xs
xsm
sm
md
lg

สังคมนิยม – เครื่องมือสร้างชาติ (5)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

คุณูปการของความคิดเหมาเจ๋อตง ก็คือทำให้คนจีนลุกยืนขึ้นได้
คุณูปการของทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ก็คือทำให้คนจีนลืมตาอ้าปากได้
คนไทยเราให้ความสำคัญต่อทั้งความคิดเหมาเจ๋อตงและทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ดูได้จากความพยายามที่จะดำเนินการปฏิวัติสังคมตามแนวคิดความคิดเหมาเจ๋อตง และขณะนี้กำลังให้ความสนใจที่จะนำเอาหลักการทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศไทย สิ่งนี้ยืนยันได้ว่า คนไทยเราใฝ่ก้าวหน้า กระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความเจริญก้าวหน้า ประชาชนชาวไทยเป็นสุขถ้วนหน้า
แต่บทเรียนมากมายก็ได้สอนเราว่า ลำพังการนำเอาหลักทฤษฎีสำเร็จรูปเหล่านั้นมาชี้นำการปฏิบัติของเราเอง จะไม่มีทางนำไปสู่ความสำเร็จแต่ประการใด
สิ่งที่เราควรศึกษาทำความเข้าใจ และนำมาเป็นฐานของการคิดการปฏิบัติ น่าจะเป็นจุดยืน ทัศนะ วิธีการ ที่พวกเขายึดมั่นมากกว่า เพราะสิ่งนี้ต่างหากที่เป็น “กุญแจ”ไขประตูไปสู่ความสำเร็จของพวกเขา
อีกนัยหนึ่ง แทนที่เราจะนำเอาทฤษฎีที่เป็นผลของการปฏิบัติของพวกเขามาครอบงำตนเอง กลับควรอย่างยิ่งที่จะแหวกลึกลงไปให้ถึงต้นตอเลยว่า ทำไมพวกเขาจึงได้มาซึ่งทฤษฏีชี้นำเหล่านั้น
อีกนัยหนึ่ง เราสมควรค้นให้พบ “อาวุธ”ที่แท้จริง แล้วนำมาติดให้กับตนเอง ในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เพื่อนำไปสู่ความสำเร็จจากการปฏิบัติของเราเอง ในสภาวะเป็นจริงของสังคมไทยเอง
ซึ่งในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัตินั้น เราก็จะมีทฤษฎีชี้นำของเราเองเกิดขึ้นเป็นชุดๆ
แม้เมื่อเรานำเอาชุดทฤษฎีต่างๆของจีนมาศึกษา เราก็จะสามารถได้คำตอบไม่ยากว่า ทำไมคนจีนเขาจึงคิดและทำเช่นนั้น ไม่หลงยึดติดในบททฤษฎีที่เป็นของเขา ไม่เป็นทาสทางทฤษฎี เราก็จะมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง มีความเป็นไปได้เบื้องต้น ในการที่จะสามารถเข้าถึงปัญหาของตนเองและแก้ไขปัญหาของตนเอง
จากการศึกษาทำความเข้าใจเรื่องจีนมาเป็นลำดับ พบว่า สิ่งที่คนจีนยึดมั่นอย่างยิ่ง จนเป็นบาทฐานของการนำไปสู่ความสำเร็จของการปฏิวัติสังคม(ในยุคปฏิวัติ) และพัฒนาสังคม(ในยุคพัฒนา) ก็คือ จุดยืน ทัศนะ วิธีการ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งเมื่อขอดออกเป็นคำสรุปรวบยอดก็จะได้ความว่า “หาสัจจะจากความเป็นจริง” และ “เดินแนวทางมวลชน”
ในยุคปฏิวัติ ความคิดเหมาเจ๋อตงเกิดขึ้นบนฐานของการใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการเช่นว่านี้ จะคิดจะทำอะไรก็ล้วนแต่ต้อง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” และ “เดินแนวทางมวลชน” จึงนำไปสู่ข้อสรุปที่สอดคล้องกับความเป็นจริง เกิดความคิดทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้อง สอดคล้องกับความเป็นจริงของสังคมจีน และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวจีน
ในยุคพัฒนา ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงเกิดขึ้นบนฐานของการใช้จุดยืน ทัศนะ วิธีการเช่นว่านี้ ชูธง “ปลดปล่อยความคิด หาสัจจะจากความเป็นจริง” และ “เดินแนวทางมวลชน” จึงค้นพบและเข้าถึงสัจธรรมของความเป็นสังคมนิยม และสังคมนิยมแบบจีน ได้คำตอบว่า สังคมนิยมคืออะไร ? สังคมนิยมแบบจีนเป็นอย่างไร ? และจะสามารถสร้างสรรค์สังคมนิยมแบบจีนได้อย่างไร ?
ด้วยเหตุนี้ ในการศึกษาทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อนำมาปรับใช้ในการพัฒนาประเทศของเรา จำเป็นจะต้องคำนึงถึงความเป็นจริงของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย
อีกนัยหนึ่ง เราจำเป็นจะต้องมีจุดยืน ทัศนะ วิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เพราะ การหาสัจจะจากความเป็นจริง จะทำให้เรา “ตีนติดดิน” ไม่ห่างเหินจากความเป็นจริงของเราเอง สามารถเคลื่อนไหวอยู่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงที่เป็นจริงทุกขั้นตอน จากนี้จึงจะนำไปสู่การรับรู้ในกฎเกณฑ์การพัฒนาของสังคมประเทศไทย เกิดปัญญา มองเห็นทิศทางการพัฒนาของสังคมไทย เป็นที่มาของแนวคิดทฤษฎีที่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของเราเอง
อีกทั้ง การเคลื่อนไหวปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การพัฒนาเปลี่ยนแปลงของสังคมไทย ก็เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่แท้จริงแก่ปวงประชามหาชน มิใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนแต่ประการใด ตรงนี้สำคัญมาก เพราะการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะเป็นไปได้ด้วยดี ก็ต้องมีมวลชนเข้าร่วมด้วยเสมอ เมื่อใดที่แนวคิดทฤษฎีที่ถูกต้อง สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน เชื่อมโยงเข้ากับมวลชนแล้ว ก็จะเกิดพลังขับเคลื่อนมหาศาล นำไปสู่ชัยชนะของการปฏิวัติ(ในยุคปฏิวัติ) และความสำเร็จในการพัฒนา (ในยุคพัฒนา)
สรุปคือ การที่เราจะนำเอาประสบการณ์การพัฒนาประเทศของจีนมาปรับใช้กับตัวเราเองได้ดี ตัวเราเองจะต้อง 1. เข้าใจในสภาวะเป็นจริงของตัวเองและของโลกโดยรวม และ 2. ถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยเป็นตัวตั้ง
อีกนัยหนึ่ง การศึกษาประสบการณ์การพัฒนาประเทศของจีน เช่นการศึกษาทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง เพื่อนำมาปรับใช้กับประเทศไทย จะต้องดำเนินไปในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติทางสังคมของประชาชนชาวไทย นั่นคือ เรานำเอาแนวคิด หลักการของทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิงมาปรับใช้ในท่ามกลางการก่อตัวขององค์ความรู้ของเราเอง ที่มีต่อกระบวนการพัฒนาเปลี่ยนแปลงทางสังคมของประเทศไทย และความเรียกร้องต้องการที่แท้จริงของประชาชนชาวไทย
สรุปอีกที การนำเอาประสบการณ์ของผู้อื่นมาปรับใช้กับตนเอง จะต้องดำเนินไปบนพื้นฐานที่เราเองกำลังพัฒนาองค์ความรู้ความเข้าใจในตัวเองในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน เพื่อผลประโยชน์ที่แท้จริงของมวลชน จึงจะได้ประโยชน์ เกิดผลทางด้านการรับรู้ในกฎเกณฑ์การพัฒนาทางสังคมของเราเอง ซึ่งจะนำไปสู่การกำหนดแนวนโยบายได้อย่างถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริงของตนเอง สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ด้วยเหตุนี้ การยึดมั่นในจุดยืน ทัศนะ วิธีการ ที่เป็นวิทยาศาสตร์ จึงเป็นเงื่อนไขเบื้องต้น ในการสามารถนำเอาแนวคิดทฤษฎีที่ดีของจีนและของประเทศอื่น(หากมี ซึ่งย่อมมี)มาปรับใช้กับตัวเองได้อย่างถูกต้อง สามารถยังประโยชน์แก่ประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
ขออธิบายเพิ่มเติม คำว่า “เป็นวิทยาศาสตร์” โดยนัยก็คือ “เป็นไปได้อย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง” ในการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงสังคม จึงหนีไม่พ้นที่จะต้อง “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง และเริ่มจากผลประโยชน์ของปวงประชามหาชน จะต้องเดินแนวทางมวลชน อาศัยมวลชน ติดอาวุธทางความคิด (จุดเทียนปัญญา)ให้แก่มวลชน
ทฤษฎีชี้นำที่ถูกต้องจำเป็นจะต้องเกิดขึ้นในท่ามกลางการขับเคลื่อนการปฏิบัติทางสังคมของมวลชน ประสานเป็นหนึ่งเดียวกับมวลชน จึงจะเกิดพลังเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ ขับเคลื่อนสังคมไทยไปสู่อนาคตที่ดี
เมื่อทำความเข้าใจในเรื่องนี้ดีแล้ว ผู้เขียนก็จะอาสาพาท่านผู้อ่านแหวกว่ายเข้าไปในพุ่มไม้ทางปัญญาของคนจีน เป้าหมายก็คือทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง ที่มาของการพัฒนาก้าวหน้าของประเทศจีนยุคปัจจุบัน
เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในเรื่องสังคมนิยมอย่างถูกต้อง ในฐานะ “เครื่องมือ”สร้างชาติ

---------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น