บรรยากาศในมหาวิทยาลัยครุศาสตรบัณฑิตเซี่ยงไฮ้ (เอสเอชเอ็นยู) กำลังจะลดดีกรีการแต่งตัววาบหวิวลง เพราะเมื่อกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพิ่งมีกฎเหล็กห้ามอาจารย์หญิงนุ่งกระโปรงสั้นจู๋ ใส่เสื้อสายเดี่ยวแขนกุด และลากร้องเท้าแตะมาสอนโดยเด็ดขาด ส่วนนักเรียนก็ห้ามใส่เสื้อเปิดไหล่โชว์แขน ห้ามหลับสัปหงก และใช้โทรศัพท์มือถือระหว่างเรียนเช่นกัน ทั้งหลายทั้งปวงนี้ก็เพื่อสร้าง ‘มารยาทสมบัติผู้ดี’ ให้มีขึ้น

เฉียนเจี้ยนผิง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการสตรีแห่งเอสเอชเอ็นยู เล่าถึงที่มาที่ไปของกฎเหล็กนี้ว่า ทางการเซี่ยงไฮ้ได้จุดกระแสให้ผู้คน ‘เรียนรู้มารยาทสมบัติผู้ดี’ เพื่อเตรียมพร้อมการเป็นเจ้าภาพเซี่ยงไฮ้เวิร์ลเอ็กซ์โป 2010 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยควรร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังอารยธรรมที่ดีงามของสังคม และเข้าสู่กระบวนการ ‘วางตัวให้เหมาะสมกับวงการศึกษา’ ด้วย
ดังนั้น ทางคณะกรรมการสตรีฯ สมาคมพนักงานสตรี ศาสตราจารย์และอาจารย์หญิง จึงได้ร่วมกันจัดโครงการ ‘พฤติกรรมสีเขียวของเหล่าคณาจารย์หญิง’ ซึ่งมีข้อห้ามต่างๆ ถึง 10 ประการที่บ่งชี้ถึง ‘สมบัติผู้ดี’ ที่พึงมี
ไล่เรียงตั้งแต่ การเรียกร้องให้อาจารย์หญิงทั้งหลายไม่นุ่งกระโปรงมินิสเกิร์ต ไม่ใส่เสื้อสายเดี่ยวแขนกุด และลากร้องเท้าแตะมาสอนโดยเด็ดขาด เพื่อภาพลักษณ์ที่ภูมิฐานและดูดีมีระดับ ตลอดจนต้องมาให้ถึงห้องสอนก่อนเวลาเข้าเรียน พร้อมเริ่มสอนตรงเวลา ระหว่างสอนก็ห้ามใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
ถ้าหากคณาจารย์ท่านใดฝ่าฝืนทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นมาเข้าสอนสาย มัวแต่เล่นโทรศัพท์มือถือ หลับสัปหงก และนำขวดน้ำดื่มมาวางไว้บนโต๊ะ ฯลฯ ก็จะถูกสั่งระงับการสอนทันที
กฎ ‘สมบัติผู้ดี’ นี้ไม่เฉพาะใช้กับครูผู้สอนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มนักศึกษาด้วย โดยขอให้เข้าเรียนตรงเวลา ทำความเคารพอาจารย์ก่อนเริ่มเรียน ห้ามวางของว่างและขวดน้ำดื่มไว้บนโต๊ะ ห้ามใส่เสื้อผ้าโชว์หน้าอกและไหล่ รวมทั้งห้ามหลับสัปหงก และใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างเรียนเช่นกัน
ส่วนเสียงตอบรับของบรรดาบุคลากรในมหาวิทยาลัยนั้น เฉียนเจี้ยนผิงเล่าว่า มีอาจารย์ไม่น้อยคัดค้านหัวชนฝา แต่ขณะเดียวกันก็ได้รับเสียงสนับสนุนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็สมัครใจเข้าร่วมโครงการเอง จนถึงขณะนี้มีอาจารย์หญิงปฏิญาณเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 270 คน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอาจารย์ชายเข้าชื่อขอร่วมด้วยอีกกว่า 60 คน

อู๋เสียฉิน หนึ่งในอาจารย์หญิงที่เข้าร่วมโครงการเผยว่า ตนยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎข้อห้ามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดมาตรฐานที่ดีงามในหมู่คณาจารย์
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีอาจารย์หญิงในเอสเอชเอ็นยูกว่า 1,200คน มีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของบรรดาครูผู้สอนทั้งหมดในมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาจำนวนมากแสดงความไม่พอใจต่อกฎระเบียบดังกล่าว และต้องการจะเห็นอาจารย์ของตนเองมาสอนในชุดที่ทันสมัยมากกว่า
ขณะที่อาจารย์หญิงอีกท่านมีมุมมองที่น่าสนใจว่า “แม้การใส่กระโปรงสั้นและเสื้อแขนกุด จะสะท้อนความคึกคักมีชีวิตชีวาของอาจารย์หญิงรุ่นใหม่ แต่ความรู้ความสามารถ มารยาทและบุคลิกภาพที่ดีงาม เป็นปัจจัยที่สำคัญกว่า”
ล่าสุด เซี่ยงเจียเสียง รองอธิการบดีเอสเอชเอ็นยูออกมาย้ำว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ควร ‘วางตัวให้เหมาะสมกับการศึกษา’ จึงขอยึดหมั่นในกฎข้อห้ามดังกล่าว ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ห้ามแต่งกายไม่สุภาพเฉพาะเวลาสอนในห้องเรียนเท่านั้น ส่วนนอกเวลาสอน อาจารย์หญิงก็ยังสามารถแต่งตัวเซ็กซี่ได้ตามอัธยาศัย
ทว่ายังมีอีกหลายเสียงที่รู้สึกว่า กฎ ‘สมบัติผู้ดี’ นี้ ออกจะรุกล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอยู่ไม่น้อย และเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยแก้ไขปรับปรุง
แต่ด้านจางเล่อเทียน อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น กลับแสดงทัศนะว่า การห้ามอาจารย์หญิงนุ่งกระโปรงสั้นเข้าสอน มิได้หมายถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพแต่อย่างใด เนื่องจากทุกสาขาอาชีพล้วนมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งย่อมมีเงื่อนไขข้อจำกัดของแต่ละอาชีพแตกต่างกันไป
และในฐานะที่ครูบาอาจารย์ถูกขนานว่าเป็น ‘วิศวกรผู้วางรากฐานจิตวิญาณของมนุษยชาติ’ ย่อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามทั้งเชิงพฤติกรรมและความคิด พร้อมน้อมนำให้ลูกศิษย์รู้จักแสวงหาการยึดมั่นคุณธรรม.
เรียบเรียงจาก เซี่ยงไฮ้เดลี่ / ตงฟังเจ่าเป้า
เฉียนเจี้ยนผิง รองผู้อำนวยการคณะกรรมการสตรีแห่งเอสเอชเอ็นยู เล่าถึงที่มาที่ไปของกฎเหล็กนี้ว่า ทางการเซี่ยงไฮ้ได้จุดกระแสให้ผู้คน ‘เรียนรู้มารยาทสมบัติผู้ดี’ เพื่อเตรียมพร้อมการเป็นเจ้าภาพเซี่ยงไฮ้เวิร์ลเอ็กซ์โป 2010 ซึ่งทางมหาวิทยาลัยควรร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการปลูกฝังอารยธรรมที่ดีงามของสังคม และเข้าสู่กระบวนการ ‘วางตัวให้เหมาะสมกับวงการศึกษา’ ด้วย
ดังนั้น ทางคณะกรรมการสตรีฯ สมาคมพนักงานสตรี ศาสตราจารย์และอาจารย์หญิง จึงได้ร่วมกันจัดโครงการ ‘พฤติกรรมสีเขียวของเหล่าคณาจารย์หญิง’ ซึ่งมีข้อห้ามต่างๆ ถึง 10 ประการที่บ่งชี้ถึง ‘สมบัติผู้ดี’ ที่พึงมี
ไล่เรียงตั้งแต่ การเรียกร้องให้อาจารย์หญิงทั้งหลายไม่นุ่งกระโปรงมินิสเกิร์ต ไม่ใส่เสื้อสายเดี่ยวแขนกุด และลากร้องเท้าแตะมาสอนโดยเด็ดขาด เพื่อภาพลักษณ์ที่ภูมิฐานและดูดีมีระดับ ตลอดจนต้องมาให้ถึงห้องสอนก่อนเวลาเข้าเรียน พร้อมเริ่มสอนตรงเวลา ระหว่างสอนก็ห้ามใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่
ถ้าหากคณาจารย์ท่านใดฝ่าฝืนทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นมาเข้าสอนสาย มัวแต่เล่นโทรศัพท์มือถือ หลับสัปหงก และนำขวดน้ำดื่มมาวางไว้บนโต๊ะ ฯลฯ ก็จะถูกสั่งระงับการสอนทันที
กฎ ‘สมบัติผู้ดี’ นี้ไม่เฉพาะใช้กับครูผู้สอนเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงกลุ่มนักศึกษาด้วย โดยขอให้เข้าเรียนตรงเวลา ทำความเคารพอาจารย์ก่อนเริ่มเรียน ห้ามวางของว่างและขวดน้ำดื่มไว้บนโต๊ะ ห้ามใส่เสื้อผ้าโชว์หน้าอกและไหล่ รวมทั้งห้ามหลับสัปหงก และใช้โทรศัพท์มือถือในระหว่างเรียนเช่นกัน
ส่วนเสียงตอบรับของบรรดาบุคลากรในมหาวิทยาลัยนั้น เฉียนเจี้ยนผิงเล่าว่า มีอาจารย์ไม่น้อยคัดค้านหัวชนฝา แต่ขณะเดียวกันก็ได้รับเสียงสนับสนุนจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็สมัครใจเข้าร่วมโครงการเอง จนถึงขณะนี้มีอาจารย์หญิงปฏิญาณเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 270 คน ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอาจารย์ชายเข้าชื่อขอร่วมด้วยอีกกว่า 60 คน
อู๋เสียฉิน หนึ่งในอาจารย์หญิงที่เข้าร่วมโครงการเผยว่า ตนยินดีที่จะปฏิบัติตามกฎข้อห้ามอย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดมาตรฐานที่ดีงามในหมู่คณาจารย์
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีอาจารย์หญิงในเอสเอชเอ็นยูกว่า 1,200คน มีสัดส่วนเป็นครึ่งหนึ่งของบรรดาครูผู้สอนทั้งหมดในมหาวิทยาลัย
อย่างไรก็ตาม มีนักศึกษาจำนวนมากแสดงความไม่พอใจต่อกฎระเบียบดังกล่าว และต้องการจะเห็นอาจารย์ของตนเองมาสอนในชุดที่ทันสมัยมากกว่า
ขณะที่อาจารย์หญิงอีกท่านมีมุมมองที่น่าสนใจว่า “แม้การใส่กระโปรงสั้นและเสื้อแขนกุด จะสะท้อนความคึกคักมีชีวิตชีวาของอาจารย์หญิงรุ่นใหม่ แต่ความรู้ความสามารถ มารยาทและบุคลิกภาพที่ดีงาม เป็นปัจจัยที่สำคัญกว่า”
ล่าสุด เซี่ยงเจียเสียง รองอธิการบดีเอสเอชเอ็นยูออกมาย้ำว่า เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งที่ควร ‘วางตัวให้เหมาะสมกับการศึกษา’ จึงขอยึดหมั่นในกฎข้อห้ามดังกล่าว ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ห้ามแต่งกายไม่สุภาพเฉพาะเวลาสอนในห้องเรียนเท่านั้น ส่วนนอกเวลาสอน อาจารย์หญิงก็ยังสามารถแต่งตัวเซ็กซี่ได้ตามอัธยาศัย
ทว่ายังมีอีกหลายเสียงที่รู้สึกว่า กฎ ‘สมบัติผู้ดี’ นี้ ออกจะรุกล้ำสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลอยู่ไม่น้อย และเรียกร้องให้ทางมหาวิทยาลัยแก้ไขปรับปรุง
แต่ด้านจางเล่อเทียน อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยฟู่ตั้น กลับแสดงทัศนะว่า การห้ามอาจารย์หญิงนุ่งกระโปรงสั้นเข้าสอน มิได้หมายถึงการจำกัดสิทธิเสรีภาพแต่อย่างใด เนื่องจากทุกสาขาอาชีพล้วนมีบุคลิกลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งย่อมมีเงื่อนไขข้อจำกัดของแต่ละอาชีพแตกต่างกันไป
และในฐานะที่ครูบาอาจารย์ถูกขนานว่าเป็น ‘วิศวกรผู้วางรากฐานจิตวิญาณของมนุษยชาติ’ ย่อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีงามทั้งเชิงพฤติกรรมและความคิด พร้อมน้อมนำให้ลูกศิษย์รู้จักแสวงหาการยึดมั่นคุณธรรม.
เรียบเรียงจาก เซี่ยงไฮ้เดลี่ / ตงฟังเจ่าเป้า