โดยปกติแล้ว เว่ยเจ๋อปอมักรอคอยที่จะได้กลับบ้านเกิดที่เหอเป่ยในช่วงตรุษจีนของทุกปี แต่ทว่าในปีนี้กลับแตกต่างออกไป สภาพของเขาไม่ต่างไปกับเพื่อนคนงานก่อสร้างอีก 60 คนที่กำลังตกอยู่ในความขัดแย้งกับนายจ้าง ผู้ยังค้างค่าแรงอีกราว 100,000 หยวน (12,390 ดอลลาร์)
“ผมยังไม่มีความกล้าพอจะบอกกับครอบครัว แต่ผมไม่อาจกลับบ้านไปโดยไม่มีเงิน” เว่ยวัย 35 ปีกล่าว ขณะนั่งอยู่ในห้องพักเล็กๆ ที่มีแสงขมุกขมัวของหลอดไฟเพียงดวงเดียวในเขตก่อสร้างแห่งหนึ่งในปักกิ่ง

“ดูสิ ผมเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว รอแค่การจ่ายเงินเท่านั้น” เว่ยชี้ไปยังกองสัมภาระที่วางอยู่บนเตียงที่คลุมไว้ด้วยผ้านวมสกปรกๆ ผืนหนึ่ง
กรณีของเว่ยเป็นหนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นมากมายกับแรงงานอพยพนับล้านชีวิตที่เข้าเมืองมาเพื่อแสวงหาโอกาสและรายได้ที่ดีกว่าในชนบท พวกเขาหวังจะมีส่วนร่วมเชยชมกับเศรษฐกิจจีนที่กำลังทะยานไปอย่างสวยงาม แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ดังในช่วงหลายปีที่ผ่าน มีการประเมินว่ามีชาวนากว่า 100 ล้านคนเข้ามาหางานทำในเมืองและไม่สามารถกลับบ้านได้เนื่องจากถูกโกงแรงงาน ซึ่งข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ในปี 2004 มีการติดค้างค่าแรงกันถึง 20 ล้านหยวน

อย่างไรก็ตาม ในซีกรัฐบาลนั้นก็ได้ออกมาสัญญาแล้วว่าจะจัดการกับนายจ้างที่ไร้คุณธรรม และสั่งให้บริษัท ผู้รับเหมาจ่ายค่าจ้างที่ค้างไว้ให้กับแรงงานต่างถิ่นก่อนวันตรุษจีนที่จะมีขึ้นในปลายเดือนนี้ อันเป็นช่วงที่คนห่างบ้านแทบทุกคนบนแผ่นดินใหญ่อยากกลับไปเยี่ยมครอบครัว
แต่สำหรับแรงงานส่วนใหญ่ทำงานโดยไม่ได้ทำสัญญาแบบถูกกฎหมาย จึงแทบจะหมดหวังกับการใช้ข้อกฎหมายมาโต้แย้ง “ พวกเราเคยไปร้องทุกข์กับหน่วยงานทางกฎหมายแล้ว แต่พวกเขากลับบอกว่าเราไม่มีสิทธิ์เพราะว่าเราทำงานอย่างผิดกฎหมาย" เกาซิงซิน แรงงานวัย 35 จากมณฑลหูหนันกล่าว “มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราเซ็นสัญญากับนายจ้างของเราแล้วนี่”
ทั้งนี้ เรื่องราวการฆ่าตัวตายและใช้ความรุนแรงของแรงงานต่างถิ่นที่เข้าตาจน กลายเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจกับชะตากรรมของพวกเขา หลายต่อหลายคนถึงกับกระโดดลงมาจากตึกที่พวกเขาลงมือสร้างมันมา และหลายรายรวมตัวกันบุกเข้าทำร้ายร่างกายนายจ้าง อย่างที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีที่แล้ว แรงงานที่ถูกเอาเปรียบกลุ่มหนึ่งใช้แท่งเหล็กฟาดไปตามแขนขานายจ้างจนหัก และพยายามขู่ด้วยมีดอีโต้
เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านั้นในเดือนพฤษภาคม ก็มีแรงงานคนหนึ่งแสดงโทสะและฆ่าคนตายไป 4 คน หลังจากโดนดูถูกจากผู้จัดการที่เขาเข้าไปอ้างสิทธิการได้รับค่าจ้างที่ยังค้างอยู่

“ผมเข้าใจความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากแรงงานอพยพทั้งเรื่องที่พวกเขาต้องขโมยหรือทำสิ่งเลวร้ายอื่นๆ” ถันจินเจ๋อจากเสฉวนกล่าว “พวกเราแค่ต้องการค่าตอบแทนในงานของเราเหมือนกับคนอื่นๆ”
กลุ่มของเว่ยเจ๋อปอ เกาซิงซินและถันจินเจ๋อ เคยเรียกร้องไปยังสายด่วนที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ยังไม่ได้ค่าแรงโดยเฉพาะ แต่ว่าทนายอาสาที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือพวกเขากลับมาปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว และยังแสดงท่าทีว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
นอกจากนั้น พวกเขายังโดนไล่ออกมาจากห้องพักในไซต์งาน ซึ่งขณะนี้กว่า 10 ชีวิตต้องเบียดกันอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนและหลบมุมไร้เงาแดดส่องอยู่ใกล้กับที่ทิ้งขยะของตึกสูงแห่งหนึ่ง
คนกลุ่มนี้มีความปรารถนาที่จะบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว และยังรักชาติอีกด้วย “พวกเราไม่ได้บอกว่ารัฐบาลใช้ไม่ได้” เกาฉางหมิงบอก “เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในอังกฤษ ไม่ใช่เหรอ” อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ต้องการให้เปิดเผยที่อยู่ปัจจุบันเพราะกลัวตำรวจ “ตำรวจข่มขู่เรา” เว่ยบอก “พวกเขาเป็นกลุ่มผลประโยชน์เดียวกันกับนายจ้างของเรา”
แม้ว่าหยาดเหงื่อและแรงงานของแรงงานชนบทนับล้านชีวิตจะเป็นตัวผลักดันให้เมืองในแผ่นดินใหญ่ส่งประกายความทันสมัยได้อย่างทุกวันนี้ แต่ในมุมมองของพวกเขาแล้ว กลับไม่ได้ภูมิใจในจุดนี้เลย “พวกเราทำงานที่สกปรกที่สุด หนักที่สุด และทุกคนก็ดูถูกเราด้วย” เการะบายความรู้สึก.
เรียบเรียงจาก ไชน่าเดลี่
“ผมยังไม่มีความกล้าพอจะบอกกับครอบครัว แต่ผมไม่อาจกลับบ้านไปโดยไม่มีเงิน” เว่ยวัย 35 ปีกล่าว ขณะนั่งอยู่ในห้องพักเล็กๆ ที่มีแสงขมุกขมัวของหลอดไฟเพียงดวงเดียวในเขตก่อสร้างแห่งหนึ่งในปักกิ่ง
“ดูสิ ผมเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว รอแค่การจ่ายเงินเท่านั้น” เว่ยชี้ไปยังกองสัมภาระที่วางอยู่บนเตียงที่คลุมไว้ด้วยผ้านวมสกปรกๆ ผืนหนึ่ง
กรณีของเว่ยเป็นหนึ่งในกรณีที่เกิดขึ้นมากมายกับแรงงานอพยพนับล้านชีวิตที่เข้าเมืองมาเพื่อแสวงหาโอกาสและรายได้ที่ดีกว่าในชนบท พวกเขาหวังจะมีส่วนร่วมเชยชมกับเศรษฐกิจจีนที่กำลังทะยานไปอย่างสวยงาม แต่แล้วก็ต้องผิดหวัง ดังในช่วงหลายปีที่ผ่าน มีการประเมินว่ามีชาวนากว่า 100 ล้านคนเข้ามาหางานทำในเมืองและไม่สามารถกลับบ้านได้เนื่องจากถูกโกงแรงงาน ซึ่งข้อมูลจากสำนักข่าวซินหัวระบุว่า ในปี 2004 มีการติดค้างค่าแรงกันถึง 20 ล้านหยวน
อย่างไรก็ตาม ในซีกรัฐบาลนั้นก็ได้ออกมาสัญญาแล้วว่าจะจัดการกับนายจ้างที่ไร้คุณธรรม และสั่งให้บริษัท ผู้รับเหมาจ่ายค่าจ้างที่ค้างไว้ให้กับแรงงานต่างถิ่นก่อนวันตรุษจีนที่จะมีขึ้นในปลายเดือนนี้ อันเป็นช่วงที่คนห่างบ้านแทบทุกคนบนแผ่นดินใหญ่อยากกลับไปเยี่ยมครอบครัว
แต่สำหรับแรงงานส่วนใหญ่ทำงานโดยไม่ได้ทำสัญญาแบบถูกกฎหมาย จึงแทบจะหมดหวังกับการใช้ข้อกฎหมายมาโต้แย้ง “ พวกเราเคยไปร้องทุกข์กับหน่วยงานทางกฎหมายแล้ว แต่พวกเขากลับบอกว่าเราไม่มีสิทธิ์เพราะว่าเราทำงานอย่างผิดกฎหมาย" เกาซิงซิน แรงงานวัย 35 จากมณฑลหูหนันกล่าว “มันไม่ยุติธรรมเลย เพราะเราเซ็นสัญญากับนายจ้างของเราแล้วนี่”
ทั้งนี้ เรื่องราวการฆ่าตัวตายและใช้ความรุนแรงของแรงงานต่างถิ่นที่เข้าตาจน กลายเป็นประเด็นที่ต้องให้ความสนใจกับชะตากรรมของพวกเขา หลายต่อหลายคนถึงกับกระโดดลงมาจากตึกที่พวกเขาลงมือสร้างมันมา และหลายรายรวมตัวกันบุกเข้าทำร้ายร่างกายนายจ้าง อย่างที่เกิดขึ้นในเดือนกันยายนปีที่แล้ว แรงงานที่ถูกเอาเปรียบกลุ่มหนึ่งใช้แท่งเหล็กฟาดไปตามแขนขานายจ้างจนหัก และพยายามขู่ด้วยมีดอีโต้
เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านั้นในเดือนพฤษภาคม ก็มีแรงงานคนหนึ่งแสดงโทสะและฆ่าคนตายไป 4 คน หลังจากโดนดูถูกจากผู้จัดการที่เขาเข้าไปอ้างสิทธิการได้รับค่าจ้างที่ยังค้างอยู่
“ผมเข้าใจความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากแรงงานอพยพทั้งเรื่องที่พวกเขาต้องขโมยหรือทำสิ่งเลวร้ายอื่นๆ” ถันจินเจ๋อจากเสฉวนกล่าว “พวกเราแค่ต้องการค่าตอบแทนในงานของเราเหมือนกับคนอื่นๆ”
กลุ่มของเว่ยเจ๋อปอ เกาซิงซินและถันจินเจ๋อ เคยเรียกร้องไปยังสายด่วนที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือแรงงานที่ยังไม่ได้ค่าแรงโดยเฉพาะ แต่ว่าทนายอาสาที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยเหลือพวกเขากลับมาปรากฏตัวแค่ครั้งเดียว และยังแสดงท่าทีว่าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้
นอกจากนั้น พวกเขายังโดนไล่ออกมาจากห้องพักในไซต์งาน ซึ่งขณะนี้กว่า 10 ชีวิตต้องเบียดกันอยู่ในห้องเล็กๆ ที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนและหลบมุมไร้เงาแดดส่องอยู่ใกล้กับที่ทิ้งขยะของตึกสูงแห่งหนึ่ง
คนกลุ่มนี้มีความปรารถนาที่จะบอกว่าพวกเขาไม่ใช่คนเลว และยังรักชาติอีกด้วย “พวกเราไม่ได้บอกว่ารัฐบาลใช้ไม่ได้” เกาฉางหมิงบอก “เหตุการณ์แบบนี้ก็เคยเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในอังกฤษ ไม่ใช่เหรอ” อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ต้องการให้เปิดเผยที่อยู่ปัจจุบันเพราะกลัวตำรวจ “ตำรวจข่มขู่เรา” เว่ยบอก “พวกเขาเป็นกลุ่มผลประโยชน์เดียวกันกับนายจ้างของเรา”
แม้ว่าหยาดเหงื่อและแรงงานของแรงงานชนบทนับล้านชีวิตจะเป็นตัวผลักดันให้เมืองในแผ่นดินใหญ่ส่งประกายความทันสมัยได้อย่างทุกวันนี้ แต่ในมุมมองของพวกเขาแล้ว กลับไม่ได้ภูมิใจในจุดนี้เลย “พวกเราทำงานที่สกปรกที่สุด หนักที่สุด และทุกคนก็ดูถูกเราด้วย” เการะบายความรู้สึก.
เรียบเรียงจาก ไชน่าเดลี่