xs
xsm
sm
md
lg

ตาม'เซี่ยงเส้าหลง'ไป'เจาะเวลาหาจิ๋นซี'(1)

เผยแพร่:   โดย: วริษฐ์ ลิ้มทองกุล


"แพ้แล้วอย่างไร ชนะแล้วอย่างไร ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้แท้จริงแล้วก็มิมีความสำคัญอะไร หากเพียงแค่ได้ดำเนินชีวิตอย่างองอาจ ฝากชื่อเสียง เกียรติยศ และคุณงามความดีเหลือทิ้งไว้ในหน้าบันทึกของประวัติศาสตร์ก็ถือได้ว่าตายอย่างไม่เสียชาติเกิด" - - - เซี่ยงเส้าหลง แห่ง เจาะเวลาหาจิ๋นซี

ณ เบื้องหน้า ขณะที่กำลังตื่นตะลึงไปกับหุ่นม้าและทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้:秦始皇帝) ที่ยืนเรียงรายกันนับพันๆ ตัวกับแนวดินยาวไปจนจรดห้วงสายตา ขณะเดียวกันในใจของผมก็หวนรำลึกไปถึงเรื่องราวอันน่าตื่นตะลึงใน 'เจาะเวลาหาจิ๋นซี' นวนิยายที่เมื่อหลายปีก่อนผมได้รับความกรุณาจากพี่อู๋ บก.หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันให้หยิบยืมเวียนอ่านกับพี่ๆ เพื่อนๆ คนอื่นๆ จนจบ 8 เล่ม

จากปลายปากกาของหวงอี้ 'เจาะเวลาหาจิ๋นซี' ทำให้ผมได้รู้จักกับ ฮ่องเต้พระองค์แรก จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งประวัติศาสตร์จีนเป็นครั้งแรกและก็ด้วยนวนิยายเรื่องนี้เองที่ถือเป็นแรงกระตุ้นให้ผมขวนขวายที่จะเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับประเทศจีน ชาวจีน และประวัติศาสตร์จีนจากที่ไม่มีอยู่ในคลังสมองเลย ให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ

แม้ว่า เจาะเวลาหาจิ๋นซี (寻秦记) จะเป็นนิยายกำลังภายในที่แอบใส่กลิ่นนิยายวิทยาศาสตร์ปนเอาไว้ในตอนต้น แต่หวงอี้ก็เขียนนิยายกำลังภายในเรื่องเยี่ยมนี้ขึ้นจากเค้าโครงของประวัติศาสตร์จริง โดยเขาใช้วิธีการต่อเติมช่องว่างในประวัติศาสตร์ด้วยจินตนาการส่วนตัวอันบรรเจิด ฉุดดึงผู้อ่านให้เคลิบเคลิ้มไปกับเรื่องราวในนิยายได้อย่างไม่ขัดเขินกับประวัติศาสตร์

ในความเป็นจริง ปัญหาที่ว่าใครเป็นพระบิดาที่แท้จริงของจิ๋นซีฮ่องเต้นั้นถึงปัจจุบันก็ยังเป็นเรื่องที่ยังคงถกเถียง และนักประวัติศาสตร์จีนก็ยังไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ แม้ในบันทึกประวัติอย่างเป็นทางการ จะระบุว่าพระบิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้คือ อ๋องจวงเซียง (庄襄王) แห่งรัฐฉินที่ในเวลาต่อมากลายเป็นผู้ปกครองรัฐฉิน แต่ก็มีนักประวัติศาสตร์จำนวนไม่น้อยที่สันนิษฐานว่าแท้จริงแล้ว จิ๋นซีฮ่องเต้ (หรือชื่อเดิมคือ อิ๋งเจิ้ง:嬴政) นั้นมิได้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์แห่งรัฐฉิน แต่เป็นพ่อค้านาม ...... หลี่ว์ปู้เหวย

หลี่ว์ปู้เหวย (吕不韦; ปีเกิดไม่ทราบแน่ชัด-235 ปีก่อนคริศต์ศักราช) เป็นพ่อค้าวาณิชจากรัฐหาน (韩国) ที่เดินทางไปค้าขายข้ามรัฐ จากรัฐโน้นไปรัฐนี้ โดยเป็นพ่อค้าที่มีฐานะร่ำรวยและเป็นผู้กว้างขวางในสมัยจ้านกั๋ว ทั้งนี้ด้วยความที่เป็นพ่อค้า หลี่ว์ปู้เหวยจึงให้ความสนใจกับสถานการณ์ทางการเมืองของจีนในขณะนั้นเป็นอย่างยิ่ง

ในเวลานั้นเอง กษัตริย์แห่งรัฐฉิน (อ๋องเจาเซียง:昭襄王) มีรัชทายาทอยู่ผู้หนึ่งนาม อิ๋งจู้ (嬴柱 ในเวลาต่อมาคือ อ๋องเสี้ยวเหวิน:孝文王 แห่งรัฐฉิน) โดยรัชทายาทอิ๋งจู้นั้นมีพระสนมเอกนามหัวหยาง (华阳) ที่อิ๋งจู้รักใคร่เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามความรักระหว่างรัชทายาทอิ๋งจู้กับพระสนมเอกหัวหยางกลับกลายเป็นไม่สดใสนัก เนื่องจาก พระสนมหัวหยางไม่สามารถให้กำเนิดทายาทได้ ในขณะที่นางสนมอีกคนหนึ่งกลับให้กำเนิดบุตรชาย นาม อิ๋งจื๋อฉู่ (嬴子楚) ออกมา โดยในเวลาต่อมา อิ๋งจื๋อฉู่ ได้ถูกส่งไปเป็นตัวประกันที่รัฐเจ้า (赵国)

พอหลี่ว์ปู้เหวยทราบถึงเรื่องราวดังกล่าวก็บังเกิดความคิดทะเยอทะยาน โดยหลังจากที่พ่อค้าผู้นี้คิดคำนวณผลกำไร-ขาดทุนอย่างละเอียดลออแล้วก็ออกอุบายเข้าไปตีสนิทกับอิ๋งจื๋อฉู่ บรรณาการเชื้อพระวงศ์แห่งรัฐฉินผู้นี้ด้วยทรัพย์สมบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งยังเลี้ยงดูปูเสื่ออนาคตรัชทายาทของรัฐฉินผู้นี้อย่างดิบดี

เมื่อแผนตีสนิทสำเร็จแล้ว หลี่ว์ปู้เหวยก็ดำเนินแผนการขั้นต่อไป ด้วยการกล่าวแนะนำอิ๋งจื๋อฉู่ในการสนทนาครั้งหนึ่งว่า "อีกไม่นานพระบิดาของท่านก็ต้องขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งรัฐฉิน แต่พระสนมเอกหัวหยางกลับไร้ทายาท ถ้าหากท่านต้องการเป็นรัชทายาทละก็ วิธีเดียวที่จะทำได้ก็คือ จงเอาอกเอาใจพระบิดาและสนมเอกหัวหยางให้มากเข้าไว้ ... " เมื่อได้ฟังดังนั้นอิ๋งจื๋อฉู่ก็ตอบตกลง

ในการดำเนินการตามแผน พ่อค้าหลี่ว์ได้ทุ่มทรัพย์ไปเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างชื่อเสียงให้กับอิ๋งจื๋อฉู่ เพื่อให้ชื่ออิ๋งจื๋อฉู่เตะตาสนมเอกหัวหยาง ในขณะเดียวกันก็ดำเนินการผ่านพี่สาวของสนมเอกหัวหยางกดดันให้สนมเอกหัวหยางเกิดความหวั่นเกรงว่าหากไม่มีบุตร ในที่สุดพระสวามีก็จะเกิดความแชเชือน ซึ่งในที่สุดแผนการขั้นที่สองของพ่อค้าหลี่ว์ก็สำเร็จเมื่อสนมเอกหัวหยางตกลงปลงใจรับอิ๋งจื๋อฉู่ไว้เป็นบุตรบุญธรรมของตน

ต่อมาวันหนึ่ง หลี่ว์ปู้เหวยก็ถือโอกาสจัดงานเลี้ยงและเชิญอิ๋งจื๋อฉู่มาที่คฤหาสน์ของตนเอง โดยวางแผนไว้ว่าระหว่างงานเลี้ยงจะส่งนางบำเรอแซ่เจ้า สาวงามที่สวยและมีเสน่ห์ที่สุดในคลังสาวงามของตนออกมาหว่านเสน่ห์ให้อิ๋งจื๋อฉู่หลงใหล โดยในเวลาต่อมา เมื่ออิ๋งจื๋อฉู่เห็นนางบำเรอแซ่เจ้าก็อดไม่ได้จริงๆ ทั้งยังออกปากขอตัวนางบำเรอแซ่เจ้ามาเป็นของตัวโดยทันที ซึ่งหลี่ว์ปู้เหวยก็ตอบตกลงด้วยใจที่กระหยิ่มยิ้มย่อง เนื่องจากหลี่ว์ปู้เหวยรู้อยู่แก่ใจว่าในเวลานั้นนางบำเรอแซ่เจ้าผู้นี้ได้ตั้งท้องลูกของตนเอาไว้แล้ว และในอนาคตข้างหน้าหากบุตรที่นางบำเรอแซ่เจ้าคลอดออกมาเป็นบุตรชาย เลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองก็จะมีสิทธิ์กลายเป็นถึงผู้ปกครองแห่งรัฐฉิน

ในที่สุด ฝันของหลี่ว์ปู้เหวยก็เป็นความจริง เมื่อนางบำเรอแซ่เจ้าคลอดบุตรชายออกมา และได้นามว่า อิ๋งเจิ้ง(嬴政) โดยหลี่ว์ปู้เหวยนั้นก็มีศักดิ์เป็นถึงลุงของอิ๋งเจิ้ง ..... อิ๋งเจิ้งผู้ที่ในเวลาต่อมากลายเป็น 'จิ๋นซีฮ่องเต้' บุรุษผู้รวบรวมแผ่นดินจีนเข้าเป็นหนึ่งเดียว และตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์แรกในประวัติศาสตร์จีน*

อย่างไรก็ตาม แท้จริงแล้วพระบิดาของจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นใครนั้น ถึงปัจจุบันปริศนาก็ยังคงปริศนาที่เหลือทิ้งเพียงร่องรอยอันเล็กน้อยให้ชนรุ่นหลังคาดเดา และสันนิษฐานกันไปได้ต่างๆ นานา ......

ภาพหุ่นม้าและทหารดินเผาตรงหน้า ดึงสติของผมให้กลับมาอีกครา

ณ เวลานี้ เสี้ยวหนึ่งในปริศนาของจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ปรากฎเป็นความจริง เป็นวัตถุจับต้องได้ เป็นโบราณวัตถุอายุยาวนานกว่า 20 ศตวรรษอันหาค่ามิได้กว่า 6,000 ตัว ยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของผมแล้ว

จาก บันทึกประวัติศาสตร์ (สื่อจี้:史记) หนังสือประวัติศาสตร์ที่รวบรวมเอาเรื่องราวประวัติศาสตร์หลายยุคหลายสมัยและหนังสือประวัติศาสตร์ทางการเล่มแรกของจีน ซือหม่าเชียน (司马迁) กล่าวพรรณนาถึง สุสานของปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฉินเอาไว้ว่า

โลงศพของจักรพรรดิองค์แรกแห่งแผ่นดินฉิน หล่อขึ้นด้วยทองแดง ตั้งอยู่ ณ โถงใจกลางสุสาน ที่ก่อสร้างและประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาราวกับพระราชวังใต้ดิน เพดานเลี่ยมไข่มุกและเพชรพลอยเป็บรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว กับอัญมณีที่ประดับบนพื้นโถง รูปสายน้ำ แม่น้ำ และมหาสมุทร ด้านบนเป็นสวรรค์ ด้านล่างเป็นผืนพิภพ สว่างไสวด้วยตะเกียงน้ำมันปลาวาฬที่สว่างอยู่เป็นนิรันดร์

นอกจากนี้ซือหม่าเชียนยังระบุไว้ด้วยว่า สุสานแห่งนี้บรรจุไว้ด้วยทรัพย์สมบัติจำนวนมหาศาล แต่ก็ถูกวางไว้ด้วยกับดักเกาทัณฑ์ที่พร้อมจะปลิดชีพผู้บุกรุกทุกเมื่อเช่นกัน ขณะที่สายน้ำ แม่น้ำ และมหาสมุทรที่ว่านั้นว่ากันว่าก็คือ สารปรอทเข้มข้นที่เป็นอันตรายอย่างยิ่งหากเข้าสู่ร่างกายมนุษย์

นับจาก กองทัพของฌ้อปาอ๋อง-เซี่ยงอี่ว์ (项羽) ที่บุกเข้าเมืองเสียนหยาง เผาทำลายพระราชวังเออฝังกง (阿房宫) และเลยมาบุกทำลายสุสานของจิ๋นซีฮ่องเต้เป็นการล้างแค้นเป็นต้นมา ด้วยคำร่ำลือที่อยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ของซือหม่าเชียนทำให้ตลอดระยะเวลา 2,000 กว่าปีที่ผ่านมา แม้สุสานฮ่องเต้องค์อื่นๆ จะถูกขุดจนพรุนไปหมดแล้ว แต่เชื่อกันว่ายังไม่มีผู้ใดกล้ากล้ำกรายเข้าไปขุดค้นหาสมบัติ ณ สุสานจักรพรรดิแห่งนี้ (หรืออาจจะมีแต่ไม่มีผู้ใดทราบก็เป็นได้)**

ขณะที่ถึงปัจจุบันรัฐบาลจีนก็ยังไม่กล้าให้นักโบราณคดีทำการขุดค้น ด้วยความหวั่นเกรงว่าหากดำเนินการเข้าจริง งบประมาณ และเทคโนโลยีที่มีอยู่ปัจจุบันจะไม่สามารถรักษาสมบัติของมวลมนุษย์ชาติแห่งนี้ไว้ให้อยู่ในสภาพเดิมได้ สู้ปล่อยทิ้งไว้รอเวลาให้วันที่ประเทศจีนพร้อมเสียก่อนค่อยขุดคงจะดีกว่า

แม้ปริศนาสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้จะเป็นเรื่องราวที่มืดบอดสำหรับเราในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม ณ พื้นที่ซึ่งห่างจากสุสานจิ๋นซีไปทางทิศตะวันออกราว 1.5 กิโลเมตรนั้น กลับมีการค้นพบกองทัพหุ่นทหารและม้าดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้โดยบังเอิญเมื่อราว 3 ทศวรรษที่แล้ว ......

อ้างอิงจาก :
*หนังสือ 中国文化地图 (下) : สำนักพิมพ์ 中国长安出版社 หน้าที่ 241-243
**หนังสือ 秦陵秦俑百谜 โดย จางเทา (张涛) : สำนักพิมพ์ 西安地图出版社





กำลังโหลดความคิดเห็น