xs
xsm
sm
md
lg

ของดีที่ หลานโจว

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


บนรถบัส ผมสังเกตเห็นสภาพภูมิประเทศภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไปทีละนิด จากพื้นที่เพาะปลูกสีเขียว เมื่อออกจากเทียนสุ่ย ภูมิประเทศเริ่มกลายเป็นภูเขา-เนินเขาสีน้ำตาลหลือง แม้บนยอดเขาแซมไว้ด้วยสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยกลบความแห้งแล้งให้เบาบางลงได้สักเท่าไหร่

อย่างที่เขาว่า 'เทียนสุ่ย' ดูจะเป็นพื้นที่ชุ่มชื้นผืนสุดท้ายของ มณฑลกานซู่ ...... เส้นทางข้างหน้าเนินเขาอันแห้งผาก และทะเลทรายอันแห้งแล้งกำลังรอเราอยู่

บนเส้นทางสี่ชั่วโมงครึ่ง รถหยุดพักกลางทางที่ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งเมื่อเวลาใกล้ 6 โมงเย็น

ผมยืนมองท้องฟ้าสีคราม ครามราวกับว่า มันเพิ่งถูกวาดเสร็จด้วยสีโปสเตอร์ที่ออกมาจากขวด เมฆปุยขาวลอยระอยู่เหนือภูเขาสีเหลือง เมื่อนำมาประกอบกับสีแดงของป้ายปั๊มน้ำมันแล้ว ความสดของแม่สีทั้งสามก็ถูกนำมารวมกันได้อย่างเหมาะเจาะพอดี

แม้นาฬิกาจะบอกเวลาว่าใกล้ 6 โมงเย็นแล้ว แต่แสงแดดที่กานซู่ยังแผดเผาเหมือนเป็นช่วงเวลาบ่ายโมง อย่างไรก็ตามแม้แดดจะร้อน แต่ที่ผิวหนังก็ยังพอจะรู้สึกได้ถึงความเย็นที่ถูกพัดมาพร้อมกับลม

ณ เวลานี้ เงาของทุกสรรพสิ่งที่ทอดลงบนผืนดินดูจะเป็นสิ่งที่มีค่าเสียเหลือเกิน โชเฟอร์รถบรรทุกบางคัน ถือเวลาพักรถลงไปเอนหลัง นอนหลับอยู่ใต้เงารถของตัวเองบนถนนไฮเวย์

ประเทศจีนแม้จะกว้างใหญ่ไพศาล โดยระยะทางระหว่างดินแดนตะวันออกสุดถึงตะวันตกสุดห่างกันถึง 5,200 กิโลเมตร (ส่วนดินแดนเหนือสุดกับใต้สุดนั้นห่างกันถึง 5,500 กิโลเมตร) ซึ่งหมายความว่าเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกในแต่ละพื้นที่จะแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่งหากจะแบ่งกันตามมาตรฐานสากลแล้วประเทศจีนสามารถแบ่งพื้นที่ต่างๆ ออกได้ถึง 5 โซนเวลา อย่างไรก็ตามสำหรับเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาแล้ว ทุกพื้นที่ก็ยังคงใช้ เวลา ณ กรุงปักกิ่ง (北京时间) อันเป็นพื้นที่ใน East 8 Time Zone (GMT+8) เป็นมาตรฐานอยู่

จากเทียนสุ่ย ผมเดินทางต่อมายังหลานโจว (兰州) เพื่อมาหยุดพักเอาเรี่ยวเอาแรงหนึ่งคืนก่อนที่จะเดินทางต่อไปยังเมืองหมื่นลี้ที่ตั้งอยู่สุดปลายตะวันตก เจียยู่กวน (嘉峪关)

ในพื้นที่ตะวันตกเฉียงเหนือ (西北) ของประเทศจีน หลานโจว เมืองเอกของมณฑลกานซู่ถือเป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับสอง โดยเป็นรองก็แค่เพียงเมืองซีอานแห่งมณฑลส่านซีเท่านั้น

เมืองหลานโจวมีประวัติศาสตร์อันยาวนานเช่นเดียวกันมณฑลกานซู่ โดยนับแต่อดีตกาล เส้นทางสายไหม (Silk Road:丝绸之路) อันเป็นเส้นทางค้าขายระหว่างจีนกับทวีปยุโรป แอฟริกาก็มีเส้นหนึ่งที่ผ่านเมืองหลานโจวแห่งนี้ โดยว่ากันว่าเมื่อครั้งที่ พระเสวียนจั้ง (พระถังซำจั๋ง) เดินทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่ประเทศอินเดีย ท่านก็ต้องธุดงค์ผ่านดินแดนที่กลายเป็นเมืองหลานโจวในปัจจุบันนี้เช่นกัน

ในยุคสาธารณรัฐประชาชนจีน หลังจากจีนเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างเข้มข้น เมืองหลานโจวก็กลับกลายไปได้รับฉายาว่าเป็น 'เมืองที่มองไม่เห็น' เนื่องจากเมืองแห่งนี้เป็นเมืองใหญ่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงเป็นอันดับหนึ่งของประเทศจีนตลอดช่วงระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

แต่กระนั้น สำหรับนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปอย่างเราๆ ก็คงไม่ต้องตื่นตระหนกตกใจอะไรไปมากนักว่า เวลาจะมาเยือนเมืองหลานโจวแห่งนี้ต้องใส่หน้ากาก หรือ ที่ครอบปากกันมลพิษ เพราะจริงๆ แล้ว ดูเหมือนในชีวิตประจำวันคนกรุงเทพก็น่าจะเตรียมฝึกฝนรับสถานการณ์เช่นนี้มาจนชิน ไม่แพ้กับคนที่นี่เช่นกัน

ในฐานะที่เป็นเมืองเก่าแก่อันเป็นทางผ่านของเส้นทางสายไหม และยังเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือของจีนแน่นอนว่า หลานโจว ต้องมีของดีหลายอย่าง

บะหมี่เนื้อหลานโจว (兰州牛肉拉面)
บะหมี่เนื้อหลานโจวถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของหลานโจวที่ชื่อเสียงขจรขจายไปทั่วประเทศ โดยเฉพาะในหมู่ชาวจีนภาคเหนือที่โดยปกติแล้วก็ชอบรับประทานอาหารจำพวกเส้น (面食) เป็นเมนูหลัก อันผิดกับชาวจีนที่อยู่ทางใต้ที่รับประทานข้าว (米食) เป็นอาหารหลัก

ประวัติในการคิดค้นบะหมี่เนื้อน้ำใสของหลานโจว นั้นสามารถย้อนไปได้ถึงปลายราชวงศ์ชิง สมัยจักรพรรดิกวงสู้ โดยเป็นบะหมี่ที่ถูกคิดค้นมาจากฝีมือของผู้เฒ่าชาวหุย (回族) ผู้หนึ่งนามหมาเป่าจึ

สำหรับบะหมี่เนื้อหลานโจวนั้นมีดีตรงที่เส้นเหนียวนุ่ม น้ำซุปซดชุ่มคอ โดยเคล็ดลับเขาว่ามีอยู่ 4-5 ประการคือ เส้นของบะหมี่หลานโจวจะต้องเป็นเส้นบะหมี่สีเหลืองมันและใช้มือทำไม่ใช้เครื่องจักร น้ำซุปจะต้องเป็นน้ำใส หัวไชเท้าจะต้องขาวสะอาด ผักจะต้องเป็นผักเขียว และพริกที่ใช้ทำเป็นเครื่องปรุงจะต้องเป็นของดี

ความโด่งดังของบะหมี่เนื้อหลานโจวนี้เอง ส่งให้ในทุกมณฑลทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนไม่ว่าจะเป็น ส่านซี กานซู่ ชิงไห่ ซินเกียง เป็นต้น ต่างก็มีร้านบะหมี่หลานโจวเปิดอยู่เต็มไปหมด ทั้งนี้นอกเหนือไปจากสาเหตุของความอร่อยถูกปากคนท้องถิ่นแล้ว อีกสาเหตุที่ทำให้บะหมี่หลานโจวได้รับความนิยมอย่างมากก็คือราคาอันย่อมเยาเพียง 2-3 หยวนต่อชามของบะหมี่เนื้อหลานโจวที่สามารถเติมท้องว่างๆ ให้อิ่มได้นั่นเอง

สำหรับเทคนิคในการเลือกร้านบะหมี่เนื้อหลานโจวนั้น หลายคนแนะนำว่าพยายามหลีกเลี่ยงร้านที่เป็นแฟรนไชส์ให้มากที่สุด โดยร้านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่ออย่างมากก็อย่างเช่น จินติ่งหนิวโร่วเมี่ยน (金鼎牛肉面) ที่ตั้งอยู่ ณ จุดตัดของถนนผิงเหลียงตัดกับถนนชิ่งหยาง หรือหากไม่อยากยุ่งยากเดินหา ถ้าจะก็ลองสอดส่องดูร้านเล็กๆ ริมถนนที่ดูสะอาดสะอ้านก็ได้เช่นกัน

ของดีอย่างถัดมาของหลานโจวก็คือ ผลไม้
ในช่วงหน้าร้อน ประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม บนบาทวิถีของหลานโจวละลานไปด้วยผลไม้ราคาย่อมเยานานาชนิด ทั้งที่เมืองไทยปลูกได้และปลูกไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็น กล้วยหอม แคนตาลูป องุ่นแดง/เขียว แอปเปิ้ล แตงโม สาลี่ ฯลฯ โดยผลไม้ที่เป็นทีเด็ดของหลานโจวนั้นก็คือ แคนตาลูปพันธุ์ต่างๆ ที่ทั้งหอม ทั้งหวาน และชุ่มคอ

สำหรับคนตะวันตกเฉียงเหนือของจีนแล้ว ผลไม้เหล่านี้โดยเฉพาะผลไม้จำพวกเมลอน (แตงโม แคนตาลูป) นอกจากจะเป็นอาหารรองท้องแล้ว ยังถือเป็นแหล่งน้ำที่สร้างความชุ่มชื่นให้เวลารับประทาน โดยไม่ต้องดื่มน้ำอื่นๆ กลั้วปากตามอีกด้วย

ของดีอีกอย่างที่ผู้มาเยือนหลานโจวคงจะสังเกตเห็นได้ไม่ยากนักก็คือ รูปหล่ออาชาโจนทะยานไปบนนกนางแอ่น (马踏飞燕 หรือ 同奔马) ที่ตั้งตระหง่านอยู่หน้าสถานีรถไฟหลานโจว

จริงๆ แล้ว รูปหล่ออาชาโจนทะยานไปบนนกนางแอ่น หรือ หม่าท่าเฟยเยี่ยน ที่สถานีรถไฟหลานโจวนั้นเป็นรูปปั้นจำลอง โดยรูปปั้นจริงที่มีความสูงเพียง 34.5 เซนติเมตร นั้นถูกเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์มณฑลกานซู่ ในเมืองหลานโจวนี่เอง

'หม่าท่าเฟยเยี่ยน' เป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ที่ถูกหล่อขึ้นในสมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ.25-189) ความสมส่วน และสวยงามตั้งแต่หัวจรดหาง ตั้งแต่หลังปลายหูจรดกีบเท้าของม้าตัวนี้ ทางหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความสุดยอดในทางศิลปะของชาวจีนเมื่อเกือบ 2,000 ปีก่อน ที่สามารถสร้างสรรให้รูปสัมฤทธิ์สามารถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้

ยิ่งเมื่อพิจารณาอย่างใกล้ชิดแล้วจะยิ่งเห็นว่า ทุกส่วนของม้าตัวนี้ ไม่ว่าจะเป็น หูที่ตั้ง หางที่ชี้ กล้ามเนื้อที่เกร็งในส่วนลำตัว ขาทั้งสี่ ลูกตา จมูก รวมถึงรูปลักษณ์ของปากที่เปิดอ้ากว้างออกแสดงให้เห็นฟัน ต่างถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมสามารถรู้สึกได้จริงๆ ว่า ม้าตัวนี้มิได้อยู่ตั้งกับที่ แต่กำลังวิ่งควบไปอย่างรวดเร็วดุจสายลม

มากกว่านั้น เมื่อนำม้าตัวนี้ประกอบเข้ากับนกนางแอ่นที่กำลังเหินอยู่เบื้องล่าง ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงจินตนาการที่ว่า ม้าตัวนี้กำลังวิ่งควบไปด้วยความเร็วสูงจนคล้ายกับว่ากำลังบินไปเช่นเดียวกับนกนางแอ่นที่โผบินอยู่บนฟ้าของช่างศิลป์ผู้รังสรรค์ผลงาน และส่งให้งานชิ้นนี้กลายเป็นงานที่ผสมผสานศิลปะแนวสัจนิยม (Realism) กับ โรแมนติกนิยม (Romanticism) ได้อย่างลงตัวที่สุด

ในอีกทางหนึ่งรูปหล่ออาชาเช่นนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในม้าที่ชาวจีนในยุคฮั่นตะวันตกนำเข้ามาจากแถบเปอร์เซีย เพื่อทำการสู้รบกับพวกซงหนู (匈奴) ชนเผ่านอกด่าน และแสดงให้เห็นถึงความทระนงของชาวฮั่นที่ถือว่าตนเองเป็นชนเผ่าที่ยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะหลังจากที่จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (汉武帝; 156 ปีก่อนคริสตกาล-87 ปีก่อนคริสตกาล) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ได้ทำการปราบปรามชนเผ่าซงหนูจนสิ้นซากไปแล้ว ......

จริงๆ ของดีของหลานโจวยังมีอีกมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น สะพานเหล็กข้ามแม่น้ำฮวงโห ภูเขาอู่เฉวียน ภูเขาเจดีย์ขาว ฯลฯ แต่น่าเสียดายที่ผมมีเวลาน้อย

เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมง รถไฟเที่ยว L127 สายหลานโจว-เจียยู่กวน ก็จะออกเดินทางแล้ว






กำลังโหลดความคิดเห็น