xs
xsm
sm
md
lg

ฝันที่ไม่เคยหยุดนิ่งของเจ้าพ่อฮ่องกง ‘ลีกาชิง’

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพลเจ้าของธุรกิจหลายพันล้านบนเกาะฮ่องกงและถือครองหุ้นในบริษัทต่างประเทศอีกหลายแห่ง นายหลี่เจียเฉิง(李嘉诚) หรือชื่อที่รู้จักในแวดวงธุรกิจทั่วโลกว่า ลีกาชิง มีบรรพบุรุษเป็นนักการศึกษาที่มีถิ่นกำเนิดมาจากเมืองแต้จิ๋ว


เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม ค.ศ.1928 ในเมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว) มณฑลกวางต่ง (กวางตุ้ง) บรรพบุรุษของเขาเป็นปัญญาชนตำแหน่ง ‘ซิ่วไฉ’ ปลายสมัยราชวงศ์ชิง และบิดายังเป็นครูใหญ่แห่งโรงเรียนประถมศึกษาหลายแห่งในเมืองแต้จิ๋ว

ปีค.ศ.1940 สงครามบุกรุกจีนของกองทหารญี่ปุ่นทำให้ครอบครัวของเขาอพยพลี้ภัยไปอยู่ที่ฮ่องกง หลังจากมาอาศัยในฮ่องกงได้ 2 ปีบิดาก็เสียชีวิต หลี่ต้องรับภาระดูแลน้องชายน้องสาวด้วยการออกจากโรงเรียนแล้วมาหางานทำเลี้ยงครอบครัว

เขาเริ่มจากพนักงานขายในบริษัทผลิตของเล่นพลาสติก หลี่ทำงานหนักวันละ 16 – 20 ชั่วโมง ก่อนเริ่มงานเวลา 9 โมงเช้าเขายังไปหาลูกค้าใหม่ในเขตอื่นๆ ตกค่ำก็กลับมาโรงงานเพื่อตรวจสอบใบสั่งซื้อสินค้า ด้วยความขยันขันแข็งทำให้ปลายปีหลี่ได้รับโบนัสสูงกว่าใครๆในที่ทำงาน มีอยู่ปีหนึ่งโบนัสของหลี่เจียเฉิงสูงเป็นอันดับหนึ่งในบริษัท โดยสูงกว่าคนที่ได้ลำดับที่ 2 ถึง 7 เท่า

และถึงแม้จะงานหนักงานยุ่งเพียงใด หลี่ผู้รักการอ่านจะรีบตื่นแต่ตี 4 ตี 5 เพื่ออ่านหนังสือทุกวัน และยังใช้เวลาว่างตอนเย็นหลังเลิกงานไปเรียนพิเศษเพิ่มเติม

“ ความรู้พื้นฐานของผมมาจากหนังสือเก่าๆ หนังสือเก่าที่ซื้อมา พออ่านจบแล้วก็ขายต่อไป แล้วเอาเงินไปซื้อหนังสือเก่าเล่มใหม่มาอ่านอีก ” มหาเศรษฐีหลี่เจียเฉิง เล่าอดีตในวัยเยาว์
ถ่ายภาพร่วมกับเติ้งเสี่ยวผิงเมื่อปี 1986
ด้วยความที่เป็นคนเรียนหนังสือเก่ง กอปรกับสติปัญญาดีมีความสามารถ หลี่เจียเฉิงจึงขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการใหญ่ของโรงงานของเด็กเล่นพลาสติกนั้นตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปี

แต่หลี่ก็เคยหยุดฝัน เขาอยากเป็นเจ้าของกิจการของตนเองโดยคิดเปิดตลาดสินค้าใหม่ๆ หลี่เจียเฉิงในวัย 20 ต้นๆใช้ประสบการณ์จากเมื่อครั้งเป็นพนักงานขาย และโอกาสที่มีอยู่รวบรวมเงินที่เก็บสะสมจำนวน 7,000 เหรียญสหรัฐไปเปิดโรงงานผลิตพลาสติกของตนเองในปี 1950 ตั้งแต่นั้นเขาก็ทุ่มเทหยาดเหงื่อให้กับ ‘โรงงานผลิตพลาสติกฉางเจียง’ อย่างเต็มกำลัง

ชื่อโรงงานที่หลี่เจียเฉิงตั้งขึ้นว่า ‘ฉางเจียง’ มาจากชื่อของแม่น้ำแยงซีเกียงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน โดยเขามีความคิดว่า “ อย่าเมินเฉยแม่น้ำสายเล็กสายน้อย แม่น้ำสายเล็กๆต่างไหลมารวมกันจึงจะเกิดเป็นแม่น้ำสายใหญ่เยี่ยงฉางเจียง”

หลี่เจียเฉิงทำงานบนความเชื่อที่ว่า “ อย่าหยุดที่จะซึมซับความรู้ใหม่ๆ คำนึงถึงภาวะเศรษฐกิจของโลกและโครงสร้างการเมือง และจงวิ่งให้ล้ำหน้ากว่าสังคมเล็กน้อย ”

การเลือกทำธุรกิจผลิตพลาสติกในเวลานั้นของหลี่นับเป็นการเริ่มต้นที่เหมาะเจาะ เนื่องจากหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 พลาสติกนับเป็นสินค้าใหม่ที่นอกจากนำมาแปรรูปเป็นสินค้าได้หลากหลายแล้ว อายุการใช้งานก็นาน ซ้ำราคาก็ถูก ไม่นานธุรกิจของหลี่ก็เจริญรุ่งเรืองและเข้าสู่ตลาดโลกทำยอดขายเติบโตมหาศาล

มหาเศรษฐีหลี่เจียเฉิงมักกล่าวอยู่บ่อยครั้งถึงแนวคิดการทำธุรกิจของเขาว่า “ จะต้องอยู่บนความซื่อสัตย์และความน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเผชิญกับปัญหาใดใดต้องทำให้ลูกค้าไว้วางใจเราให้มากที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใดต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้อย่างถึงที่สุด ”

นอกจากความซื่อสัตย์แล้ว วิสัยทัศน์อัจฉริยะของเขาก็เป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้หลี่เจียเฉิงก้าวขึ้นแท่นมหาเศรษฐีพันล้านของฮ่องกง
มหาเศรษฐีลีกาชิง
เขามองเห็นว่า เกาะฮ่องกงในฐานะท่าเรือปลอดภาษีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งยังมีดินแดนติดต่อกับจีนแผ่นดินใหญ่และทะเลจีนใต้ จะเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าและเครือข่ายคมนาคมของเอเชียที่มีอนาคตสดใส และสิ่งนี้ก็ได้นำโอกาสงามๆมาสู่พ่อค้าหัวใสอย่างหลี่เจียเฉิง

ปีค.ศ.1958 หลี่เจียเฉิงเริ่มวางแผนรุกทีละก้าวๆ เข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเริ่มจากที่ดินราคาต่ำๆ ความเสี่ยงน้อย หลี่ใช้กลยุทธ์บุกเบิกเยี่ยมยอด ทำให้ชื่อของ ‘บริษัทฉางเจียง’ เจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในธุรกิจการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง และพัฒนาที่ดิน ปี 1972 บริษัทฉางเจียงเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น และจนถึงปลายทศวรรษที่ 70 ชื่อของหลี่เจียเฉิงได้กลายเป็นบุรุษผู้ประสบความสำเร็จโดดเด่นที่สุดกว่าเพื่อนในรุ่นเดียวกัน

ปีค.ศ.1979 หลี่โด่งดังอีกครั้งจากการได้ชื่อว่าเป็นชาวจีนคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์ให้กับวงการธุรกิจด้วยการเข้าซื้อหุ้นบริษัทต่างชาติ คือ บริษัทพัฒนาที่ดินฮัทชิสันแวมเพาของอังกฤษ (Hutchison Whampoa Limited) และในปี 1984 บริษัทฉางเจียงยังเข้าซื้อหุ้นบริษัทผลิตไฟฟ้าฮ่องกง จำกัด (The Hongkong Electric Co., Ltd.) หลี่กลายเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดินและกลุ่มบริษัทวิสาหกิจฉางเจียง ที่มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์รวมทั้งสิ้นมากกว่า 42,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ปี 1995) ในฐานะประธานกรรมการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 2

หลี่เริ่มจากธุรกิจผลิตพลาสติก และเติบโตไปสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้า โรงแรม ซุปเปอร์มาร์เกต ท่าเรือ และการสื่อสาร เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หลี่เจียเฉิงยังเข้าลงทุนในธุรกิจด้านไอที ธุรกิจสื่อ และการค้นคว้าทางเทคโนโลยีชีวภาพ ซึ่งเป็นวงการที่เขาไม่คุ้นเคย โดยในปี 2000 บริษัทในครอบครองของมหาเศรษฐีรายนี้ มีมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์รวม 806,000 ล้านเหรียญฮ่องกง
ร่วมในงานการกุศลต่างๆ
กลางปี 2002 มีกระแสข่าวว่า หลี่เจียเฉิงมหาเศรษฐีนักธุรกิจของฮ่องกงผู้นี้จะเข้าซื้อหุ้นของสถานีโทรทัศน์เอเชีย หรือเอทีวี สถานีโทรทัศน์ยักษ์ใหญ่คู่แข่งสถานีโทรทัศน์ทีวีบีของฮ่องกง จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่า หลี่จะฮุบธุรกิจแขนงต่างๆในฮ่องกงจนกลายเป็นเจ้าพ่อผูกขาดธุรกิจสำคัญๆของฮ่องกงทั้งสื่อ พลังงาน เทคโนโลยี ไอที ฯลฯ เล่นเอาเจ้าพ่อหลี่ออกมาแสดงปฏิกิริยาน้อยอกน้อยใจตอบโต้ว่า เขาลงทุนในธุรกิจมาหลายแขนงในต่างประเทศยังไม่เคยได้ยินคำวิจารณ์จากใครเลย แท้จริงแล้วคนฮ่องกงบางกลุ่มหวังจะให้เขาลงทุนมากหรือน้อยกันแน่ ?

ถึงแม้การเจรจาระหว่างบริษัทคู่สัญญาของทอม ดอทคอมจะประสบความสำเร็จ และมีการแถลงข่าวในวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ระบุว่า หลี่เจียเฉิง จะเข้าซื้อหุ้นบริษัทเอทีวีในนามบริษัททอม ดอทคอมด้วยเงินลงทุนกว่า 360 ล้านเหรียญฮ่องกง ครองหุ้น 32.75% ทำให้ทอม ดอทคอมกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลำดับที่ 2 รองจากผู้ถือหุ้นใหญ่ หลิวฉางเล่อ ประธานสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมชื่อดังของฮ่องกง ฟีนิกซ์ (凤凰卫视) และหุ้นส่วนนักธุรกิจเสื้อผ้า เฉินหย่งฉี ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารของบริษัทเอทีวี

แต่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังคงตามมาไม่หยุดและรุนแรงขึ้นทุกที จนในเดือนถัดมาหลี่เจียเฉิงจำต้องประกาศยุติการซื้อหุ้นบริษัทเอทีวีในครั้งนั้น อย่างไรก็ตาม หลี่เจียเฉิงก็ยังถือหุ้นอยู่ในสถานีโทรทัศน์ของต่างประเทศและธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมต่างๆอีกหลายแห่ง
กับบุตรชายคนโตหลี่เจ๋อจี้ว์
ด้านชีวิตส่วนตัว นักธุรกิจชื่อดังหลี่เจียเฉิงมีแนวทางในการอบรมบุตรทั้งสอง หลี่เจ๋อจี้ว์และหลี่เจ๋อข่าย ที่เน้นเรื่องการศึกษาเรียนรู้เป็นสำคัญ โดยทุกวันอาทิตย์เขาและลูกชายจะออกทะเลไปว่ายน้ำด้วยกัน หลี่จะนำหนังสือติดตัวไปด้วย 1 เล่มเป็นบทกวีคำสอนของบรรพบุรุษชาวจีน เขาจะอ่านให้ลูกชายฟังแล้วตั้งคำถามให้ลูกๆคิดเสมอ

หลี่เจียเฉิงยังเชื่อในคติเรื่องการสั่งสอนอบรมบุตรที่ว่า “ หน่ออ่อนในห้องที่อุ่นสบายไม่สามารถงอกยอดที่แข็งแกร่งได้ ” ตอนที่ลูกยังเล็กๆหลี่จึงเคี่ยวเข็ญให้พวกเขารู้จักเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เขาจะพาลูกไปไหนมาไหนด้วยการโดยสารรถเมล์และรถไฟฟ้า ไปขายหนังสือพิมพ์ตามทางเท้า พาลูกๆเดินดูชีวิตที่ยากเข็ญของเด็กคนอื่นๆตามท้องถนน เป็นต้น
บุตรชายคนที่ 2 หลี่เจ๋อข่าย
ปัจจุบัน ลูกชายทั้งสองของหลี่เติบโตขึ้นและเข้ามารับผิดชอบดูแลกิจการธุรกิจของบิดา โดยหลี่เจ๋อจี้ว์พี่ชาย ดำรงตำแหน่งรองประธานและผู้จัดการใหญ่กลุ่มบริษัทวิสาหกิจฉางเจียง (Cheung Kong (Holdings) Limited) รองประธานบริษัทพัฒนาที่ดิน ฮัทชิสันแวมเพา จำกัด และประธานกลุ่มบริษัทก่อสร้างฉางเจียง ส่วนน้องชายหลี่เจ๋อข่าย ผู้มีชื่อเสียงในแวดวงสังคมฮ่องกง ดำรงตำแหน่งประธานและกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทพัฒนาที่ดิน แปซิฟิก เซ็นจูรี กรุ๊ป (Pacific Century Group) และรองประธานบริษัท ฮัทชิสันแวมเพา จำกัด ทั้งนี้ สื่อของฮ่องกงยังเรียก 2 พี่น้องคู่นี้ว่า “龙兄虎弟” หรือ พี่มังกรน้องเสือ

ด้วยสายตามองการณ์ไกลที่แม่นยำ กล้าเสี่ยง และให้ความสำคัญกับบุคลากรในสังกัด ประกอบกับความจัดเจนในการใช้โอกาสที่มีอยู่อย่างเหมาะสม ทำให้หลี่เจียเฉิงคนนี้ประสบความสำเร็จในธุรกิจต่างๆมากมาย จนมีคนเรียกเขาว่า ‘ซูเปอร์แมนหลี่’

จากความสำเร็จในวงการธุรกิจของหลี่เจียเฉิง ทำให้สถาบันการศึกษาทั้งในและต่างประเทศต่างเลื่อมไสในความสามารถของชายผู้นี้ และมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ให้แก่เขา ได้แก่ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ของอังกฤษ มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มหาวิทยาลัยฮ่องกงและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีฮ่องกงและอีกหลายแห่งในฮ่องกง รวมถึง The University of Calgary มหาวิทยาลัยชื่อดังของแคนาดา
นักธุรกิจและผู้มีอิทธิพลทางการเมืองของฮ่องกง
มูลนิธิ ‘ลีกาชิง’ และมหาวิทยาลัยซัวเถา

จากประวัติในวัยเยาว์ที่ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 12 ปี ทำให้หลี่เจียเฉิงตระหนักดีถึงปัญหาการขาดแคลนด้านการศึกษา นอกจากเขาจะให้ความสำคัญกับการให้ความรู้แก่เด็กแล้ว ยังใส่ใจต่อการสร้างสุขภาพที่ดีแก่เยาวชนด้วย

หลี่ได้ก่อตั้ง ‘มูลนิธิลีกาชิง’ หรือ Likashing Foundation ขึ้นในปีค.ศ.1980 เพื่อจัดหากองทุนสนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษา การแพทย์ วัฒนธรรมตลอดจนงานสาธารณกุศลต่างๆเพื่อสังคม จากที่ผ่านมามูลนิธิแห่งนี้ได้บริจาคทรัพย์กว่า 7,600 ล้านเหรียญฮ่องกงไปกับโครงการช่วยเหลือทางสังคมต่างๆ

ปี 1981 หลี่ยังบริจาคเงินที่หามาได้จากการทำธุรกิจจำนวนกว่า 2,000 ล้านเหรียญฮ่องกงเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยซัวเถา (汕头大学) ที่เปิดสอนทุกวิชาและมีโรงพยาบาลในมหาวิทยาลัย รวมถึงสถาบันวิจัยด้านการแพทย์อีก 4 แห่งด้วย ปัจจุบันมหาวิทยาลัยแห่งนี้ผลิตบุคลากรกว่า 10,000 คน

ข้อมูลส่วนตัว

ชื่อ : หลี่เจียเฉิง (สำเนียงจีนกลาง) หรือ ลีกาชิง ภาษาอังกฤษ Li Ka-shing
อายุ : 73 ปี สัญชาติ : ฮ่องกง
สถานภาพ : ม่าย, ลูกชาย 2
ทรัพย์สิน : ตัวเลขที่เปิดเผยโดยนิตยสารฟอร์บส 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
เจ้าของธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคมในจีนแผ่นดินใหญ่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ พลังงานไฟฟ้า อสังหาริมทรัพย์ ก่อสร้าง ท่าเรือขนส่ง โรงแรม และบริการอินเทอร์เน็ตครอบคลุมพื้นที่ในประเทศต่างๆ อาทิ ออสเตรเลีย ออสเตรีย สวีเดน อีตาลี่ อังกฤษ ที่มีผู้ใช้บริการรวม 160 ล้านคน และยังถือหุ้น 38 % ในเว็บไซต์ชั้นนำด้านธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมและการบริการของสหรัฐฯ พรินซ์ไลน์ดอทคอม และ เป็นหุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทที่ให้บริการด้านโทรคมนาคมรายใหญ่ บริษัท โกลบอลครอสซิ่ง จำกัดของสหรัฐฯ .

ลิงก์บริษัท
พรินซ์ไลน์ดอทคอม
โกลบอลครอสซิ่ง
บริษัทพัฒนาที่ดินฮัทชิสันแวมเพา Hutchison Whampoa Limited
กลุ่มบริษัทวิสาหกิจฉางเจียง Cheung Kong (Holdings) Limited
แปซิฟิก เซ็นจูรี กรุ๊ป Pacific Century Group
มูลนิธิลีกาชิง

เรียบเรียงจาก  ไชน่านิวส์ / ซีน่าเน็ต / ฟอร์บสดอทคอม / มูลนิธิลีกาชิง
กำลังโหลดความคิดเห็น