นับแต่อดีตมา ความรักในสถานศึกษาถือเป็นความรักต้องห้ามที่พ่อแม่ไม่อวยพร สังคมไม่ยอมรับ แถมยังถูกประณามว่า “เสียเวลาเรียน” “บั่นทอนสุขภาพ” “ไม่มั่นคงไม่จริงจัง” “สิ้นเปลืองเงินทองพ่อแม่”.....สรุปแล้ว มีสารพัดเหตุผลที่ถูกหยิบยกมากั้นทางรักนักศึกษา
แต่แล้วในศตวรรษที่ 21 นี้เอง สังคมจีนเริ่มประนีประนอมมากขึ้น ถึงขนาดกฎหมายยังเป็นใจ กำหนดให้นักศึกษาที่มีอายุตามเกณฑ์สามารถแต่งงานได้ ขณะที่ความคิดความอ่านของผู้ปกครองยุคจรวดค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
จากการสัมภาษณ์ของนักข่าวพบว่า มีผู้ปกครองจำนวนมากไม่คัดค้านความรักในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยของลูก ขณะที่พ่อแม่ที่สนับสนุนให้ลูกๆ หาคู่ครองในรั้วอุดมศึกษานับวันยิ่งมีมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดูเผินๆ อาจเหมือนนิยายรักโรแมนติก แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะเหล่าคุณพ่อคุณแม่เริ่มพิจารณาถึงความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันมากขึ้นต่างหาก

เหตุผลข้อแรก – กังวลหลังลูกทำงานไม่มีเวลาหาแฟน
อาซี นักศึกษาชั้นปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยถงจี้ได้รับคำสั่งจากแม่ ให้พาแฟนสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อครึ่งปีก่อน นับตั้งแต่วันที่อาซีเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แม่ก็พร่ำโทรศัพท์ถามลูกชายว่า “มีแฟนหรือยัง” ซึ่งทุกครั้งอาซีก็จะตอบไปตามความเป็นจริงว่า “ไม่มี” แม่ฟังแล้วโล่งใจแต่ก็มิวายกำชับอีกว่า
“มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ไว้ศึกษาหาความรู้ ลูกอยู่ในวัยเรียน อย่าได้ริมีแฟน ตอนนี้การแข่งขันในสังคมสูงมาก เอาเวลาไปหาความรู้ใส่ตัวจะดีกว่า ตอนนี้มีแฟนไปก็เท่านั้น เรียนจบแล้ว ต่างคนก็มีชีวิตของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี”
แต่ทว่า การได้พบกับ อาเจี๋ย ลูกพี่ลูกน้องของอาซี ได้เปลี่ยนความคิดของคุณแม่ในที่สุด
ปีนี้อาเจี๋ยอายุได้ 28 ปี เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท ด้านคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่บริษัทไอทีข้ามชาติชื่อดังแห่งหนึ่ง แม่ของอาเจี๋ยทุกครั้งที่โทรศัพท์คุยกับลูกชาย ก็มักพยายามกระตุ้นในลูกหาแฟน แล้วแต่งงานเสียที
อันที่จริงตอนที่อาเจี๋ยเรียนปริญญาตรีอยู่นั้น เคยมีแฟนอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นที่บ้านมองว่า การมีแฟนอาจกระทบต่อการเรียนได้ ดังนั้น จึงบีบให้อาเจี๋ยเลิกกับแฟน
จนมาวันนี้ อาเจี๋ยไร้คนรู้ใจ ทุกวันตื่นเช้าไปทำงาน 8 โมงครึ่ง ทำล่วงเวลาจนถึง 2-3 ทุ่ม ถึงจะกลับบ้าน สุดสัปดาห์ก็มักมีงาน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน ในใจของอาเจี๋ยเริ่มสับสน บางทีเขารู้สึกว่า การหาแฟนเป็นภารกิจเร่งด่วน หากต้องผ่อนเรื่องงานลงบ้างก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป เขาก็รู้สึกว่า แรงแข่งขันในการทำงานนับวันจะยิ่งดุเดือดเลือดพล่านขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับงานจะดีกว่า
มาตอนนี้ แม่อาเจี๋ยเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ที่ตอนนั้นขัดขวางความรักของลูกชาย ทำให้อาเจี๋ยพลาดโอกาสทองที่ดีที่สุดในการมีความรัก ต่อมาเธอได้เล่าความคิดนี้ให้แม่ของอาซีฟัง ทำให้แม่อาซีคิดขึ้นได้ว่า หนุ่มสาวทุกวันนี้เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรัก หรือจะเป็นจริงอย่างที่สุภาษิตจีนสอนไว้ “ให้มีครอบครัวก่อน ค่อยมุเรื่องงาน”
จนเมื่อตรุษจีนที่ผ่านมา แม่บอกให้อาซีหาแฟนซักคนที่บุคลิกลักษณะดี รู้จักเอาใจคน ส่วนเรื่องอื่นๆ แค่ลูกชายพอใจเป็นพอ คำสั่งใหม่ทำเอาอาซีหัวใจพองโต และเขาก็ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง หลังจากเปิดเทอม อาซีเริ่มตามจีบสาวที่เขาหลงรักมานาน ไม่นานทั้งคู่ก็ตกลงคบกัน
อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์ของนักข่าวครั้งนี้ พบว่า คนที่มักกังวลเรื่องความรักของลูกๆ จะเป็นคุณแม่เสียมากกว่าคุณพ่อ อย่างเช่นแม่ของอาซีที่เล่าว่า “ใครว่าลูกมีความรักในวัยเรียนสิ้นเปลือง ฉันว่าเป็นช่วงที่ประหยัดที่สุดต่างหาก หลังจากทำงานแล้วค่อยมีแฟน ยิ่งจะสิ้นเปลืองหนักยิ่งกว่า”
เหตุผลข้อสอง – ความรักทำให้เป็นผู้ใหญ่
เสี่ยวซิน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 เอกบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยหัวซื่อ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอมีแฟน ต่อมาพ่อของเธอที่เป็นเจ้าของธุรกิจพูดกับเธอว่า “เด็กผู้หญิงจะโตเป็นสาว ก็ด้วยมีความรักเท่านั้น พ่อเห็นด้วยที่ลูกมีแฟน แต่ต้องจำไว้ว่า อย่าทุ่มเทความรักมากจนถึงขั้นแขวนคอตาย อายุลูกยังน้อย ท้ายที่สุดหากไม่ได้อยู่กับอีกฝ่ายก็ไม่เป็นไร ถือว่าแลกกับการทำให้เราเติบโตขึ้น การพ่ายแพ้ทำให้ลูกเข้าใจว่า อะไรคือความรัก ทำให้ลูกรู้ว่าที่จริงชอบผู้ชายแบบไหน”

เหตุผลข้อที่สาม - ในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยทรัพยากรบุคคลระดับคุณภาพ
ลูกของคุณนายเหลียงและคุณนายเหยียน ล้วนกำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 เอกวารสาร วิทยาลัยกว่างตงซาง คุณแม่ทั้งสองล้วนเป็นสมาชิกสมาคมหนุนลูกมีรัก
เหตุผลที่เธอสนับสนุนลูกนั้นคล้ายๆ กัน “ตอนที่เรียนไม่แสวงหา รอจนทำงานแล้ว แผนกที่ทำงานจะมีคนสักกี่คน ขอบเขตในการรู้จักคนก็แคบ แต่ในสถานศึกษาไม่เหมือนกัน พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน คุยภาษาเดียวกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ตาม แต่ก็ยังคบกันเป็นเพื่อนได้ ไม่มีอะไรเสียหาย”
“นอกจากนั้น เด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ล้วนมีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ดี พวกเรารู้สึกวางใจ” คุณนายเหลียงคิดว่า “หากคิดจะคบกันในช่วงทำงาน ต้องเสียเวลา เงินทอง และแรงกายมาก แต่ในมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน เด็กๆ สามารถสืบเรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว”
เหตุผลข้อที่สี่ – พ่อแม่มีประสบการณ์จึงสนับสนุนลูก
เฟยเฟยเป็นคนตงเป่ย หน้าร้อนปีที่แล้ว เธอกับแฟนหนุ่มจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ปัจจุบัน ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในปักกิ่ง แฟนของเธอเป็นรุ่นพี่เรียนปริญญาโท มาจากหูหนัน ตอนนี้ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง เขาทั้งสองจัดงานแต่งงานไปเมื่อช่วงวันหยุดยาววันแรงงานที่ผ่านมา บุพเพสันนิวาสของสองหนุ่มสาวคู่นี้ หนีไม่พ้นมาจากการสนับสนุนของพ่อแม่
เฟยเฟยเล่าให้นักข่าวฟังว่า “พ่อแม่ของฉันเป็นเพื่อนเรียนกันสมัยมัธยม พ่อฉันมักเล่าให้ฟังถึงเรื่องสมัยตอนเป็นเด็ก ในตอนนั้น พ่อและแม่รักกัน แต่เพราะแม่เรียนจบต้องกลับไปอยู่ทางใต้ รอจนหลายปีผ่านไป แม่ฉันลำบากลำบนกว่าจะหางานแถวตะวันออกเฉียงเหนือได้ ถึงแม้ว่าจะผ่านมรสุมความรักมามากมาย แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เสียใจ และคิดว่าความรักในครั้งนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์ดังนั้น พอฉันเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจึงสนับสนุนให้ฉันหา “เจ้าชาย” ของตัวเอง
เหตุผลข้อสุดท้าย – หวังว่าลูกจะมีเพื่อนไปเรียนต่างประเทศ
“กระแสศึกษาต่อนอก” เป็นสาเหตุสำคัญที่พ่อแม่ของนักเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหนุนให้ลูกหาคู่ในมหาวิทยาลัย ตามที่นักข่าวสืบทราบมา สถาบันการศึกษาระดับสูงอย่าง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชิงหัว มีคู่รักหลายคู่เตรียมตัวไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ในจำนวนนี้มีจำนวนไม่น้อยที่เป็น “ความรักตามบัญชา” ดังเช่นคู่ของเสี่ยวซานและอาหย่งก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ทั้งสองคนได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกันที่สหรัฐอเมริกา
เสี่ยวซานเล่าว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจคบกันนั้น พ่อแม่มักจะเป็นห่วงว่าฉันเป็นผู้หญิงไปเรียนต่างประเทศคนเดียวจะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีคนดูแล ดังนั้นจึงพยายามพร่ำบอกให้ฉันหาแฟนที่อนาคตจะไปเรียนต่อสหรัฐฯ เหมือนกัน ต่อมา ฉันถึงได้รู้ว่า พ่อแม่ของอาหย่งก็เคยพูดแบบนี้กับเขาเหมือนกัน
เรียบเรียงจาก : ซิน่าเน็ต
แต่แล้วในศตวรรษที่ 21 นี้เอง สังคมจีนเริ่มประนีประนอมมากขึ้น ถึงขนาดกฎหมายยังเป็นใจ กำหนดให้นักศึกษาที่มีอายุตามเกณฑ์สามารถแต่งงานได้ ขณะที่ความคิดความอ่านของผู้ปกครองยุคจรวดค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
จากการสัมภาษณ์ของนักข่าวพบว่า มีผู้ปกครองจำนวนมากไม่คัดค้านความรักในระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยของลูก ขณะที่พ่อแม่ที่สนับสนุนให้ลูกๆ หาคู่ครองในรั้วอุดมศึกษานับวันยิ่งมีมากขึ้น ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวดูเผินๆ อาจเหมือนนิยายรักโรแมนติก แต่ในความเป็นจริงเป็นเพราะเหล่าคุณพ่อคุณแม่เริ่มพิจารณาถึงความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันมากขึ้นต่างหาก
เหตุผลข้อแรก – กังวลหลังลูกทำงานไม่มีเวลาหาแฟน
อาซี นักศึกษาชั้นปี 3 คณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยถงจี้ได้รับคำสั่งจากแม่ ให้พาแฟนสาวกลับมาเยี่ยมบ้านเกิด ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เมื่อครึ่งปีก่อน นับตั้งแต่วันที่อาซีเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย แม่ก็พร่ำโทรศัพท์ถามลูกชายว่า “มีแฟนหรือยัง” ซึ่งทุกครั้งอาซีก็จะตอบไปตามความเป็นจริงว่า “ไม่มี” แม่ฟังแล้วโล่งใจแต่ก็มิวายกำชับอีกว่า
“มหาวิทยาลัยเป็นสถานที่ไว้ศึกษาหาความรู้ ลูกอยู่ในวัยเรียน อย่าได้ริมีแฟน ตอนนี้การแข่งขันในสังคมสูงมาก เอาเวลาไปหาความรู้ใส่ตัวจะดีกว่า ตอนนี้มีแฟนไปก็เท่านั้น เรียนจบแล้ว ต่างคนก็มีชีวิตของตัวเอง สุดท้ายก็ต้องแยกทางกันอยู่ดี”
แต่ทว่า การได้พบกับ อาเจี๋ย ลูกพี่ลูกน้องของอาซี ได้เปลี่ยนความคิดของคุณแม่ในที่สุด
ปีนี้อาเจี๋ยอายุได้ 28 ปี เป็นนักศึกษาระดับปริญญาโท ด้านคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันทำงานอยู่ที่บริษัทไอทีข้ามชาติชื่อดังแห่งหนึ่ง แม่ของอาเจี๋ยทุกครั้งที่โทรศัพท์คุยกับลูกชาย ก็มักพยายามกระตุ้นในลูกหาแฟน แล้วแต่งงานเสียที
อันที่จริงตอนที่อาเจี๋ยเรียนปริญญาตรีอยู่นั้น เคยมีแฟนอยู่คนหนึ่ง ตอนนั้นที่บ้านมองว่า การมีแฟนอาจกระทบต่อการเรียนได้ ดังนั้น จึงบีบให้อาเจี๋ยเลิกกับแฟน
จนมาวันนี้ อาเจี๋ยไร้คนรู้ใจ ทุกวันตื่นเช้าไปทำงาน 8 โมงครึ่ง ทำล่วงเวลาจนถึง 2-3 ทุ่ม ถึงจะกลับบ้าน สุดสัปดาห์ก็มักมีงาน จะเอาเวลาที่ไหนไปหาแฟน ในใจของอาเจี๋ยเริ่มสับสน บางทีเขารู้สึกว่า การหาแฟนเป็นภารกิจเร่งด่วน หากต้องผ่อนเรื่องงานลงบ้างก็ถือว่าคุ้มค่า แต่ยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป เขาก็รู้สึกว่า แรงแข่งขันในการทำงานนับวันจะยิ่งดุเดือดเลือดพล่านขึ้นเรื่อยๆ สมควรที่จะเอาเวลาไปทุ่มเทให้กับงานจะดีกว่า
มาตอนนี้ แม่อาเจี๋ยเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมาแล้ว ที่ตอนนั้นขัดขวางความรักของลูกชาย ทำให้อาเจี๋ยพลาดโอกาสทองที่ดีที่สุดในการมีความรัก ต่อมาเธอได้เล่าความคิดนี้ให้แม่ของอาซีฟัง ทำให้แม่อาซีคิดขึ้นได้ว่า หนุ่มสาวทุกวันนี้เอาแต่ทำงาน ไม่มีเวลาสนใจเรื่องความรัก หรือจะเป็นจริงอย่างที่สุภาษิตจีนสอนไว้ “ให้มีครอบครัวก่อน ค่อยมุเรื่องงาน”
จนเมื่อตรุษจีนที่ผ่านมา แม่บอกให้อาซีหาแฟนซักคนที่บุคลิกลักษณะดี รู้จักเอาใจคน ส่วนเรื่องอื่นๆ แค่ลูกชายพอใจเป็นพอ คำสั่งใหม่ทำเอาอาซีหัวใจพองโต และเขาก็ไม่ทำให้แม่ต้องผิดหวัง หลังจากเปิดเทอม อาซีเริ่มตามจีบสาวที่เขาหลงรักมานาน ไม่นานทั้งคู่ก็ตกลงคบกัน
อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์ของนักข่าวครั้งนี้ พบว่า คนที่มักกังวลเรื่องความรักของลูกๆ จะเป็นคุณแม่เสียมากกว่าคุณพ่อ อย่างเช่นแม่ของอาซีที่เล่าว่า “ใครว่าลูกมีความรักในวัยเรียนสิ้นเปลือง ฉันว่าเป็นช่วงที่ประหยัดที่สุดต่างหาก หลังจากทำงานแล้วค่อยมีแฟน ยิ่งจะสิ้นเปลืองหนักยิ่งกว่า”
เหตุผลข้อสอง – ความรักทำให้เป็นผู้ใหญ่
เสี่ยวซิน นักศึกษาชั้นปีที่ 3 เอกบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยหัวซื่อ เมื่อเร็วๆ นี้ เธอมีแฟน ต่อมาพ่อของเธอที่เป็นเจ้าของธุรกิจพูดกับเธอว่า “เด็กผู้หญิงจะโตเป็นสาว ก็ด้วยมีความรักเท่านั้น พ่อเห็นด้วยที่ลูกมีแฟน แต่ต้องจำไว้ว่า อย่าทุ่มเทความรักมากจนถึงขั้นแขวนคอตาย อายุลูกยังน้อย ท้ายที่สุดหากไม่ได้อยู่กับอีกฝ่ายก็ไม่เป็นไร ถือว่าแลกกับการทำให้เราเติบโตขึ้น การพ่ายแพ้ทำให้ลูกเข้าใจว่า อะไรคือความรัก ทำให้ลูกรู้ว่าที่จริงชอบผู้ชายแบบไหน”
เหตุผลข้อที่สาม - ในมหาวิทยาลัยเต็มไปด้วยทรัพยากรบุคคลระดับคุณภาพ
ลูกของคุณนายเหลียงและคุณนายเหยียน ล้วนกำลังศึกษาชั้นปีที่ 3 เอกวารสาร วิทยาลัยกว่างตงซาง คุณแม่ทั้งสองล้วนเป็นสมาชิกสมาคมหนุนลูกมีรัก
เหตุผลที่เธอสนับสนุนลูกนั้นคล้ายๆ กัน “ตอนที่เรียนไม่แสวงหา รอจนทำงานแล้ว แผนกที่ทำงานจะมีคนสักกี่คน ขอบเขตในการรู้จักคนก็แคบ แต่ในสถานศึกษาไม่เหมือนกัน พวกเขาอายุไล่เลี่ยกัน คุยภาษาเดียวกัน ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะไม่ได้เป็นแฟนกันก็ตาม แต่ก็ยังคบกันเป็นเพื่อนได้ ไม่มีอะไรเสียหาย”
“นอกจากนั้น เด็กที่สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ล้วนมีคุณสมบัติอยู่ในเกณฑ์ดี พวกเรารู้สึกวางใจ” คุณนายเหลียงคิดว่า “หากคิดจะคบกันในช่วงทำงาน ต้องเสียเวลา เงินทอง และแรงกายมาก แต่ในมหาวิทยาลัยไม่เหมือนกัน เด็กๆ สามารถสืบเรื่องของอีกฝ่ายหนึ่งได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ๋ว”
เหตุผลข้อที่สี่ – พ่อแม่มีประสบการณ์จึงสนับสนุนลูก
เฟยเฟยเป็นคนตงเป่ย หน้าร้อนปีที่แล้ว เธอกับแฟนหนุ่มจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ปัจจุบัน ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในปักกิ่ง แฟนของเธอเป็นรุ่นพี่เรียนปริญญาโท มาจากหูหนัน ตอนนี้ทำงานอยู่ที่สถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง เขาทั้งสองจัดงานแต่งงานไปเมื่อช่วงวันหยุดยาววันแรงงานที่ผ่านมา บุพเพสันนิวาสของสองหนุ่มสาวคู่นี้ หนีไม่พ้นมาจากการสนับสนุนของพ่อแม่
เฟยเฟยเล่าให้นักข่าวฟังว่า “พ่อแม่ของฉันเป็นเพื่อนเรียนกันสมัยมัธยม พ่อฉันมักเล่าให้ฟังถึงเรื่องสมัยตอนเป็นเด็ก ในตอนนั้น พ่อและแม่รักกัน แต่เพราะแม่เรียนจบต้องกลับไปอยู่ทางใต้ รอจนหลายปีผ่านไป แม่ฉันลำบากลำบนกว่าจะหางานแถวตะวันออกเฉียงเหนือได้ ถึงแม้ว่าจะผ่านมรสุมความรักมามากมาย แต่พ่อกับแม่ก็ไม่เสียใจ และคิดว่าความรักในครั้งนั้นเป็นรักที่บริสุทธิ์ดังนั้น พอฉันเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาจึงสนับสนุนให้ฉันหา “เจ้าชาย” ของตัวเอง
เหตุผลข้อสุดท้าย – หวังว่าลูกจะมีเพื่อนไปเรียนต่างประเทศ
“กระแสศึกษาต่อนอก” เป็นสาเหตุสำคัญที่พ่อแม่ของนักเรียนโรงเรียนที่มีชื่อเสียงหนุนให้ลูกหาคู่ในมหาวิทยาลัย ตามที่นักข่าวสืบทราบมา สถาบันการศึกษาระดับสูงอย่าง มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ชิงหัว มีคู่รักหลายคู่เตรียมตัวไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ ในจำนวนนี้มีจำนวนไม่น้อยที่เป็น “ความรักตามบัญชา” ดังเช่นคู่ของเสี่ยวซานและอาหย่งก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ทั้งสองคนได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยแห่งเดียวกันที่สหรัฐอเมริกา
เสี่ยวซานเล่าว่า ก่อนที่เราจะตัดสินใจคบกันนั้น พ่อแม่มักจะเป็นห่วงว่าฉันเป็นผู้หญิงไปเรียนต่างประเทศคนเดียวจะรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีคนดูแล ดังนั้นจึงพยายามพร่ำบอกให้ฉันหาแฟนที่อนาคตจะไปเรียนต่อสหรัฐฯ เหมือนกัน ต่อมา ฉันถึงได้รู้ว่า พ่อแม่ของอาหย่งก็เคยพูดแบบนี้กับเขาเหมือนกัน
เรียบเรียงจาก : ซิน่าเน็ต