ชีวิตคนเมืองจีน / เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา กลุ่มองค์กรการกุศลของจีนได้รวมตัวกันที่กระทรวงกิจการพลเรือนในกรุงปักกิ่งแถลงข่าวประกาศร่วมมือกันช่วยเหลือเด็กกำพร้ากันใหญ่โต เป็นการให้คำมั่นสัญญาว่า ในอนาคตองค์กรเอกชนเหล่านี้จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการช่วยเหลือเด็กกำพร้าในประเทศจีนไม่ว่าในรูปแบบใดใดอย่างเต็มความสามารถ
สื่อมวลชนของจีนกลับไม่ได้สนใจข่าวในวันนั้นเท่ากับเรื่องสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในบ้านซอมซ่อของตายายยากจนคู่หนึ่ง หลังจากสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางได้แพร่ภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของ 2 ตายายที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้าเมื่อเดือนก่อน เรื่องราวของพวกเขาได้สะท้อนความเป็นจริงที่แสนอบอุ่นในสังคม ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
นั่นคือ เรื่องราวของเด็กชายหญิง 8 คนที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางสายเลือด แต่มีความเหมือนกันตรงที่พวกเขาล้วนเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและไม่รู้จักพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดว่าเป็นใคร เด็กๆซึ่งส่วนใหญ่มีร่างกายผิดปรกติไม่สมประกอบเหล่านี้ ได้รับการเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำจาก 2 ตายาย เฉินสั้งอี้และจางหลันอิงผู้ภรรยา ผู้มีอาชีพเป็นคนเก็บขยะ

บ้านเลขที่ 24 ถนนหมินจู่ วิมานของเด็กกำพร้า
บ้านหลังคาเตี้ยๆ เลขที่ 24 ถนนหมินจู่ ในเมืองติ้งซี มณฑลกันซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนืออันแร้นแค้นของประเทศ เป็นที่อาศัยของเด็กที่ถูกทอดทิ้งมา 17 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ ‘ลูกๆ’ ที่ตายายเก็บมาเลี้ยงนับรวมกันก็ถึง 42 คนแล้ว เสียชีวิตไปแล้ว 13 คน และ 21 คนที่มีคนรับไปเลี้ยงต่อ ปัจจุบัน เหลืออาศัยอยู่ร่วมกับ 2 ตายาย 8 คน อายุระหว่าง 2 ขวบครึ่งถึง 12 ปี
เฉินสั้งอี้ วัย 82 ปี เจ้าของบ้านเล่าว่า มันเริ่มต้นเมื่อเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวปี 1988 ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ตาเห็นเด็กทารกเพศหญิงหน้าตาน่าเกลียดน่าชังคนหนึ่งถูกปล่อยทิ้งอยู่ที่พื้น เนื้อตัวมีแต่เอี๊ยมตัวเดียว คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นต่างมุงดูแต่ไม่มีใครสนใจจะทำอะไร ตาเลยอุ้มเด็กคนนั้นกลับมาบ้าน
เนื่องจากทารกถูกปล่อยทิ้งไว้ท่ามกลางความหนาวเหน็บนานเกินไป เมื่อโตขึ้นจึงเจ็บป่วยบ่อยๆ คุณตาเฉินเลี้ยงดูเด็กน้อยมาได้ 4 ขวบก็เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นคุณตาก็เฝ้าแต่คิดถึงสถานที่ที่ลูกสาวถูกปล่อยทิ้งไว้ ในใจก็เป็นห่วงว่าจะมีเด็กๆอีกกี่คนที่ถูกทอดทิ้งตามสถานที่สาธารณะอย่างนั้น แกเลยอาศัยอาชีพเก็บขยะคอยตระเวนตามสถานีรถไฟบ้าง โรงพยาบาลบ้าง รวมถึงสถานีขนส่งและตามข้างถนน เพื่อสำรวจดูว่าจะมีเด็กๆถูกนำมาวางทิ้งไว้หรือไม่ คุณตาเฉินเล่าว่า “บางเดือนก็เก็บเด็กมาได้ตั้ง 2 คน”

ครอบครัวเฉินไม่มีรายได้เลี้ยงตัวมากนัก อาศัยรายได้ที่คุณตาหามาจากการเก็บขยะแต่ละเดือนเฉลี่ยแล้วมีเงินได้ 200 หยวน (ราว 1,000 บาท) แต่รายจ่ายของเด็กคนหนึ่งตกเดือนละ 100 หยวน ซึ่งบางช่วงมีเด็กที่อุปการะไว้ถึง 12 คน ต้องใช้เงินกว่า 1,000 หยวน ตายายต้องนำเงินเก็บสะสมออกมาใช้ ซึ่งประทังไปได้ไม่นานก็หมด
“เงินที่ใช้เป็นเงินเก็บมาตั้งแต่ปี 88 (ค.ศ.1988) ใช้ถึงปี 95 ก็หมดแล้ว ไม่เหลือซักแดง” คุณตาเฉิน กล่าว
“ในบ้านแม้แต่ผักก็ไม่มี บางมื้อต้องกินเกลือกัน” คุณยายวัย 81 ปี จางหลันอิงเสริม
คุณตายังเล่าถึง เฉินหลิง ลูกสาวคนหนึ่งที่เขาเลี้ยงดูอยู่ ตอนนี้อายุ 3 ขวบ มีเนื้องอกขึ้นที่เอว จะต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 9,000 กว่าหยวน ทั้งสองจะต้องออกไปหยิบยืมจากชาวบ้าน และบ่อยครั้งที่ตายายต้องไปยืมเงินจากเพื่อนบ้านรายหนึ่งเพื่อมาใช้คืนอีกรายหนึ่ง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังใช้คืนเขาไม่หมด
อาการเจ็บป่วยของเด็กๆได้รับการรักษาบ้างแล้ว แต่เคราะห์กรรมก็ยังไม่หมด วันหนึ่งในปี 1998 คุณยายจางสะดุดหกล้มทำให้เอวได้รับบาดเจ็บ แต่เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาทำให้ทุกวันนี้คุณยายต้องเดินหลังค่อม ไปไหนมาไหนลำบาก และเวลารับประทานอาหารเข้าไปแล้วก็ต้องอาเจียนออกมา เป็นที่ทรมานมาก
เฉินหลง เด็กชายที่คุณเฉินเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เกิดปัจจุบันอายุ 8 ปี มีอาการป่วยทางสมองกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่ จนเป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆ ตลอดเวลา 8 ปีเขามักจะนั่งอยู่ข้างๆคุณยาย มองดูยายจางซักผ้าอ้อมของเขาและเด็กอื่นๆทุกวัน เฉินหลง กล่าวว่า “ย่าซักผ้าตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่หยุดเลย น้ำซักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม”

เด็กๆทุกคนถึงแม้จะร่างกายไม่สมบูรณ์และซุกซนบ้าง แต่ทุกคนก็เชื่อฟังคุณยายจางมาก เช่นพี่คนโต เฉินย่วนอายุ 12 ปี ที่ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างและยังช่วยดูแลน้องๆด้วย ถึงแม้บางมื้อจะอดบ้างแต่เด็กๆก็มีความสุขตามอัตภาพ เวลาที่พวกเด็กๆมีความสุขที่สุด คือตอนที่ได้ออกไปเล่นที่สวนสาธารณะและช่วยคุณปู่ของพวกเขาเก็บขวดพลาสติกไปด้วย
“คุณปู่จะพาพวกเราไปเล่นที่สวนสาธารณะทุกสุดสัปดาห์ เพราะคุณปู่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ในสวนเลยไม่เสียเงินค่าผ่านประตู” เฉินหลง เด็กกำพร้าผู้เก็บตัวเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างมีความสุข
จากความรักกลายมาเป็นภาระ
เฉินสั้งอี้ กล่าวว่า พวกเขาไม่มีลูกของตนเอง แต่ก็รักเด็กมาก ถึงแม้ตอนแรกจะเก็บเด็กมาเลี้ยงเพราะความรัก แต่ต่อมาเมื่อยิ่งเลี้ยงเด็กก็ยิ่งมากขึ้น ความรักธรรมดาๆได้กลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ก็กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แกเล่าด้วยความสะเทือนใจว่า “เดี๋ยวนี้คนใจร้ายกันเหลือเกิน เด็กที่เราต้องยกให้คนอื่นไปเลี้ยง บางคนก็ถูกตี บางทีเขาก็เอาเด็กไปขาย”
แม้ว่าการอุปการะเด็กกำพร้าเหล่านี้จะเป็นงานที่เกินกำลังของชายแก่ที่ยึดอาชีพเก็บขยะอย่างเฉินสั้งอี้และภรรยา แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังยืนหยัดจะสู้เพื่อเด็กๆต่อไป และแม้ว่าคุณตาจะถูกปฏิเสธจากหน่วยงานท้องถิ่นในสังกัดกระทรวงกิจการพลเรือนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรับผิดชอบดังกล่าว เมื่อคราวที่แกขอร้องไปทางเจ้าหน้าที่ให้ยื่นมือมาช่วยเหลือบ้างก็ตาม
“พวกเขาบอกว่าไม่มีงบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ มันเป็นเรื่องยุ่งยากมาก” ผู้เฒ่าเฉิน กล่าวสั้นๆ

อันที่จริงมณฑลกันซู่ยังต้องพึ่งพารายได้จากงบประมาณของส่วนกลาง อีกทั้งในเมืองติ้งซีบ้านของคุณตานี้ก็ยังไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสำนักสวัสดิการสังคมใดใด แม้แต่ในเมืองหลันโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลก็มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพียงแห่งเดียว ในขณะที่ทั่วประเทศมีหน่วยงานดูแลเด็กกำพร้าเพียง 192 แห่งเท่านั้น
บ้านของตายายที่ยากจนจึงกลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเดียวในเมืองเล็กๆของมณฑลอันไกลโพ้นที่ไม่มีการขึ้นป้ายอย่างเป็นทางการนั่นเอง เจ้าหน้าที่ของหน่วยฉุกเฉินสำนักกิจการพลเรือนท้องถิ่นก็ยังส่งเด็กกำพร้าในเมืองมาให้คุณตาเลี้ยงดู โดยส่งเงินช่วยเหลือแต่ละเดือนให้เด็กรายละ 74.5 หยวน แม้ว่าตามข้อกำหนดใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2003 ทางการเมืองติ้งซีจะได้อนุมัติให้เงินจำนวนดังกล่าวเพิ่มเป็น 230 หยวนแล้วก็ตาม
ความเมตตาของคุณตาเฉินและคุณยายจางในฐานะชนชั้นล่างที่ต้องเข้ามาแบกรับภาระที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนนี้ กลายเป็นเรื่องราวที่สังคมยกย่องและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง สื่อต่างพากันมาทำข่าวของพวกเขา ทำให้สายธารน้ำใจหลั่งไหลมาที่บ้านของคุณตาบ้าง เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัวสื่อยักษ์ใหญ่ของรัฐก็รายงานเรื่องดังกล่าว ทำให้มีเงินช่วยเหลือตกมาถึงมือคุณตา 3,000 กว่าหยวน ผู้มีน้ำใจบางรายก็ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษาพยาบาลเด็กที่ป่วยก็มี
“ชีวิตทุกวันนี้ดีกว่าช่วงปี 88 เป็นร้อยเท่า ไม่เพียงแค่ในเมืองติ้งซี ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเราเลี้ยงเด็กๆอยู่ ก็ส่งเงินช่วยเหลือมาจากที่ต่างๆ” คุณตาเฉินสั้งอี้ กล่าวด้วยความตื้นตัน
คุณตาเฉินยังได้รับรางวัลชมเชยมากมายจากการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าเหล่านี้แทนหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม แกก็กล่าวถึงรางวัลเหล่านั้นไว้อย่างน่าคิดว่า “รางวัลที่ได้มาไม่น้อยก็จริง แต่ชีวิตของเด็กๆพวกนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มาเยี่ยมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก”

ผู้สื่อข่าวที่เฝ้าสังเกตการณ์ในบ้านเด็กกำพร้าของคุณตาเฉินยังรายงานว่า เสื้อผ้าของเด็กๆยังใส่กันซ้ำๆโดยไม่ได้เปลี่ยนจนเนื้อตัวขึ้นผื่น ส่วนตัวคุณตาเฉินเองก็ป่วยเป็นโรคหัวใจบางครั้งเหนื่อยล้ามากจนทานข้าวไม่ลง ต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล ด้านคุณยายจางหลันอิงเอวก็บาดเจ็บแต่ต้องทำงานหนักทั้งวัน นอกจากนี้ เด็กๆที่โตพอจะเข้าโรงเรียนแล้วผลการเรียนก็ยังไม่ดี
สื่อยังคงตั้งคำถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เงินช่วยเหลือจะเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ผู้เฒ่าทั้งสองจะสามารถใช้เงินเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่หรือไม่ แม้ว่าการพึ่งอาชีพเก็บขยะเลี้ยงดูเด็กกำพร้าของ 2 ตายายจะเป็นเรื่องที่ชวนให้ทุกคนอัศจรรย์ใจ แต่เบื้องหลังนั้นเล่าพวกเขาต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางด้านกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า ครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งจะเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ได้ไม่เกิน 3 คน อีกทั้งยังต้องมีความมั่นคงทางการเงินและมีคุณภาพชีวิตระดับกลางขึ้นไป และยังต้องเป็นผู้มีอายุระหว่าง 30 -65 ปีด้วย เหล่านี้จะแก้ไขอย่างไร
สำหรับคุณตาผู้ใจบุญดูเหมือนว่ากฎหมายคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมากนัก เพราะ 2 ตายายยังคงมีความสุขกับลูกๆของแกแม้ว่าจะเผชิญกับสิ่งที่คนอื่นๆมองว่าเป็นปัญหารอบด้านเช่นนี้ คุณตาเฉินกล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนจากกันว่า “ฉันจูงมือนำพวกเขา รอจนพวกเขาโตขึ้น มีงานทำ มีข้าวกิน ถึงฉันตายก็ตายตาหลับแล้วหละ”
***********************************
ที่อยู่ของคุณตาเฉินสั้งอี้ :
中国 743000 甘肃省 定西市 安定区 民主路 24号 陈尚义先生
หรือโทรศัพท์ให้ความช่วยเหลือที่ :
เฉินสั้งอี้ 陈尚义:电话 00-86-932—6910395 หรือ 00-86-932—8282663
หวังถิงฝู 王廷福:电话 13993288368 (รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการพลเรือน เขตอันติ้ง เมืองติ้งซี )
เรียบเรียงจาก ซีน่าเน็ต / 163 ดอท คอม
สื่อมวลชนของจีนกลับไม่ได้สนใจข่าวในวันนั้นเท่ากับเรื่องสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในบ้านซอมซ่อของตายายยากจนคู่หนึ่ง หลังจากสถานีโทรทัศน์ส่วนกลางได้แพร่ภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของ 2 ตายายที่เลี้ยงดูเด็กกำพร้าเมื่อเดือนก่อน เรื่องราวของพวกเขาได้สะท้อนความเป็นจริงที่แสนอบอุ่นในสังคม ที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมชาวจีนอย่างลึกซึ้ง
นั่นคือ เรื่องราวของเด็กชายหญิง 8 คนที่ไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางสายเลือด แต่มีความเหมือนกันตรงที่พวกเขาล้วนเป็นเด็กที่ถูกทอดทิ้งและไม่รู้จักพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดว่าเป็นใคร เด็กๆซึ่งส่วนใหญ่มีร่างกายผิดปรกติไม่สมประกอบเหล่านี้ ได้รับการเลี้ยงดูให้ข้าวให้น้ำจาก 2 ตายาย เฉินสั้งอี้และจางหลันอิงผู้ภรรยา ผู้มีอาชีพเป็นคนเก็บขยะ
บ้านเลขที่ 24 ถนนหมินจู่ วิมานของเด็กกำพร้า
บ้านหลังคาเตี้ยๆ เลขที่ 24 ถนนหมินจู่ ในเมืองติ้งซี มณฑลกันซู่ ทางตะวันตกเฉียงเหนืออันแร้นแค้นของประเทศ เป็นที่อาศัยของเด็กที่ถูกทอดทิ้งมา 17 ปีแล้ว จนถึงวันนี้ ‘ลูกๆ’ ที่ตายายเก็บมาเลี้ยงนับรวมกันก็ถึง 42 คนแล้ว เสียชีวิตไปแล้ว 13 คน และ 21 คนที่มีคนรับไปเลี้ยงต่อ ปัจจุบัน เหลืออาศัยอยู่ร่วมกับ 2 ตายาย 8 คน อายุระหว่าง 2 ขวบครึ่งถึง 12 ปี
เฉินสั้งอี้ วัย 82 ปี เจ้าของบ้านเล่าว่า มันเริ่มต้นเมื่อเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาวปี 1988 ที่ชานชาลาสถานีรถไฟ ตาเห็นเด็กทารกเพศหญิงหน้าตาน่าเกลียดน่าชังคนหนึ่งถูกปล่อยทิ้งอยู่ที่พื้น เนื้อตัวมีแต่เอี๊ยมตัวเดียว คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นต่างมุงดูแต่ไม่มีใครสนใจจะทำอะไร ตาเลยอุ้มเด็กคนนั้นกลับมาบ้าน
เนื่องจากทารกถูกปล่อยทิ้งไว้ท่ามกลางความหนาวเหน็บนานเกินไป เมื่อโตขึ้นจึงเจ็บป่วยบ่อยๆ คุณตาเฉินเลี้ยงดูเด็กน้อยมาได้ 4 ขวบก็เสียชีวิต ตั้งแต่นั้นคุณตาก็เฝ้าแต่คิดถึงสถานที่ที่ลูกสาวถูกปล่อยทิ้งไว้ ในใจก็เป็นห่วงว่าจะมีเด็กๆอีกกี่คนที่ถูกทอดทิ้งตามสถานที่สาธารณะอย่างนั้น แกเลยอาศัยอาชีพเก็บขยะคอยตระเวนตามสถานีรถไฟบ้าง โรงพยาบาลบ้าง รวมถึงสถานีขนส่งและตามข้างถนน เพื่อสำรวจดูว่าจะมีเด็กๆถูกนำมาวางทิ้งไว้หรือไม่ คุณตาเฉินเล่าว่า “บางเดือนก็เก็บเด็กมาได้ตั้ง 2 คน”
ครอบครัวเฉินไม่มีรายได้เลี้ยงตัวมากนัก อาศัยรายได้ที่คุณตาหามาจากการเก็บขยะแต่ละเดือนเฉลี่ยแล้วมีเงินได้ 200 หยวน (ราว 1,000 บาท) แต่รายจ่ายของเด็กคนหนึ่งตกเดือนละ 100 หยวน ซึ่งบางช่วงมีเด็กที่อุปการะไว้ถึง 12 คน ต้องใช้เงินกว่า 1,000 หยวน ตายายต้องนำเงินเก็บสะสมออกมาใช้ ซึ่งประทังไปได้ไม่นานก็หมด
“เงินที่ใช้เป็นเงินเก็บมาตั้งแต่ปี 88 (ค.ศ.1988) ใช้ถึงปี 95 ก็หมดแล้ว ไม่เหลือซักแดง” คุณตาเฉิน กล่าว
“ในบ้านแม้แต่ผักก็ไม่มี บางมื้อต้องกินเกลือกัน” คุณยายวัย 81 ปี จางหลันอิงเสริม
คุณตายังเล่าถึง เฉินหลิง ลูกสาวคนหนึ่งที่เขาเลี้ยงดูอยู่ ตอนนี้อายุ 3 ขวบ มีเนื้องอกขึ้นที่เอว จะต้องเข้ารับการผ่าตัดซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 9,000 กว่าหยวน ทั้งสองจะต้องออกไปหยิบยืมจากชาวบ้าน และบ่อยครั้งที่ตายายต้องไปยืมเงินจากเพื่อนบ้านรายหนึ่งเพื่อมาใช้คืนอีกรายหนึ่ง แต่จนถึงวันนี้ก็ยังใช้คืนเขาไม่หมด
อาการเจ็บป่วยของเด็กๆได้รับการรักษาบ้างแล้ว แต่เคราะห์กรรมก็ยังไม่หมด วันหนึ่งในปี 1998 คุณยายจางสะดุดหกล้มทำให้เอวได้รับบาดเจ็บ แต่เนื่องจากไม่ได้รับการรักษาทำให้ทุกวันนี้คุณยายต้องเดินหลังค่อม ไปไหนมาไหนลำบาก และเวลารับประทานอาหารเข้าไปแล้วก็ต้องอาเจียนออกมา เป็นที่ทรมานมาก
เฉินหลง เด็กชายที่คุณเฉินเก็บมาเลี้ยงตั้งแต่เกิดปัจจุบันอายุ 8 ปี มีอาการป่วยทางสมองกลั้นปัสสาวะอุจจาระไม่อยู่ จนเป็นที่รังเกียจของเพื่อนๆ ตลอดเวลา 8 ปีเขามักจะนั่งอยู่ข้างๆคุณยาย มองดูยายจางซักผ้าอ้อมของเขาและเด็กอื่นๆทุกวัน เฉินหลง กล่าวว่า “ย่าซักผ้าตั้งแต่เช้าจรดเย็นไม่หยุดเลย น้ำซักหยดก็ยังไม่ได้ดื่ม”
เด็กๆทุกคนถึงแม้จะร่างกายไม่สมบูรณ์และซุกซนบ้าง แต่ทุกคนก็เชื่อฟังคุณยายจางมาก เช่นพี่คนโต เฉินย่วนอายุ 12 ปี ที่ช่วยเหลืองานบ้านทุกอย่างและยังช่วยดูแลน้องๆด้วย ถึงแม้บางมื้อจะอดบ้างแต่เด็กๆก็มีความสุขตามอัตภาพ เวลาที่พวกเด็กๆมีความสุขที่สุด คือตอนที่ได้ออกไปเล่นที่สวนสาธารณะและช่วยคุณปู่ของพวกเขาเก็บขวดพลาสติกไปด้วย
“คุณปู่จะพาพวกเราไปเล่นที่สวนสาธารณะทุกสุดสัปดาห์ เพราะคุณปู่รู้จักกับเจ้าหน้าที่ในสวนเลยไม่เสียเงินค่าผ่านประตู” เฉินหลง เด็กกำพร้าผู้เก็บตัวเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังอย่างมีความสุข
จากความรักกลายมาเป็นภาระ
เฉินสั้งอี้ กล่าวว่า พวกเขาไม่มีลูกของตนเอง แต่ก็รักเด็กมาก ถึงแม้ตอนแรกจะเก็บเด็กมาเลี้ยงเพราะความรัก แต่ต่อมาเมื่อยิ่งเลี้ยงเด็กก็ยิ่งมากขึ้น ความรักธรรมดาๆได้กลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด ก็กลับมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
แกเล่าด้วยความสะเทือนใจว่า “เดี๋ยวนี้คนใจร้ายกันเหลือเกิน เด็กที่เราต้องยกให้คนอื่นไปเลี้ยง บางคนก็ถูกตี บางทีเขาก็เอาเด็กไปขาย”
แม้ว่าการอุปการะเด็กกำพร้าเหล่านี้จะเป็นงานที่เกินกำลังของชายแก่ที่ยึดอาชีพเก็บขยะอย่างเฉินสั้งอี้และภรรยา แต่พวกเขาทั้งสองก็ยังยืนหยัดจะสู้เพื่อเด็กๆต่อไป และแม้ว่าคุณตาจะถูกปฏิเสธจากหน่วยงานท้องถิ่นในสังกัดกระทรวงกิจการพลเรือนที่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับความรับผิดชอบดังกล่าว เมื่อคราวที่แกขอร้องไปทางเจ้าหน้าที่ให้ยื่นมือมาช่วยเหลือบ้างก็ตาม
“พวกเขาบอกว่าไม่มีงบค่าใช้จ่ายส่วนนี้ มันเป็นเรื่องยุ่งยากมาก” ผู้เฒ่าเฉิน กล่าวสั้นๆ
อันที่จริงมณฑลกันซู่ยังต้องพึ่งพารายได้จากงบประมาณของส่วนกลาง อีกทั้งในเมืองติ้งซีบ้านของคุณตานี้ก็ยังไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าหรือสำนักสวัสดิการสังคมใดใด แม้แต่ในเมืองหลันโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของมณฑลก็มีสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าเพียงแห่งเดียว ในขณะที่ทั่วประเทศมีหน่วยงานดูแลเด็กกำพร้าเพียง 192 แห่งเท่านั้น
บ้านของตายายที่ยากจนจึงกลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งเดียวในเมืองเล็กๆของมณฑลอันไกลโพ้นที่ไม่มีการขึ้นป้ายอย่างเป็นทางการนั่นเอง เจ้าหน้าที่ของหน่วยฉุกเฉินสำนักกิจการพลเรือนท้องถิ่นก็ยังส่งเด็กกำพร้าในเมืองมาให้คุณตาเลี้ยงดู โดยส่งเงินช่วยเหลือแต่ละเดือนให้เด็กรายละ 74.5 หยวน แม้ว่าตามข้อกำหนดใหม่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2003 ทางการเมืองติ้งซีจะได้อนุมัติให้เงินจำนวนดังกล่าวเพิ่มเป็น 230 หยวนแล้วก็ตาม
ความเมตตาของคุณตาเฉินและคุณยายจางในฐานะชนชั้นล่างที่ต้องเข้ามาแบกรับภาระที่ไม่ใช่หน้าที่ของตนนี้ กลายเป็นเรื่องราวที่สังคมยกย่องและได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง สื่อต่างพากันมาทำข่าวของพวกเขา ทำให้สายธารน้ำใจหลั่งไหลมาที่บ้านของคุณตาบ้าง เมื่อเร็วๆนี้ สำนักข่าวซินหัวสื่อยักษ์ใหญ่ของรัฐก็รายงานเรื่องดังกล่าว ทำให้มีเงินช่วยเหลือตกมาถึงมือคุณตา 3,000 กว่าหยวน ผู้มีน้ำใจบางรายก็ช่วยรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการรักษาพยาบาลเด็กที่ป่วยก็มี
“ชีวิตทุกวันนี้ดีกว่าช่วงปี 88 เป็นร้อยเท่า ไม่เพียงแค่ในเมืองติ้งซี ทั่วทั้งประเทศ ทั่วทั้งโลก ทุกคนต่างรู้ว่าพวกเราเลี้ยงเด็กๆอยู่ ก็ส่งเงินช่วยเหลือมาจากที่ต่างๆ” คุณตาเฉินสั้งอี้ กล่าวด้วยความตื้นตัน
คุณตาเฉินยังได้รับรางวัลชมเชยมากมายจากการอุทิศตนเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าเหล่านี้แทนหน่วยงานของรัฐ อย่างไรก็ตาม แกก็กล่าวถึงรางวัลเหล่านั้นไว้อย่างน่าคิดว่า “รางวัลที่ได้มาไม่น้อยก็จริง แต่ชีวิตของเด็กๆพวกนี้ก็ยังไม่ดีขึ้นมากนัก เจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่มาเยี่ยมก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก”
ผู้สื่อข่าวที่เฝ้าสังเกตการณ์ในบ้านเด็กกำพร้าของคุณตาเฉินยังรายงานว่า เสื้อผ้าของเด็กๆยังใส่กันซ้ำๆโดยไม่ได้เปลี่ยนจนเนื้อตัวขึ้นผื่น ส่วนตัวคุณตาเฉินเองก็ป่วยเป็นโรคหัวใจบางครั้งเหนื่อยล้ามากจนทานข้าวไม่ลง ต้องไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล ด้านคุณยายจางหลันอิงเอวก็บาดเจ็บแต่ต้องทำงานหนักทั้งวัน นอกจากนี้ เด็กๆที่โตพอจะเข้าโรงเรียนแล้วผลการเรียนก็ยังไม่ดี
สื่อยังคงตั้งคำถามกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า เงินช่วยเหลือจะเพียงพอกับความต้องการหรือไม่ ผู้เฒ่าทั้งสองจะสามารถใช้เงินเหล่านั้นได้อย่างเต็มที่หรือไม่ แม้ว่าการพึ่งอาชีพเก็บขยะเลี้ยงดูเด็กกำพร้าของ 2 ตายายจะเป็นเรื่องที่ชวนให้ทุกคนอัศจรรย์ใจ แต่เบื้องหลังนั้นเล่าพวกเขาต้องเผชิญกับความขัดแย้งทางด้านกฎหมายที่กำหนดไว้ว่า ครอบครัวชาวจีนครอบครัวหนึ่งจะเลี้ยงเด็กกำพร้าไว้ได้ไม่เกิน 3 คน อีกทั้งยังต้องมีความมั่นคงทางการเงินและมีคุณภาพชีวิตระดับกลางขึ้นไป และยังต้องเป็นผู้มีอายุระหว่าง 30 -65 ปีด้วย เหล่านี้จะแก้ไขอย่างไร
สำหรับคุณตาผู้ใจบุญดูเหมือนว่ากฎหมายคงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตมากนัก เพราะ 2 ตายายยังคงมีความสุขกับลูกๆของแกแม้ว่าจะเผชิญกับสิ่งที่คนอื่นๆมองว่าเป็นปัญหารอบด้านเช่นนี้ คุณตาเฉินกล่าวกับผู้สื่อข่าวก่อนจากกันว่า “ฉันจูงมือนำพวกเขา รอจนพวกเขาโตขึ้น มีงานทำ มีข้าวกิน ถึงฉันตายก็ตายตาหลับแล้วหละ”
***********************************
ที่อยู่ของคุณตาเฉินสั้งอี้ :
中国 743000 甘肃省 定西市 安定区 民主路 24号 陈尚义先生
หรือโทรศัพท์ให้ความช่วยเหลือที่ :
เฉินสั้งอี้ 陈尚义:电话 00-86-932—6910395 หรือ 00-86-932—8282663
หวังถิงฝู 王廷福:电话 13993288368 (รองผู้อำนวยการสำนักงานกิจการพลเรือน เขตอันติ้ง เมืองติ้งซี )
เรียบเรียงจาก ซีน่าเน็ต / 163 ดอท คอม