4. วิวัฒนาการลัทธิมาร์กซ์จีน (ต่อ)
4.5 ฐานะและบทบาทของความคิดเหมาเจ๋อตง
ความคิดเหมาเจ๋อตงเป็นระบบวิธีคิด และระบบทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิวัติประเทศจีน เป็นผลจากการนำเอาจุดยืน ทัศนะ วิธีคิดแบบมาร์กซิสม์มาประสานเข้ากับสภาวะเป็นจริงของประเทศจีน จนเกิดเป็นระบบหรือ “องคาพยพ”สมบูรณ์ขึ้นทีละด้านๆ
เห็นได้ชัดว่า ความคิดเหมาเจ๋อตงมีความเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนจีน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ด้วยเหตุนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงอธิบายถึงที่มาของความคิดเหมาเจ๋อตงว่า เป็นผลิตผลของปัญญารวมหมู่ของชาวพรรคฯจีน ในบริบทของการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มิใช่เป็นของเหมาเจ๋อตงส่วนตัวแต่ประการใด
อีกนัยหนึ่ง องค์ประกอบของความคิดเหมาเจ๋อตง ล้วนแต่เป็นแนวคิดทฤษฎีที่เกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนไหวปฏิวัติ พิสูจน์แล้วว่าถูกต้องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิวัติ มิใช่ความคิดความเห็นหรือคำพูดของเหมาเจ๋อตงเป็นการส่วนตัว
เหมาเจ๋อตงมีบทบาทสำคัญตรงที่ เป็นผู้ประมวลประสบการณ์และองค์ความรู้ต่างๆที่มาจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนภายใต้การนำของพรรคฯ สังเคราะห์และดึงเอาแก่นแท้หรือ “กฎเกณฑ์”ที่เป็นสัจธรรมนำเสนอออกมาอย่างเป็นระบบ สามารถใช้เป็นแม่บทของการเคลื่อนไหวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ทั่วไป
แต่กว่าพรรคฯจีนจะสรุปแนวคิดต่างๆที่นำเสนอโดยเหมาเจ๋อตง ว่าเป็น “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ก็กินเวลานับสิบปี หรือนานกว่านั้น
นั่นหมายความว่า สิ่งที่เหมาเจ๋อตงนำเสนอ แม้จะมาจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน แต่ก็จะเป็นต้องพิสูจน์ถึงความถูกต้องในการปฏิบัติในครั้งต่อๆไปเสียก่อน ผู้ปฏิบัติงานของพรรคสามารถนำเอาแนวคิดทฤษฎีเหล่านั้นไปประสานกับการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เกิดความเข้าใจในหลักการและแนวคิดทฤษฎี “เหมาเจ๋อตง”เป็นขั้นๆ กว่าจะเกิดความรับรู้ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพถึงความถูกต้องของ “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ก็ต้องใช้เวลานาน มิใช่พออ่านปุ๊บก็เชื่อปั๊บ แล้วบอกว่าถูกต้อง
อ่านแล้วเชื่อ หลับหูหลับตาทำตามหนังสือบอก เขาเรียกว่า “ลัทธิตำรา” ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ความคิดเหมาเจ๋อตง เป็นระบบความคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ เน้นเรื่องการพิสูจน์ความถูกต้องในท่ามกลางการปฏิบัติ ดังนั้น เมื่อพรรคฯจีนมีมติให้ “ความคิดเหมาเจ๋อตง”เป็นแนวคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของทั่วทั้งพรรคในปี ค.ศ. 1945 สิ่งที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติจนเป็นปกติวิสัยก็คือ การ “หาสัจจะจากความเป็นจริง” เอาความจริงเป็นตัวตั้ง มิใช่เอาทฤษฎีเป็นตัวตั้ง
เมื่อใดที่ทฤษฎีขัดแย้งกับความเป็นจริง ต้องยึดความเป็นจริง มิใช่ยึดทฤษฎี
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะการยึดทฤษฎีมากไปจะนำไปสู่การโต้เถียง ขัดแย้ง หาคำตอบไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์กันที่ผลจากการปฏิบัติ ก็จะได้คำตอบไม่ยาก
ดังนั้น การ “ก้าวไปพร้อมกับกาลเวลา” พร้อมเสมอที่จะปรับแนวคิดทฤษฎีให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เปลี่ยนไป จึงเป็นหลักยึดสำคัญอีกอย่างของพรรคฯจีน เพื่อไม่ได้ตนเองติดอยู่ใน “กับดัก”ของลัทธิตำรา
กระนั้น การปรับแนวคิดทฤษฎี ตามวิถีของพรรคฯจีน มักจะเป็นไปในรูปของการ “นวัตกรรม”แนวคิดทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติในแต่ละห้วงประวัติศาสตร์มากกว่าการปฏิเสธแนวคิดทฤษฎีเก่าๆ เพราะเห็นว่า ทฤษฎีเก่ามาจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติในห้วงอดีต สอดคล้องกับความเป็นจริงในอดีต สามารถแก้ไขปัญหาในอดีตได้ เป็นมรดกล้ำค่า ที่ชาวพรรคฯจีนจะต้องนำมาศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อเรียนรู้วิธีคิด ทัศนะ และวิธีการ ของผู้นำรุ่นก่อนๆ ในการแก้ไขปัญหา
ด้วยเหตุนี้เอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ ที่ครอบคลุมถึงงานนิพนธ์ของคาร์ล มาร์กซ์ เฟเดริค เองเกลส์ วีไอ. เลนิน และบุคคลอื่นๆอีกมาก มิใช่ศึกษาแต่ความคิดเหมาเจ๋อตง
ในระบบวิธีคิดของชาวพรรคฯจีน จึงไม่มีเรื่องการปฏิเสธทฤษฎีคลาสสิก เพียงแต่จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าอย่างวิเคราะห์แยกแยะ ถึงสภาพแวดล้อมหรือ “ระบบนิเวศวิทยา”ทางสังคม ในขณะที่ทฤษฎีเหล่านั้นก่อตัวขึ้น
ในสาระบบความคิดของชาวพรรคฯจีน จึงไม่มีเรื่อง “ศิษย์คิดล้างครู” หรือจะต้องใช้ทฤษฎีใหม่หักล้างทฤษฎีเก่าแต่ประการใด
ด้วยระบบวิธีคิดของชาวพรรคฯจีนเช่นนี้เอง นำไปสู่การประเมินคุณค่าของเหมาเจ๋อตงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือ ถูกต้อง 70 ผิดพลาด 30
ในฐานะผู้นำพรรคฯจีน สามัคคีประชาชนจีนดำเนินการปฏิวัติ ปลดปล่อยประเทศจีน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชน เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครลบล้างได้ แต่ความผิดพลาดในช่วงปลายชีวิต โดยเฉพาะเป็นผู้จุดชนวนการเคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม นำความเสียหายใหญ่หลวงสู่ประเทศชาติ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเขามีมากกว่า จึงได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำการปฏิวัติจีนตลอดไป
วิธีคิดและปฏิบัติอย่างมี “โยนิโสมนสิการ”ของชาวพรรคฯจีนเช่นนี้ ได้กลายเป็นแบบแผนหรือประเพณีทางสังคม ที่ชาวพรรคฯและคนจีนทั่วไปยึดถือปฏิบัติกันในปัจจุบัน
เมื่อมองถึงที่สุดแล้ว เราก็พอจะสรุปได้ว่า ความคิดเหมาเจ๋อตง ความจริงก็คือ ระบบวิธีคิดแบบมาร์กซิสม์ที่ประสานเข้ากับความเป็นจริงของประเทศจีนแล้ว เป็น “อาวุธทางความคิด”ชี้นำชาวพรรคฯจีน ทั้งทางด้านวิธีคิดและวิธีปฏิบัติ รวมทั้งวิธีการมองโลก(หรือที่เรียกว่า “โลกทัศน์”) และมองชีวิต (ที่เรียกว่า “ชีวทัศน์”)
ด้วยความคิดนี้เอง ที่ชาวพรรคฯจีน สามารถผนึกพลังสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว กล้าหาญชาญชัย ไม่กลัวยากไม่กลัวตาย นำพาประชาชนจีนต่อสู้กับศัตรูผู้คุกคามเบื้องหน้าอย่างยืดหยัดต่อเนื่อง จนกระทั่งประสบชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
ปัจจุบันคนจีนสรุปกันแล้วว่า ก่อนการเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนการเกิดขึ้นของความคิดเหมาเจ๋อตง คนจีนต้องพ่ายแพ้ทุกครั้งของการต่อสู้ ตั้งแต่สงครามฝิ่น กบฎไท่ผิง กบฎบ๊อกเซ่อร์ แม้กระทั่งการปฏิวัติซินไฮ่ ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศจีนหลุดพ้นจากการกดขี่ครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ กลุ่มอิทธิพลขุนศึกและเจ้าที่ดิน ยังตกอยู่ในสภาพ “กึ่งเมืองขึ้น กึ่งศักดินา”
มีแต่เมื่อคนจีนได้ลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ได้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ความคิดเหมาเจ๋อตง ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป
กระนั้น เมื่อประเทศจีนก้าวเข้าสู่ยุคพัฒนา ความคิดเหมาเจ๋อตงไม่อาจแก้ไขปัญหาการพัฒนาของประเทศจีนได้ จำเป็นจะต้อง “ก้าวไปพร้อมกับเวลา” นวัตกรรมทฤษฎีชี้นำชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็คือ “ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง”
------------------------------------
4.5 ฐานะและบทบาทของความคิดเหมาเจ๋อตง
ความคิดเหมาเจ๋อตงเป็นระบบวิธีคิด และระบบทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิวัติประเทศจีน เป็นผลจากการนำเอาจุดยืน ทัศนะ วิธีคิดแบบมาร์กซิสม์มาประสานเข้ากับสภาวะเป็นจริงของประเทศจีน จนเกิดเป็นระบบหรือ “องคาพยพ”สมบูรณ์ขึ้นทีละด้านๆ
เห็นได้ชัดว่า ความคิดเหมาเจ๋อตงมีความเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนจีน ภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ด้วยเหตุนี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีน จึงอธิบายถึงที่มาของความคิดเหมาเจ๋อตงว่า เป็นผลิตผลของปัญญารวมหมู่ของชาวพรรคฯจีน ในบริบทของการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนจีนภายใต้การนำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มิใช่เป็นของเหมาเจ๋อตงส่วนตัวแต่ประการใด
อีกนัยหนึ่ง องค์ประกอบของความคิดเหมาเจ๋อตง ล้วนแต่เป็นแนวคิดทฤษฎีที่เกิดขึ้นในระหว่างการเคลื่อนไหวปฏิวัติ พิสูจน์แล้วว่าถูกต้องในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิวัติ มิใช่ความคิดความเห็นหรือคำพูดของเหมาเจ๋อตงเป็นการส่วนตัว
เหมาเจ๋อตงมีบทบาทสำคัญตรงที่ เป็นผู้ประมวลประสบการณ์และองค์ความรู้ต่างๆที่มาจากการเคลื่อนไหวปฏิวัติของประชาชนภายใต้การนำของพรรคฯ สังเคราะห์และดึงเอาแก่นแท้หรือ “กฎเกณฑ์”ที่เป็นสัจธรรมนำเสนอออกมาอย่างเป็นระบบ สามารถใช้เป็นแม่บทของการเคลื่อนไหวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมได้ทั่วไป
แต่กว่าพรรคฯจีนจะสรุปแนวคิดต่างๆที่นำเสนอโดยเหมาเจ๋อตง ว่าเป็น “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ก็กินเวลานับสิบปี หรือนานกว่านั้น
นั่นหมายความว่า สิ่งที่เหมาเจ๋อตงนำเสนอ แม้จะมาจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติของมวลชน แต่ก็จะเป็นต้องพิสูจน์ถึงความถูกต้องในการปฏิบัติในครั้งต่อๆไปเสียก่อน ผู้ปฏิบัติงานของพรรคสามารถนำเอาแนวคิดทฤษฎีเหล่านั้นไปประสานกับการเคลื่อนไหวปฏิบัติ เกิดความเข้าใจในหลักการและแนวคิดทฤษฎี “เหมาเจ๋อตง”เป็นขั้นๆ กว่าจะเกิดความรับรู้ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพถึงความถูกต้องของ “ความคิดเหมาเจ๋อตง” ก็ต้องใช้เวลานาน มิใช่พออ่านปุ๊บก็เชื่อปั๊บ แล้วบอกว่าถูกต้อง
อ่านแล้วเชื่อ หลับหูหลับตาทำตามหนังสือบอก เขาเรียกว่า “ลัทธิตำรา” ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ความคิดเหมาเจ๋อตง เป็นระบบความคิดทฤษฎีที่เป็นวิทยาศาสตร์ เน้นเรื่องการพิสูจน์ความถูกต้องในท่ามกลางการปฏิบัติ ดังนั้น เมื่อพรรคฯจีนมีมติให้ “ความคิดเหมาเจ๋อตง”เป็นแนวคิดทฤษฎีชี้นำการปฏิบัติของทั่วทั้งพรรคในปี ค.ศ. 1945 สิ่งที่พวกเขาจะต้องปฏิบัติจนเป็นปกติวิสัยก็คือ การ “หาสัจจะจากความเป็นจริง” เอาความจริงเป็นตัวตั้ง มิใช่เอาทฤษฎีเป็นตัวตั้ง
เมื่อใดที่ทฤษฎีขัดแย้งกับความเป็นจริง ต้องยึดความเป็นจริง มิใช่ยึดทฤษฎี
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะการยึดทฤษฎีมากไปจะนำไปสู่การโต้เถียง ขัดแย้ง หาคำตอบไม่ได้ แต่ถ้าพิสูจน์กันที่ผลจากการปฏิบัติ ก็จะได้คำตอบไม่ยาก
ดังนั้น การ “ก้าวไปพร้อมกับกาลเวลา” พร้อมเสมอที่จะปรับแนวคิดทฤษฎีให้สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เปลี่ยนไป จึงเป็นหลักยึดสำคัญอีกอย่างของพรรคฯจีน เพื่อไม่ได้ตนเองติดอยู่ใน “กับดัก”ของลัทธิตำรา
กระนั้น การปรับแนวคิดทฤษฎี ตามวิถีของพรรคฯจีน มักจะเป็นไปในรูปของการ “นวัตกรรม”แนวคิดทฤษฎีใหม่ๆ ขึ้นมาชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิบัติในแต่ละห้วงประวัติศาสตร์มากกว่าการปฏิเสธแนวคิดทฤษฎีเก่าๆ เพราะเห็นว่า ทฤษฎีเก่ามาจากการเคลื่อนไหวปฏิบัติในห้วงอดีต สอดคล้องกับความเป็นจริงในอดีต สามารถแก้ไขปัญหาในอดีตได้ เป็นมรดกล้ำค่า ที่ชาวพรรคฯจีนจะต้องนำมาศึกษาทำความเข้าใจ เพื่อเรียนรู้วิธีคิด ทัศนะ และวิธีการ ของผู้นำรุ่นก่อนๆ ในการแก้ไขปัญหา
ด้วยเหตุนี้เอง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงกำหนดหลักสูตรการเรียนการสอนทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ ที่ครอบคลุมถึงงานนิพนธ์ของคาร์ล มาร์กซ์ เฟเดริค เองเกลส์ วีไอ. เลนิน และบุคคลอื่นๆอีกมาก มิใช่ศึกษาแต่ความคิดเหมาเจ๋อตง
ในระบบวิธีคิดของชาวพรรคฯจีน จึงไม่มีเรื่องการปฏิเสธทฤษฎีคลาสสิก เพียงแต่จำเป็นต้องศึกษาค้นคว้าอย่างวิเคราะห์แยกแยะ ถึงสภาพแวดล้อมหรือ “ระบบนิเวศวิทยา”ทางสังคม ในขณะที่ทฤษฎีเหล่านั้นก่อตัวขึ้น
ในสาระบบความคิดของชาวพรรคฯจีน จึงไม่มีเรื่อง “ศิษย์คิดล้างครู” หรือจะต้องใช้ทฤษฎีใหม่หักล้างทฤษฎีเก่าแต่ประการใด
ด้วยระบบวิธีคิดของชาวพรรคฯจีนเช่นนี้เอง นำไปสู่การประเมินคุณค่าของเหมาเจ๋อตงอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ คือ ถูกต้อง 70 ผิดพลาด 30
ในฐานะผู้นำพรรคฯจีน สามัคคีประชาชนจีนดำเนินการปฏิวัติ ปลดปล่อยประเทศจีน และสถาปนาสาธารณรัฐประชาชน เขาคือผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครลบล้างได้ แต่ความผิดพลาดในช่วงปลายชีวิต โดยเฉพาะเป็นผู้จุดชนวนการเคลื่อนไหวปฏิวัติวัฒนธรรม นำความเสียหายใหญ่หลวงสู่ประเทศชาติ ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้ว ความยิ่งใหญ่ของเขามีมากกว่า จึงได้รับการยกย่องในฐานะผู้นำการปฏิวัติจีนตลอดไป
วิธีคิดและปฏิบัติอย่างมี “โยนิโสมนสิการ”ของชาวพรรคฯจีนเช่นนี้ ได้กลายเป็นแบบแผนหรือประเพณีทางสังคม ที่ชาวพรรคฯและคนจีนทั่วไปยึดถือปฏิบัติกันในปัจจุบัน
เมื่อมองถึงที่สุดแล้ว เราก็พอจะสรุปได้ว่า ความคิดเหมาเจ๋อตง ความจริงก็คือ ระบบวิธีคิดแบบมาร์กซิสม์ที่ประสานเข้ากับความเป็นจริงของประเทศจีนแล้ว เป็น “อาวุธทางความคิด”ชี้นำชาวพรรคฯจีน ทั้งทางด้านวิธีคิดและวิธีปฏิบัติ รวมทั้งวิธีการมองโลก(หรือที่เรียกว่า “โลกทัศน์”) และมองชีวิต (ที่เรียกว่า “ชีวทัศน์”)
ด้วยความคิดนี้เอง ที่ชาวพรรคฯจีน สามารถผนึกพลังสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว กล้าหาญชาญชัย ไม่กลัวยากไม่กลัวตาย นำพาประชาชนจีนต่อสู้กับศัตรูผู้คุกคามเบื้องหน้าอย่างยืดหยัดต่อเนื่อง จนกระทั่งประสบชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า
ปัจจุบันคนจีนสรุปกันแล้วว่า ก่อนการเกิดขึ้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ก่อนการเกิดขึ้นของความคิดเหมาเจ๋อตง คนจีนต้องพ่ายแพ้ทุกครั้งของการต่อสู้ ตั้งแต่สงครามฝิ่น กบฎไท่ผิง กบฎบ๊อกเซ่อร์ แม้กระทั่งการปฏิวัติซินไฮ่ ก็ไม่ได้ทำให้ประเทศจีนหลุดพ้นจากการกดขี่ครอบงำของมหาอำนาจต่างชาติ กลุ่มอิทธิพลขุนศึกและเจ้าที่ดิน ยังตกอยู่ในสภาพ “กึ่งเมืองขึ้น กึ่งศักดินา”
มีแต่เมื่อคนจีนได้ลัทธิมาร์กซ์-เลนิน ได้พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้ความคิดเหมาเจ๋อตง ทุกอย่างจึงเปลี่ยนไป
กระนั้น เมื่อประเทศจีนก้าวเข้าสู่ยุคพัฒนา ความคิดเหมาเจ๋อตงไม่อาจแก้ไขปัญหาการพัฒนาของประเทศจีนได้ จำเป็นจะต้อง “ก้าวไปพร้อมกับเวลา” นวัตกรรมทฤษฎีชี้นำชุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งก็คือ “ทฤษฎีเติ้งเสี่ยวผิง”
------------------------------------