xs
xsm
sm
md
lg

ทฤษฎีชี้นำ (4)

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

4. วิวัฒนาการลัทธิมาร์กซ์จีน (ต่อ)

4.2 การก่อรูปขึ้นของความคิดเหมาเจ๋อตง
ในความเป็นบุคคล เหมาเจ๋อตงได้สัมผัสลัทธิมาร์กซ์เมื่อปี ค.ศ.1919
ระหว่างการเคลื่อนไหว “4 พฤษภาคม”ของขบวนการนักศึกษาประชาชนในปี ค.ศ.1919 เหมาเจ๋อตงได้เดินทางเข้ากรุงปักกิ่งสองครั้ง มีโอกาสสัมผัสกับงานเขียนของนักคิดฝ่ายซ้ายจำนวนหนึ่ง ทั้งที่เป็นพวกอนาธิปไตยและปฏิวัติแบบมาร์กซิสม์ โดยเฉพาะคือได้อ่าน “แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์”ของคาร์ล มาร์กซ์ เกิดความเลื่อมใสในแนวคิด และยึดมั่นเป็นอุดมการณ์ชี้นำมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เหมาเคยกล่าวไว้ว่า “ทันทีที่ผมยอมรับการอธิบายประวัติศาสตร์แบบลัทธิมาร์กซ์แล้ว ก็ไม่เคยเสื่อมคลายความเชื่อมั่นศรัทธาในลัทธิมาร์กซ์เลย” และว่า “ถึงกลางปี ค.ศ.1920 ผมเป็นชาวลัทธิมาร์กซิสม์ในทางทฤษฎีและบางส่วนของการกระทำแล้ว มองตนเองว่าเป็นชาวลัทธิมาร์กซ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา” (จากหนังสือ “80 ปี พรรคคอมมิวนิสต์จีน” หน้า 15)
ต่อมาอีกหนึ่งปี ในกลางปี ค.ศ.1921 เขาเป็นตัวแทนสาขาพรรคมณฑลหูหนัน เข้าร่วมการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งแรกที่นครเซี่ยงไฮ้(และเคลื่อนย้ายไปยังเมืองเจียซิงในมณฑลเจ้อเจียงในเวลาต่อมา) เป็นหนึ่งในคณะผู้ร่วมก่อตั้งและคณะผู้นำชุดที่หนึ่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
การเคลื่อนไหวปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในระยะแรกๆ ดำเนินไปตามแนวทางขบวนการคอมมิวนิสต์สากล แม้จะมีความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า จะต้องนำหลักทฤษฎีประสานเข้ากับการปฏิบัติ แต่ก็จะยังไม่ได้เข้าถึงกฎเกณฑ์การปฏิวัติสังคมจีน ดังนั้น หลักๆก็คือจัดตั้งกรรมกรในเมือง ทำการลุกขึ้นสู้ด้วยอาวุธ เพื่อยึดเมือง แต่ก็ประสบความล้มเหลวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเผชิญหน้ากับการกวาดล้างขนานใหญ่ของพรรคก๊กมิ่นตั๋ง(กั๋วหมินตั่ง)นำโดยเจียงไคเช็ค ในปี ค.ศ.1927 ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องแก้ปัญหาใหญ่สองประการให้ตกไป
ประการแรก เมื่อเผชิญกับการกวาดล้าง พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะดำรงอยู่อย่างไร รักษากำลังปฏิวัติไว้อย่างไร ?
ประการที่สอง จะดำเนินการปฏิวัติต่อไปอย่างไรดี ?
เหมาเจ๋อตงรับผิดชอบนำการเคลื่อนไหวชาวนาในชนบท จัดตั้งชาวนา และนำกำลังชาวนาลุกขึ้นสู้ในปี ค.ศ.1927 เพื่อตอบโต้การกวาดล้างใหญ่ของเจียงไคเช็ค หลังจากนั้น ก็นำกองกำลังลูกหลานชาวไร่ชาวนาไปตั้งฐานที่จิ่งกังซัน ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซีในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
ที่จิ่งกังซัน เหมานำประชาชนดำเนินการปฏิวัติที่ดิน สร้างฐานที่มั่นและอำนาจรัฐของประชาชนขึ้นมา และสามารถตีโต้การล้อมปราบของเจียงไคเช็คได้หลายครั้ง รักษาฐานที่มั่นไว้ได้ จึงได้ข้อสรุปเป็นเบื้องต้นว่า “อำนาจรัฐเกิดจากปากกระบอกปืน” “ลูกไฟน้อยๆ ลามทุ่งได้” นำไปสู่แนวคิดดำเนินการปฏิวัติด้วยการทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมืองในที่สุด สามารถให้คำตอบต่อการปฏิวัติของประเทศจีนทั้งสองข้อได้เป็นอย่างดี
แม้ว่าถึงที่สุดแล้ว พรรคคอมมิวนิสต์จีนต้องละทิ้งฐานที่มั่นในทางภาคใต้ของจีน เดินทัพทางไกลไปตั้งฐานใหญ่ที่เอี๋ยนอัน มณฑลส่านซี แต่บทสรุปแนวทางการปฏิวัติจีน ที่เหมาเจ๋อตงนำเสนอ มีความสอดคล้องกับ “กฎแห่งความเป็นจริง”ของการปฏิวัติประเทศจีนมากที่สุด
การสร้างฐานที่มั่น ดำเนินสงครามประชาชนในชนบท จึงได้รับการยอมรับจากคณะผู้นำพรรคฯจีน เหมาเจ๋อตง ในฐานะผู้เป็นต้นคิดในทฤษฎีดังกล่าว ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำพรรค(ในที่ประชุมจุนอี้ มณฑลกุ้ยโจว ระหว่างเดินทัพทางไกลในปี ค.ศ.1935)ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทฤษฎีปฏิวัติด้วยกำลังอาวุธ ทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมือง ยึดเมืองในที่สุดของเหมาเจ๋อตง นับเป็นการพัฒนาครั้งสำคัญของลัทธิมาร์กซ์โดยรวม สามารถนำไปปรับใช้ในประเทศด้อยพัฒนาที่ตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับจีน คือตกอยู่ใต้การครอบงำของมหาอำนาจทุนนิยมและอิทธิพลท้องถิ่น ประชาชนถูกกดขี่ขูดรีดสองชั้นสามชั้น เรียกร้องต้องการที่จะปลดแอกตนเองออกจากการกดขี่ขูดรีดเหล่านั้นอย่างสิ้นเชิง
อีกทั้ง เมื่อพิจารณาถึงกระบวนการพัฒนาของทฤษฎีลัทธิมาร์กซ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ก็พบว่า ทฤษฎีปฏิวัติของพรรคฯจีน ที่นำเสนอโดยเหมาเจ๋อตงนี้ นับเป็นการ “แหวก”หลักการสำคัญของลัทธิมาร์กซ์อีกครั้งหนึ่ง ที่(สมัยคาร์ล มาร์กซ์)บอกว่า การปฏิวัติสังคมนิยมจะเกิดขึ้นพร้อมๆกันทุกประเทศทุนนิยม ด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังอาวุธในเมือง
ก่อนหน้านี้ พรรคบอลเชวิคของเลนิน ได้ “แหวก”หลักการนั้นมาแล้วครั้งหนึ่ง คือ สามารถดำเนินการปฏิวัติได้สำเร็จในรัสเซียเพียงประเทศเดียว ด้วยการลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังอาวุธในเมือง
มาบัดนี้ ในประเทศจีน ไม่เพียงแต่สามารถปฏิวัติสำเร็จได้ในประเทศเดียวเท่านั้น แต่ยังสามารถดำเนินการปฏิวัติได้สำเร็จในประเทศกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินาอีกด้วย แต่ด้วยการทำสงครามประชาชน ใช้ชนบทล้อมเมือง และยึดเมืองในที่สุด
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะเลนินและเหมาเจ๋อตง ไม่ยึดติดในหลักทฤษฎีแบบตายตัว แต่ใช้จุดยืน
ทัศนะ วิธีการแบบมาร์กซิสม์ชี้นำ ดำเนินการเคลื่อนไหวปฏิวัติตามสภาพเป็นจริงของประเทศตน
สามารถเข้าถึง “สัจธรรม”จากความเป็นจริง จับกฎเกณฑ์การปฏิวัติของประเทศตนได้ เกิดความสว่าง “รู้แจ้ง” มองเห็นช่องทางการทำงาน สามารถกำหนดแนวทาง ยุทธศาสตร์ยุทธวิธีได้อย่างถูกต้อง

4.3 หาสัจจะจากความเป็นจริง และเดินแนวทางมวลชน
เหมาเจ๋อตงเป็นนักปฏิบัติ ถนัดในการค้นคว้าวิจัยปัญหาที่เป็นจริง ทำให้เขาเข้าใจปัญหาของประเทศจีนอย่างทะลุปรุโปร่ง เมื่อเขาใช้หลักลัทธิมาร์กซ์วิเคราะห์ชนชั้นในสังคมจีน จึงสามารถนำเสนอบทวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงของประเทศจีน และได้ข้อสรุปสำคัญๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเป็นแนวคิดทฤษฎีชี้นำการเคลื่อนไหวปฏิวัติจีนในเวลาต่อๆมา
วิธีการทำงานของเหมาเจ๋อตงเช่นนี้ ก็คือที่มาของคำว่า “หาสัจจะจากความเป็นจริง” ใช้ทฤษฎีชี้นำ ประสานกับการเคลื่อนไหวปฏิบัติ แล้วก็จะได้ข้อสรุปที่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทำให้การรับรู้ในกฎการพัฒนาของความเป็นจริงหรือ “สัจธรรม”เป็นไปอย่างถูกต้อง เป็นวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ได้จากการเคลื่อนไหวปฏิบัติ
ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยกเอาวิธีการทำงานเช่นนี้เป็น “แม่แบบ”ให้สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ปฏิบัติตาม เรียกตามภาษาพรรคฯจีนก็ว่า เป็น “ท่วงทำนอง”การทำงานพื้นฐานที่สมาชิกพรรคทุกคนจะต้องนำไปใช้ในการทำงาน
นอกจากนี้ จากการทำงานชาวนาในชนบท เหมาเจ๋อตงยังเข้าใจลึกซึ้งถึงพลังมวลชน ซึ่งสอดคล้องกับหลักลัทธิมาร์กซ์ที่ว่า มวลชนคือวีรชนผู้สร้างประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้ว่าชาวนาจีนจะยังล้าหลังทางความคิด ติดอยู่กับเรื่องความเชื่อและความงมงายอยู่มาก แต่ก็เป็นแหล่งกำลังหลักของกองทัพปฏิวัติในการดำเนินสงครามประชาชน ซึ่งเป็นรูปแบบวิธีการหลักของการปฏิวัติจีน ดังนั้น ในการทำงานเคลื่อนไหวปฏิวัติ เหมาเจ๋อตงจึงให้ความสำคัญในการสำรวจค้นคว้า หรือหาสัจจะจากความเป็นจริง ควบคู่ไปกับการอาศัยมวลชน เชื่อมั่นมวลชน และเคารพในอัจฉริยภาพของมวลชน ซึ่งต่อมารวมเรียกเป็นศัพท์การเมืองว่า “แนวทางมวลชน”
ทั้งนี้ ภารกิจปฏิวัติสังคมจะสำเร็จได้ด้วยพลังของมวลชนเท่านั้น หากไม่มีมวลชนเข้าร่วม ไม่มีมวลชนแสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงสังคมแบบพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินก็จะไม่บังเกิดขึ้น
----------------------------
กำลังโหลดความคิดเห็น