วันนี้ขอคุยเรื่องแมวสักหน่อย ย้ำเรื่องแมวนะครับ ไม่ใช่เรื่องแม้ว ถึงจะมีเสียงใกล้เคียงกันก็ตามทั้งในภาษาไทยและภาษาจีน
ภาษาจีนเรียก 猫มาว māo คนไทยเรียก แมว บางทียังเรียกอย่างเอ็นดูเป็น..เหมียว ส่วนแม้วนั้น ภาษาจีนเรียก 苗เหมียว miáo หากพิจารณาจากรูปศัพท์ย่อมหมายถึงชนเผ่าที่ทำไร่ทำนาเป็นหลัก แม้จะเป็นนาแบบไร่เลื่อนลอย ย้อนไปดูคำว่า 猫 ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 苗 หมายถึงสัตว์สี่เท้าซึ่งชนเผ่าเหมียวเลี้ยงไว้คอยดูแลไร่นา เพราะมักมีสัตว์ตัวแสบที่แอบมากินพืชผลเป็นประจำ อย่างที่เราเรียก.. หนู นั่นไงครับ
ที่คุยเรื่องแมวในคราวนี้ เพราะวันก่อนมีคนเอ่ยเรื่องแมวดำแมวขาวขึ้นมา แล้วยังมีใครไม่รู้ไปอ้างว่าเป็นคำพูดของเหมาเจ๋อตง นับว่าเป็นเรื่องคลาดเคลื่อนสักหน่อยจึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มาขยายต่อให้กระจ่างสักนิด
ย้อนหลังไปในยุคที่ประเทศจีนเกิดความวุ่นวายเพราะมีการแย่งชิงอำนาจกันไปทั่วแผ่นดิน
ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีน 中国共产党จง กว๋อ ก้ง ฉ่าน ต่าง Zhōng guó gòng chǎn dǎng ยังเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายที่พยายามจะยึดอำนาจรัฐจาก พรรคประชารัฐ 国民党กว๋อหมินต่าง ( ก๊กมินตั๋ง) Guó mín dǎng ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ( พคจ.) ต้องปลุกระดมประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทซึ่งไม่มีการศึกษามากนักให้จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาล การจะดึงคนที่ไม่มีการศึกษามากนักมาเข้าร่วมขบวนการ ย่อมไม่อาจใช้ศัพท์แสงสูงๆ ไปจูงใจให้มาร่วมงานได้
ยกตัวอย่างคนที่พูดภาษาไทยให้คนไทยด้วยกันฟังแล้วยังต้องไปอธิบายความอีกต่อหนึ่งว่าที่พูดไปนั้นหมายถึงอะไร ย่อมจะเอาชนะการทำศึกสงครามยืดเยื้อได้ลำบาก
เหมาเจ๋อตง 毛泽东 Máo zé dōng ผู้นำ พคจ. เชี่ยวชาญนักในการใช้คำพูดที่ดึงมวลชนให้มาเป็นพวก และมีนักพูดฝีปากดีอยู่ในทีมงานมากมาย ผิดกับฝ่าย รัฐบาลตั้งแต่หัวหน้าใหญ่จนกระทั่งบริวารสอพลอใกล้ชิดมักถนัดในการพูดแล้วทำให้คนเหม็นหน้า ประชาชนจึงหันไปหา พคจ.มากขึ้นและหันหลังให้กับ พรรคกว๋อหมินต่าง ( กมต.) ทุกที
ในที่สุด กมต.จึงต้องเผ่นไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่เกาะไถวาน (ไต้หวัน) 台湾 Tái wān ซึ่งมีพื้นที่แค่ 36,000 ( สามหมื่นหกพัน) ตารางกิโลเมตร ปล่อยให้ พคจ. เข้าปกครองแผ่นดินจีนซึ่งมีพื้นที่ 9,600,000 (เก้าล้านหกแสน) ตารางกิโลเมตร กระทั่งทุกวันนี้ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมาได้คือคำพูดนั่นแหละครับ !!!
ความจริงของความจริงในการต่อสู้ชิงแผ่นดินนั้น พคจ.เสียเปรียบทุกด้านในตอนแรกแต่สิ่งที่ พคจ.มีมากกว่าคือการพูดที่ได้น้ำใจคนและสามารถใช้คำพูดง่ายๆ ดึงคนไปเป็นพวก ฝ่าย กมต.ชอบใช้วาจาดุด่าไล่ผู้คนไปให้พ้น
ยอดคนผู้หนึ่งในทีมงานของเหมาเจ๋อตงมีนาม 刘伯承หลิวป๋อเฉิง Liú bó chéng ฉายา มังกรตาเดียว 独眼龙 ตู๋ เหยี่ยน หลง dú yǎn lóng ที่ได้ฉายานี้เพราะในการปะทะกับศัตรูคราวหนึ่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1916 หลิวป๋อเฉิงถูกกระสุนปืนยิงทะลุนัยน์ตาข้างขวา จึงมีตาเพียงข้างเดียวตั้งแต่บัดนั้น แต่ท่านไม่ได้เสียใจกับการสูญเสียครั้งนั้น เพราะท่านมีสิ่งที่ดีกว่าดวงตาคือคำพูดซึ่งสอนคนให้เข้าใจได้ง่ายแล้วนำไปปฏิบัติอย่างเห็นผล
ระหว่างพำนักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีวิกฤตจากการที่พวกหนูผีชุกชุมมาก พวกมันกัดกินไม่เพียงแต่พืชผลเท่านั้น ยังกินแม้กระทั่งสายพานลำเลียงหรืออะไรๆ ที่ขวางหน้าก็กินจนหมด กระทั่งที่จอดเกวียนมันก็กินได้กินดี หลิวป๋อเฉิงจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นควรแก้ปัญหาด้วยการไปหาแมวมาจับหนู ทหารป่าหน้าตาเอ๋อเหรอคนหนึ่งถามทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า จะเอาแมวสีอะไรถึงจะดี
มังกรตาเดียวมองหน้าทหารป่าเอ๋อเหรอซื่อบื้อแล้วตอบอย่างอารมณ์ดีว่า
不管黄猫黑猫,能逮住耗子就是好猫。
ปู้ ก่วน หวง มาว เฮย มาว , เหนิง ต่าย จู้ ฮ่าว จื่อ จิ้ว ซื่อ ห่าว มาว
Bù guǎn huáng māo hēi māo, néng dǎi zhù hào zi jiù shì hǎo māo .
ไม่ว่าแมวเหลืองแมวดำ ถ้าจับหนูได้ย่อมเป็นแมวดีทั้งนั้น
ภายหลังเติ้งเสี่ยวผิงซึ่งเคยเป็นมือขวาของหลิวป๋อเฉิงได้นำคำพูดนี้ไปพูดต่อ โดยพูดเปลี่ยนสีแมวเหลืองเป็นแมวขาว คำพูดนี้ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงต้องถูกปลดออก เพราะถูกพวกแก๊งสี่คนใส่ไฟว่าไม่พูดถึงแมวแดง ต่อมาเติ้งเสี่ยวผิงหวนกลับมาเป็น บิ๊กเติ้ง คำพูดเรื่องแมวขาวแมวดำจึงกลายเป็นที่รู้จักทั่วไปในระดับโลกและนึกว่าท่านเป็นผู้พูดเรื่องแมวเป็นคนแรก แต่ต้นตำรับตัวจริงเสียงจริงคือมังกรตาเดียวครับ
ภาษาจีนเรียก 猫มาว māo คนไทยเรียก แมว บางทียังเรียกอย่างเอ็นดูเป็น..เหมียว ส่วนแม้วนั้น ภาษาจีนเรียก 苗เหมียว miáo หากพิจารณาจากรูปศัพท์ย่อมหมายถึงชนเผ่าที่ทำไร่ทำนาเป็นหลัก แม้จะเป็นนาแบบไร่เลื่อนลอย ย้อนไปดูคำว่า 猫 ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับ 苗 หมายถึงสัตว์สี่เท้าซึ่งชนเผ่าเหมียวเลี้ยงไว้คอยดูแลไร่นา เพราะมักมีสัตว์ตัวแสบที่แอบมากินพืชผลเป็นประจำ อย่างที่เราเรียก.. หนู นั่นไงครับ
ที่คุยเรื่องแมวในคราวนี้ เพราะวันก่อนมีคนเอ่ยเรื่องแมวดำแมวขาวขึ้นมา แล้วยังมีใครไม่รู้ไปอ้างว่าเป็นคำพูดของเหมาเจ๋อตง นับว่าเป็นเรื่องคลาดเคลื่อนสักหน่อยจึงขออนุญาตนำเรื่องนี้มาขยายต่อให้กระจ่างสักนิด
ย้อนหลังไปในยุคที่ประเทศจีนเกิดความวุ่นวายเพราะมีการแย่งชิงอำนาจกันไปทั่วแผ่นดิน
ขณะนั้น พรรคคอมมิวนิสต์จีน 中国共产党จง กว๋อ ก้ง ฉ่าน ต่าง Zhōng guó gòng chǎn dǎng ยังเป็นพรรคการเมืองนอกกฎหมายที่พยายามจะยึดอำนาจรัฐจาก พรรคประชารัฐ 国民党กว๋อหมินต่าง ( ก๊กมินตั๋ง) Guó mín dǎng ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
พรรคคอมมิวนิสต์จีน ( พคจ.) ต้องปลุกระดมประชาชนส่วนใหญ่ในชนบทซึ่งไม่มีการศึกษามากนักให้จับอาวุธขึ้นต่อสู้กับรัฐบาล การจะดึงคนที่ไม่มีการศึกษามากนักมาเข้าร่วมขบวนการ ย่อมไม่อาจใช้ศัพท์แสงสูงๆ ไปจูงใจให้มาร่วมงานได้
ยกตัวอย่างคนที่พูดภาษาไทยให้คนไทยด้วยกันฟังแล้วยังต้องไปอธิบายความอีกต่อหนึ่งว่าที่พูดไปนั้นหมายถึงอะไร ย่อมจะเอาชนะการทำศึกสงครามยืดเยื้อได้ลำบาก
เหมาเจ๋อตง 毛泽东 Máo zé dōng ผู้นำ พคจ. เชี่ยวชาญนักในการใช้คำพูดที่ดึงมวลชนให้มาเป็นพวก และมีนักพูดฝีปากดีอยู่ในทีมงานมากมาย ผิดกับฝ่าย รัฐบาลตั้งแต่หัวหน้าใหญ่จนกระทั่งบริวารสอพลอใกล้ชิดมักถนัดในการพูดแล้วทำให้คนเหม็นหน้า ประชาชนจึงหันไปหา พคจ.มากขึ้นและหันหลังให้กับ พรรคกว๋อหมินต่าง ( กมต.) ทุกที
ในที่สุด กมต.จึงต้องเผ่นไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่เกาะไถวาน (ไต้หวัน) 台湾 Tái wān ซึ่งมีพื้นที่แค่ 36,000 ( สามหมื่นหกพัน) ตารางกิโลเมตร ปล่อยให้ พคจ. เข้าปกครองแผ่นดินจีนซึ่งมีพื้นที่ 9,600,000 (เก้าล้านหกแสน) ตารางกิโลเมตร กระทั่งทุกวันนี้ ตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมาได้คือคำพูดนั่นแหละครับ !!!
ความจริงของความจริงในการต่อสู้ชิงแผ่นดินนั้น พคจ.เสียเปรียบทุกด้านในตอนแรกแต่สิ่งที่ พคจ.มีมากกว่าคือการพูดที่ได้น้ำใจคนและสามารถใช้คำพูดง่ายๆ ดึงคนไปเป็นพวก ฝ่าย กมต.ชอบใช้วาจาดุด่าไล่ผู้คนไปให้พ้น
ยอดคนผู้หนึ่งในทีมงานของเหมาเจ๋อตงมีนาม 刘伯承หลิวป๋อเฉิง Liú bó chéng ฉายา มังกรตาเดียว 独眼龙 ตู๋ เหยี่ยน หลง dú yǎn lóng ที่ได้ฉายานี้เพราะในการปะทะกับศัตรูคราวหนึ่งเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ.1916 หลิวป๋อเฉิงถูกกระสุนปืนยิงทะลุนัยน์ตาข้างขวา จึงมีตาเพียงข้างเดียวตั้งแต่บัดนั้น แต่ท่านไม่ได้เสียใจกับการสูญเสียครั้งนั้น เพราะท่านมีสิ่งที่ดีกว่าดวงตาคือคำพูดซึ่งสอนคนให้เข้าใจได้ง่ายแล้วนำไปปฏิบัติอย่างเห็นผล
ระหว่างพำนักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ชาวบ้านมาเล่าให้ฟังว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีวิกฤตจากการที่พวกหนูผีชุกชุมมาก พวกมันกัดกินไม่เพียงแต่พืชผลเท่านั้น ยังกินแม้กระทั่งสายพานลำเลียงหรืออะไรๆ ที่ขวางหน้าก็กินจนหมด กระทั่งที่จอดเกวียนมันก็กินได้กินดี หลิวป๋อเฉิงจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นควรแก้ปัญหาด้วยการไปหาแมวมาจับหนู ทหารป่าหน้าตาเอ๋อเหรอคนหนึ่งถามทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า จะเอาแมวสีอะไรถึงจะดี
มังกรตาเดียวมองหน้าทหารป่าเอ๋อเหรอซื่อบื้อแล้วตอบอย่างอารมณ์ดีว่า
不管黄猫黑猫,能逮住耗子就是好猫。
ปู้ ก่วน หวง มาว เฮย มาว , เหนิง ต่าย จู้ ฮ่าว จื่อ จิ้ว ซื่อ ห่าว มาว
Bù guǎn huáng māo hēi māo, néng dǎi zhù hào zi jiù shì hǎo māo .
ไม่ว่าแมวเหลืองแมวดำ ถ้าจับหนูได้ย่อมเป็นแมวดีทั้งนั้น
ภายหลังเติ้งเสี่ยวผิงซึ่งเคยเป็นมือขวาของหลิวป๋อเฉิงได้นำคำพูดนี้ไปพูดต่อ โดยพูดเปลี่ยนสีแมวเหลืองเป็นแมวขาว คำพูดนี้ทำให้เติ้งเสี่ยวผิงต้องถูกปลดออก เพราะถูกพวกแก๊งสี่คนใส่ไฟว่าไม่พูดถึงแมวแดง ต่อมาเติ้งเสี่ยวผิงหวนกลับมาเป็น บิ๊กเติ้ง คำพูดเรื่องแมวขาวแมวดำจึงกลายเป็นที่รู้จักทั่วไปในระดับโลกและนึกว่าท่านเป็นผู้พูดเรื่องแมวเป็นคนแรก แต่ต้นตำรับตัวจริงเสียงจริงคือมังกรตาเดียวครับ