xs
xsm
sm
md
lg

รู้จักหนุ่มว่าที่มหาบัณฑิต MBA ชิงหัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มองเผินๆ หนุ่มตี๋คนนี้หน้าตาคลับคล้าย กับดารา-พิธีกรชื่อดังนาม ดู๋-สัญญา คุณากร ......

ซึ่งจริงๆ แล้ว เขาก็มีความเกี่ยวพัน และมีวิถีชีวิตที่คลับคล้ายคลับคลา กับ ดู๋-สัญญา อยู่ไม่น้อย โดยนอกจากรูปร่างหน้าตาสูงโปร่งที่เหมือนกันแล้ว ทั้งสองคนยังจบการศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเหมือนกัน ทั้งยังมีความเกี่ยวพันกับวงการบันเทิงด้วยกันทั้งคู่

หากพูดถึงชื่อ 'เปี๊ยก' บุญชัย ใจลิ่ม หลายคนคงนึกไม่ออก แต่ถ้ากล่าวถึง 'หมอนรติ' คุณหมอชาวหนองคายผู้พยายามค้นหาความลับของบั้งไฟพญานาคใน '๑๕ ค่ำเดือน ๑๑' หนึ่งในภาพยนตร์ในดวงใจของใครหลายคนเมื่อหลายปีก่อน หลายคนคงต้องร้องอ๋อ!

วันนี้ หนุ่มคนนี้โบกมือลาจากตำแหน่ง ดารา-พิธีกร ในวงการบันเทิงหลายปีแล้ว โดยเขาหันมาใช้ชีวิตนักเรียนอยู่ที่กรุงปักกิ่ง ณ มหาวิทยาลัยชิงหัว (清华) สถาบันการศึกษาระดับหัวแถวสุดของจีน ปัจจุบัน เปี๊ยกศึกษาอยู่ในเทอมสุดท้ายของหลักสูตร International MBA (IMBA) ที่ระยะเวลาหลักสูตรนานสองปี

เราไปรู้จักชายหนุ่มอารมณ์ดีคนนี้กันว่า ชีวิตที่ผ่านมา ที่กำลังเป็นอยู่ และกำลังจะเป็นไปในประเทศจีนของเขาเป็นอย่างไร…

เปี๊ยก มีชื่อจีนแต้จิ๋วว่าหลิ่มบุ่งไช้ (林文才) เกิดครอบครัวจีนแต้จิ๋ว ซึ่งที่บ้านทำธุรกิจ หลังจากเรียนจบระดับปริญญาตรีทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี พ.ศ.2542 เปี๊ยกก็เดินไปตามเส้นทางชีวิตที่เขาเลือกเอง

"พอจบมาก็รู้แล้วว่าไม่อยากทำงานทางด้านสถาปัตย์ฯ เพราะ งานทางด้านสถาปัตย์นั้น มีรายละเอียดเยอะ เห็นผลช้า เป็นคนไม่ค่อยชอบรอ ก็เลยไปทำงานด้านเว็บดีไซน์กับรุ่นพี่ที่เปิดบริษัท"

อย่างไรก็ตาม ด้วยสายเลือดเด็กสถาปัตย์ จุฬาฯ อีกทั้งระหว่างชีวิต 5 ปีในรั้วมหาวิทยาลัย เปี๊ยกได้สะสมประสบการณ์ในการทำกิจกรรม และแสดงละครสถาปัตย์อันโด่งดังมาก่อน คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ ซึ่งแต่ไหนแต่ไรก็มาบ่มเพาะบุคลากรคุณภาพให้กับวงการบันเทิงไทยมามากมาย เมื่อทำงานได้สักพักก็มีรุ่นพี่สถาปัตย์มาชักชวนให้เขาก้าวเข้าสู่วงการบันเทิง แล้ววงการบันเทิงไทยก็มีเด็กสถาปัตย์ จุฬาฯ มาเพิ่มสีสันอีกคน

"พอทำงานได้สักพัก ก็มีรุ่นพี่มาเรียกให้ไปทำงานเป็นพิธีกรรายการ 7 กะรัต .... แต่พูดตามตรงเราก็ไม่ชอบ แม้รายได้ในวงการโทรทัศน์จะดีก็ตาม ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าไม่ค่อยมีความเป็นตัวของตัวเอง มีสคริปต์ให้เราอ่าน เขาสั่งให้เราทำอะไรก็ต้องทำ อาจด้วยว่าส่วนหนึ่งเรายังใหม่ ซึ่งเขาก็คงไม่ให้เรามาเป็นพิธีกรหลัก นอกจากนี้ เวลาไปทีก็ต้องไปรอนานกว่าจะถ่าย ...... ซึ่งเราก็รู้สึกหงุดหงิดกับตรงนั้น"

แต่งานพิธีกร ก็ไม่ได้เป็นงานที่ส่งให้เปี๊ยกเป็นที่รู้จักกันมากที่สุด เพราะงานที่ดูจะประสบความสำเร็จอย่างมากก็คือ งานแสดงภาพยนตร์เรื่อง ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ จากฝีมือกำกับของจิระ มะลิกุล โดยเปี๊ยกนั้นแสดงเป็น หมอนรติ นายแพทย์ผู้ต้องการจะค้นหาความลับของบั้งไฟพญานาค และเป็นตัวละครสำคัญตัวหนึ่งของเรื่อง

"สำหรับเรื่องนี้ ก็มีรุ่นพี่ติดต่อมาเช่นกัน ตอนแรกเราก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่พออ่านบทแล้วรู้สึกว่า เอ้ย! มันเจ๋งว่ะ ...... ชอบมาก ก็เลยตอบรับ แล้วก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยที่ได้เล่นหนังเรื่องนี้ แม้ในส่วนของรายได้จะไม่ได้ถล่มทลายอะไร เพราะเป็นหนังที่ดี ได้เจอทีมงานที่ดี อย่างเช่น โอ อนุชิต (พระเอกของเรื่อง) ก็ยังติดต่อ คุยเอ็มเอสเอ็น กันอยู่เรื่อยๆ ได้ไปสถานที่ดีๆ ได้ไปฝั่งลาว ระหว่างถ่ายก็ไปๆ กลับๆ หนองคาย-กรุงเทพฯ อยู่ 4 เดือน"

ทั้งนี้สำหรับ ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ นั้น ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จ เป็นอย่างมากของปี พ.ศ.2545 เนื่องจากได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากทั้งผู้ชม สื่อมวลชน และคนในแวดวง อย่างเช่น ในประกาศรางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิง 2545 นั้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๑ คว้าไป 8 จาก 11 รางวัล และถูกเลือกเป็นภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปี 2545 ด้วย

ในส่วนตัวเปี๊ยกหลังจากเสร็จจากงานแสดงภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว เขาก็กลับมาช่วยงานธุรกิจที่บ้าน โดยเดินทางไปทำงานอยู่ที่ประเทศเวียดนาม ซึ่งครอบครัวลงทุนทำโรงงานผลิตหลอดยาสีฟันอยู่ที่นั่น โดยธุรกิจที่บ้านของเปี๊ยกนั้น เป็นธุรกิจการพิมพ์ และทำหีบห่อ (เหรียญทองการพิมพ์)

เมื่อถามถึงความรู้สึก ว่าเสียดายหรือไม่ ที่เดินออกจากวงการบันเทิง...
"จริงๆ พอหนังจบก็ยังมีคนมาติดต่อบ้าง แต่ก็ไม่ได้ตอบรับไป ส่วนหนึ่งก็เพราะเราไม่ชอบให้คนอื่นมาบังคับเรา อีกส่วนหนึ่งก็คือ รู้สึกว่าเราไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ เพราะงานแสดงก็คือการอ่านบท แสดงแล้วก็จบ แต่ถ้ามีหนังดีๆ ให้เล่นอีกก็อยากจะเล่นนะ หนังกับรายการทีวีมันไม่เหมือนกัน เพราะหนังถ้าได้บทดีๆ อ่านแล้วเราชอบ อยากจะเห็นภาพของเรื่องนั้นมีเราอยู่เป็นส่วนร่วม ยิ่งได้ทำงานร่วมกับคนเก่งๆ ดีๆ แล้วก็ยิ่งชอบ แต่ปัญหาก็คือ ไม่มีใครเอาเราแล้ว (หัวเราะ)"

เบนเข็มสู่ MBA จีน...
อย่างไรก็ตาม... ณ ปัจจุบัน เปี๊ยกก็บอกว่า ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้แล้ว แต่มองไปในเรื่องการเรียนและการลงทุนทำธุรกิจในประเทศจีนมากกว่า ทั้งนี้ เพื่อเป็นการทำตามความมุ่งหวังในปัจจุบัน เมื่อปี 2547 เปี๊ยก จึงเดินทางมาศึกษาต่อ ระดับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ ณ มหาวิทยาลัยชิงหัว เมืองปักกิ่ง ประเทศจีน

“ตัดสินใจมาเรียนเอง ไม่ได้เกี่ยวกับที่บ้านเลย แม้ที่บ้านจะมีเชื้อสายจีน พ่อ-แม่ พูดจีนได้หมด ทั้งแต้จิ๋ว จีนกลาง กวางตุ้ง"

"เหตุผลหลักของตัวเอง ก็คือ อยากได้ภาษาจีน และในอนาคตถ้าต้องการทำธุรกิจของตัวเองที่เมืองจีน ถ้ามีเพื่อนฝูง มีเครือข่ายอยู่การจะทำอะไรก็ง่ายขึ้น ซึ่งเมื่อเทียบกับการไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาแล้ว ในอนาคตคอนเนกชันตรงนั้นเราอาจจะไม่ได้ใช้เลยด้วยซ้ำ”

ครั้งแรกที่เปี๊ยกเดินทางมาเรียนที่เมืองจีนนั้น เป็นการมาเรียนภาษาราว 6 เดือนเพื่อปูพื้นสำหรับการเรียนต่อในประเทศจีน โดยเมื่อปี 2546 เขาได้มาลงเรียนภาษาจีนระยะสั้นอยู่ ณ มหาวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมปักกิ่งอยู่พักหนึ่ง แต่ด้วยสาเหตุที่ในปีดังกล่าว ประเทศจีนประสบปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของโรคซาร์ส เขาจึงกลับไปทำงานสะสมประสบการณ์ต่อที่เวียดนาม ก่อนที่ในปีต่อมาจะกลับมาเรียนต่อในระดับปริญญาโทอย่างจริงจัง

สำหรับ หลักสูตร MBA ที่ศึกษาอยู่นั้น เปี๊ยกบอกว่าเป็นการเรียนการสอนภาคภาษาอังกฤษ โดยในชั้นเรียนจะเป็นชาวจีนร้อยละ 90 ส่วนอีกร้อยละ 10 นั้น เป็นนักเรียนต่างชาติ

“โดยปกติแล้วหลักสูตร MBA ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ในจีน จะแบ่งออกเป็นหลักสูตรภาษาจีนและหลักสูตรภาษาอังกฤษ ซึ่งหลักสูตรภาษาจีนนั้น ส่วนใหญ่แล้วคนที่เรียนจะเป็นคนจีนทั้งหมด โดยคนกลุ่มนี้ที่จบไปก็จะเข้าไปทำงานในบริษัทจีนที่กำลังโต หรือบริษัทข้ามชาติ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหลักสูตรภาษาอังกฤษแล้ว คนจีนนั้น อยากเข้าเรียนในหลักสูตรภาษาอังกฤษมากกว่า เพราะเมื่อจบไปแล้วโอกาสที่จะหางานที่ได้เงินเดือนสูงๆ นั้นเยอะกว่า”

เปี๊ยกเล่าต่อว่า เนื่องจากชิงหัวนั้น เป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงทางด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ดังนั้น เพื่อนนักศึกษาในหลักสูตรเดียวกันส่วนใหญ่ จึงเป็นบุคลากรที่ทำงานในสายงานวิศวกรรม ที่มีประสบการณ์ทำงานโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7 ปี และมีอายุระหว่าง 26-40 ปี โดยหลายคนสมัครใจมาเรียนเอง และหลายคนถูกส่งมาจากบริษัท ซึ่งค่อนข้างจะแน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้ จะเจริญเติบโตในตำแหน่งหน้าที่การงานในไม่ช้า และเป็นกลุ่มบุคคลที่เปี๊ยกมองว่าจะกลายเป็นคอนเนกชันที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง ต่อการลงทุนในธุรกิจของตนในอนาคต

เมื่อถามถึงชีวิตในการเรียน... เปี๊ยกบอกว่า ค่อนข้างเรียนหนัก
"โดยเฉพาะในช่วงปีแรก เทอมหนึ่งและเทอมสอง เทอมหนึ่ง เป็นวิชาบังคับทั้งหมด ไม่มีวิชาให้เลือก ส่วนเทอมสองก็คล้ายๆ กัน คือมีวิชาให้เลือกได้วิชาเดียว เทอมหนึ่งก็เรียน 7-8 วิชา สำหรับระยะเวลาในการเรียนก็ 10 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น หรือบางวันก็ 10 โมงเช้าถึง 4 ทุ่ม อย่างไรก็ตาม ที่หนักจริงๆ ก็คือ งานกลุ่มที่ต้องคอยหาเวลาที่ตรงกัน"

อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าปีที่สอง การเรียนก็เริ่มเบาลงหน่อย โดยเขามีเวลาไปท่องเที่ยว พักผ่อน และสังสรรค์กับเพื่อนฝูงทั้งชาวจีน และชาติอื่นๆ มากขึ้น

เมื่อถามถึงเรื่องชีวิตหลังจากเรียนจบ... เปี๊ยกเล่าให้เราฟังว่า ปัจจุบันก็กำลังมองหาลู่ทางลงทุนในประเทศจีนอยู่เหมือนกัน โดยธุรกิจที่เปี๊ยกมองเห็นโอกาสในการลงทุนก็ คือบริษัทไฟแนนซ์ ซึ่งเปี๊ยกคิดว่าเป็นธุรกิจที่สามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ได้อีกมากในอนาคต

“พูดถึงบริษัทไฟแนนซ์ในเมืองจีน ณ ปัจจุบัน ถือว่ายังไม่ค่อยเติบโตเท่าไรนัก ยังมีจุดที่สามารถพัฒนาได้อีกเยอะ นอกจากนี้ ยังเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ซึ่งเมื่อเราเป็นผู้รวบรวมเงินลงทุนตรงนี้ ก็มีโอกาสได้เห็นโอกาสของธุรกิจต่างๆ ตรงนี้ก็เป็นกำไรของเราที่ว่าในอนาคต ถ้าหากเราเห็นว่าธุรกิจในภาคไหนกำลังดี เราก็อาจจะเอาเงินของเราเองไปลงทุนในส่วนนั้นได้”

สำหรับกระแสข่าวลือ...ที่ออกมาเป็นระยะๆ จากทางสื่อมวลชน และนักเศรษฐศาสตร์ทางฝั่งตะวันตกที่ออกมากล่าวเตือนว่า ปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจของจีนนั้น ถือว่าเติบโตเร็วจนเกินไปจนอาจจะกลายเป็นฟองสบู่ และเกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้ในอนาคตอันใกล้นั้น เปี๊ยกมองถึงประเด็นนี้ว่า

"แม้ว่ามีคนมองว่า เศรษฐกิจจีนโตเร็วมาก แต่กว่าจะถึงที่กลายเป็นเศรษฐกิจฟองสบู่ได้ก็คงอีกนาน อย่างในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ในช่วงที่ผ่านมาเติบโตขึ้นอย่างน่ากลัวมาก แต่ในอนาคต ราคาของอสังหาริมทรัพย์ในจีน ก็จะยังคงขึ้นไปเรื่อยๆ เนื่องจากอุปทาน จะลดลงเพราะรัฐบาลเขาควบคุม แต่อุปสงค์นั้น ก็จะยังคงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ หากรัฐบาลจีนปล่อยอย่างรัฐบาลไทย ฟองสบู่ก็คงจะแตก จริงๆ รัฐบาลจีนเขาก็ค่อนข้างคุมอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นพวกไฮเอนด์ แต่จะสนับสนุนพวกระดับกลาง ระดับล่างมากกว่า เพราะเขาอยากยกระดับชีวิตคนชั้นกลางกับชั้นล่างให้สูงขึ้น

"แต่ถ้าพูดถึงการลงทุนในส่วนของไฮเอนด์ คนต่างชาติก็ยังมีโอกาสที่จะลงทุนได้อยู่ เพราะ อุปทานมันลดลง ราคาก็ยังมีโอกาสขึ้นไปได้อีก

"นอกจากนี้ ตั้งแต่ปีที่แล้ว (2548) รัฐบาลจีนก็ออกกฎเกณฑ์ว่าในปักกิ่งห้ามสร้างตึกสูงอีกจนกระทั่งปี 2551 (ค.ศ. 2008) ที่ปักกิ่งจะเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก แต่ว่าถ้ามันขึ้นน่ากลัวขนาดนี้ ถามว่าเป็นห่วงไหม ส่วนตัวมองว่าจนกระทั่งปี ค.ศ.2008 รัฐบาลจีนคงไม่ยอมปล่อยให้ฟองสบู่แตก

"ส่วนสถานการณ์เศรษฐกิจจีน ช่วงหลังโอลิมปิกนั้น ส่วนตัวก็ยังไม่แน่ใจนัก แต่เท่าที่เคยคุยกับเพื่อนก็คือ หากจะสังเกตเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จัดโอลิมปิกเสร็จแล้ว อย่างเช่น เกาหลีใต้หลังจัดโอลิมปิกแล้ว เศรษฐกิจก็เติบโตอย่างรวดเร็วมาเป็นสิบปี และอีกหลายๆ ที่ ก็เป็นอย่างนี้ ตรงนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้เราวางใจได้ระดับหนึ่ง”

เมื่อเราถามว่าในเมื่อมีแผนการธุรกิจเช่นนี้แล้ว โดยส่วนตัววางแผนว่าจะใช้ชีวิตอยู่ที่จีนอีกสักกี่ปี…

"คงวางแผนจะไม่กลับเมืองไทยมากกว่า ..... ก็แล้วแต่ชีวิตมันจะพาไป" เปี๊ยกตอบทิ้งท้ายพร้อมกับรอยยิ้ม แซมด้วยเสียงหัวเราะ.


กำลังโหลดความคิดเห็น