” ออกจากท่ามุ่งไปสิงคโปร์ ผมก็ไม่รู้ว่าเรือนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด แต่นายแววเล่าว่า
มีคนโดยสารจากซัวเถาขึ้นเรือมาด้วยถึงเก้าร้อยคน เก้าร้อยคนนี่เป็นคนอพยพ ลองนึกดูสิว่า อพยพกันลำเรือละเก้าร้อย สัปดาห์หนึ่งมีเรือกี่ลำ คนแต้จิ๋วที่อพยพมาอยู่สิงคโปร์และสยามมีมากจริงๆ
“แล้วก็ลงเรือเมล์เหมือนเคหาพอสุริยาแจ่มแจ้งขึ้นแสงสว่าง
ออกกำปั่นลั่นไกไขดังกรางตั้งเข็มวางสิงคโปร์สุโขจริง
มีเจ๊กเมืองซัวเถามาเก้าร้อยแน่นไม่น้อยเต็มที่เหมือนผีสิง
ทั้งท้องเรือดาดฟ้าหน้าเหมือนลิงบ้างตีชิงตุ๊ยกันทุกวันไป”
คนจีนจากซัวเถาเก้าร้อยคนนั้นขุนนางไทยว่าหน้าเหมือนลิง เพราะคนอพยพเหล่านั้นเป็นคนยากไร้ ถือเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้า คนเราถ้าไม่ทุกข์ยากลำบากถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครอยากจะจากมาตุภูมิไปอาศัยอยู่แดนอื่นหรอกครับ
คนจีนเก้าร้อยคนนั้น แออัดยัดเยียดอยู่ในเรือถึงหกวันจึงถึงสิงคโปร์ เมื่อถึงสิงคโปร์ได้ลงจากเรือไปหกร้อย เข้าใจว่าไปทำงานเป็นจับกัง เหลือเดินทางมาสยามเพียงสามร้อยคน
“ถึงหน้าเมืองสิงคโปร์โกลาหล มีผู้คนเรือแพแลสล้าง
ทอดสมอรอไฟไขระวางชักธงหางคลี่หยอยห้อยบันได
แต่ทอดอยู่ห่างฝั่งเพราะยั้งยับเข้าถ่ายรับสินค้าอัชฌาสัย
กับปล่อยจีนจับกังขึ้นฝั่งไปเข้าเมืองไทยสามร้อยจึงน้อยลง”
ที่ฮ่องกงนี่ เป็นเมืองท่าใหญ่โตอันดับสองของโลกในยุคนั้น (พ.ศ.2430) ผู้คนที่ฮ่องกงค้าขายเก่งมานับแต่สมัยนู้นแล้ว คนไทย(สยาม) ไปให้คนฮ่องกงเขาเชือด (ทางการค้าขาย) มานักต่อนัก จนเขามีคำพูดล้อว่า “ตือเซียม-หมูสยาม”
ยุค “นายแวว” เมื่อร้อยยี่สิบปีที่แล้ว พ่อค้าฮ่องกงก็เก่งกาจ เห็นคณะข้าราชการไทยปุ๊บก็รู้ว่าเป็นชาวสยาม ทั้งๆ ที่คณะข้าราชการเหล่านั้นก็แต่งกายแบบสากล นายแววเล่าไว้ว่า
“แถวถนนกวินซลิศสนิทเนตรกว่าประเทศข้างหลังเมืองตังเกี๋ย
ทั้งหอห้างใหญ่ดีมีเฮียนั่งคลอเคลียเชิญซื้อว่าลื้อไทย
สารพัดที่จะมีดีดีเหลือล้วนพวกเสือกินทรัพย์นับไม่ไหว
เราก็นุ่งกุงเกงไม่เกรงใครเอาทำไมเจ๊กมาร้องว่าเซียม”
สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเมืองท่าสากล คือโสเภณี
สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นเมืองท่าสำคัญ ก็มีแหล่ง “รับชำเราบุรุษ” ขึ้นชื่อลือนามอยู่เหมือนกัน
ที่ฮ่องกงนั้น นาวแววเดินเล่นเรื่อยเปื่อยไปจนเจอดีเข้า ท่านเล่าไว้ว่า
“คืนวันหนึ่งเดินไปในวิถีเห็นผู้ดีรูปร่างเหมือนนางสวรรค์
อยู่บนตึกสูงลอยแช่มช้อยครันถึงสามชั้นร้องเชิญเกินผู้ดี
นึกละอายนี่เขาขายอะไรหนอไม่เห็นห่อกล้วยส้มขนมอี๋
หรือเกาเหลาเตาไฟก็ไม่มีนั่งเก้าอี้โคมสว่างหน้าต่างพับ
เป็นฝรั่งทั้งญี่ปุ่นดรุณภาพเหมือนมีลาภห่อเข้ามาเคล้ากับ
แต่ยั้งใจไม่ประสาขัดตาทัพพยักรับที่เขาเชิญแล้วเมินไป”
ต่อจากนั้น นวยแววเขียนวิจารณ์เรื่องโสเภณีไว้อีกพอสมควร แต่จะขอตัดข้ามไปถึงเที่ยวขากลับจากฮ่องกงเลย
คณะข้าราชการไทยลงเรือกลไฟชื่อ “เทวะวงศ์” กลับกรุงเทพ โดยต้องเดินทางไปซัวเถาก่อน แล้ววกกลับสิงคโปร์ แล้วจึงเข้ากรุงเทพ
วรรณคดีให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ได้ด้วยนะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าในสมัยนั้นสยามมีเรือกลไฟเดินทะเลสากลใช้ชื่อไทยชัดเจน
“ได้ดูเล่นเป็นสุขสนุกสนานกินอาหารโฮเต็ลเกือบเป็นถัง
แล้วออกจากที่พักนัครังลงบัลลังก์เรือเมล์ชื่อเทวะวงศ์”
เรือกลไฟวิ่งจากฮ่องกงคืนเดียวก็ถึงซัวเถา คณะข้าราชการไทยได้ลงไปเดินเที่ยวแถวๆ ท่าเรือ ไม่ได้เข้าไปลึกๆ เพราะเขาบอกกันว่า ที่นั่น “พาลชุม” ดีไม่ดีจะถูกปล้นฆ่าหมกหลุมเลยทีเดียว
“ที่ปากน้ำมีเกาะดูเหมาะเหม็งสร้างตึกเก๋งป้อมหอก่อถนน
ตลิ่งล้วนเขาโล่งโปร่งตำบลแต่ผู้คนเงียบสงัดทัศนา
กับป้อมเดินตามฝั่งต้องสังเกตเพราะกินเนตรมีทหารการรักษา
ดูเรือเมล์เข้าน้อยถอยราคาได้ไปมามากลำก็สำเภา
มีตึกว่างสร้างใหม่ก็หลายหลังเหมือนพึ่งแต่งตัวเมืองซัวเถา
ได้แข็งใจขึ้นดูหมู่ลำเนาเพราะว่าเราแต่งฝรั่งไม่อย่างไทย
มีตึกร้านบ้านเจ๊กขายเล็กน้อยเครื่องใช้สอยหม้อกระถางกับอ่างไห
แต่ในเมืองเขาไม่อาจขี้ขลาดไปด้วยทราบในสันดาลว่าพาลชุม
กัปตันว่าไม่หยอกปอกเอาหมดมันถอดยศแก้พกแล้วหมกหลุม
ถ้าขืนไปก็จะต้องประคองกุมจะหมดหนุ่มเสียหน้าตาดีๆ”
พอรุ่งขึ้นเรือ “เทวะวงศ์” ออกจากท่ามุ่งไปสิงคโปร์ ผมก็ไม่รู้ว่าเรือนี้มีขนาดใหญ่เพียงใด แต่นายแววเล่าว่า
มีคนโดยสารจากซัวเถาขึ้นเรือมาด้วยถึงเก้าร้อยคน เก้าร้อยคนนี่เป็นคนอพยพ ลองนึกดูสิว่า อพยพกันลำเรือละเก้าร้อย สัปดาห์หนึ่งมีเรือกี่ลำ คนแต้จิ๋วที่อพยพมาอยู่สิงคโปร์และสยามมีมากจริงๆ
“แล้วก็ลงเรือเมล์เหมือนเคหาพอสุริยาแจ่มแจ้งขึ้นแสงสว่าง
ออกกำปั่นลั่นไกไขดังกรางตั้งเข็มวางสิงคโปร์สุโขจริง
มีเจ๊กเมืองซัวเถามาเก้าร้อยแน่นไม่น้อยเต็มที่เหมือนผีสิง
ทั้งท้องเรือดาดฟ้าหน้าเหมือนลิงบ้างตีชิงตุ๊ยกันทุกวันไป”
คนจีนจากซัวเถาเก้าร้อยคนนั้นขุนนางไทยว่าหน้าเหมือนลิง เพราะคนอพยพเหล่านั้นเป็นคนยากไร้ ถือเสื่อผืนหมอนใบไปตายเอาดาบหน้า คนเราถ้าไม่ทุกข์ยากลำบากถึงที่สุดแล้ว ก็ไม่มีใครอยากจะจากมาตุภูมิไปอาศัยอยู่แดนอื่นหรอกครับ
คนจีนเก้าร้อยคนนั้น แออัดยัดเยียดอยู่ในเรือถึงหกวันจึงถึงสิงคโปร์ เมื่อถึงสิงคโปร์ได้ลงจากเรือไปหกร้อย เข้าใจว่าไปทำงานเป็นจับกัง เหลือเดินทางมาสยามเพียงสามร้อยคน
“ถึงหน้าเมืองสิงคโปร์โกลาหล มีผู้คนเรือแพแลสล้าง
ทอดสมอรอไฟไขระวางชักธงหางคลี่หยอยห้อยบันได
แต่ทอดอยู่ห่างฝั่งเพราะยั้งยับเข้าถ่ายรับสินค้าอัชฌาสัย
กับปล่อยจีนจับกังขึ้นฝั่งไปเข้าเมืองไทยสามร้อยจึงน้อยลง”