เรื่องนักท่องเที่ยวจีนไปทำเลอะที่สวนสนุกดิสนีย์แลนด์ฮ่องกง กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที โดยเฉพาะในแวดวงการท่องเที่ยวจีน ถึงกับมีการนำเสนอมารยาทสากลให้แก่นักท่องเที่ยวเพื่อจะได้ปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง จะได้ไม่เป็นที่รังเกียจของชาวโลก
เพราะภาพที่ปรากฎ ไม่เพียงแต่หมายถึงเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของคนจีน ของประเทศจีนด้วย
ทำนองเดียวกับที่คนไทยเราออกมาโวยเรื่องผู้หญิงขายตัวเดินสายไป “หากิน” ต่างประเทศจนทำชื่อ “เสีย”ให้กับหญิงไทยและประเทศไทยอย่างหนัก ไม่มีใครเห็นดีเห็นงามไปด้วยกับพฤติกรรมของผู้หญิงหากินเหล่านั้น
แสดงว่า ปัญหาภาพลักษณ์คนจีนที่กระเดียดไปในทาง “อัปลักษณ์” มีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนจีนทั่วไป และก็น่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้เช่นเดียวกันว่า การแสดงออกเช่นว่าของนักท่องเที่ยวจีน มิได้เป็นมาตรฐานร่วมกันของคนจีนทั่วไป
อย่างน้อยที่สุด การปฏิบัติตนของนักท่องเที่ยวจีนในต่างแดน ก็ไม่ควรเป็นไปในลักษณะที่เป็นอยู่ในบ้านในเมืองของตน อย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้แบบ “เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม”
เป็นความหลงผิด ?
พฤติกรรมการแสดงที่ไม่เจริญหูเจริญตาของนักท่องเที่ยวจีน(แผ่นดินใหญ่) รวมๆแล้วมีสามแบบใหญ่ๆ คือ 1. ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งในที่สาธารณะ 2. ไม่มีระเบียบวินัย ไม่ต่อแถวเข้าคิว และ 3. ไม่รักษาความสะอาดในที่สาธารณะ สรุปแล้วเกี่ยวข้องกับเรื่องสาธารณะทั้งสิ้น
ผลคือ การส่งเสียงเอะอะ คุยกันลั่นในห้องรับรองสนามบินหรือโรงแรม และการไม่รู้จักรักษาความสะอาดของสถานที่ ทำให้โรงแรมบางแห่งในต่างประเทศถึงกับขึ้นป้ายไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน การแก่งแย่งที่นั่งบนเครื่องบินหรือการลัดคิวแบบหน้าตาเฉยทำให้ผู้โดยสารอื่นๆหรือผู้ที่ยืนรอคิวอยู่พากันรู้สึกโกรธเคือง สร้างความเสื่อมเสียให้แก่คนจีนและประเทศจีนโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้สึกรังเกียจจีนเพราะจากประสบการณ์ตรงของตน ทั้งที่อยู่ในประเทศจีน และจากที่ได้พบเห็นพฤติกรรมคนจีนมากับตาของตนในบ้านตนและในต่างประเทศ
ยิ่งคนจีนออกท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่คนต่างประเทศจะรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงคนจีนหรือ “ความเป็นจีน”ก็มากขึ้น
มีการถกเถียงกันมากว่า ผลที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะคนอื่นตั้งข้อรังเกียจคนจีน หรือเป็นเพราะพฤติกรรมคนจีนทำให้คนอื่นเขาเกิดความรังเกียจ ?
แรกๆดูเหมือนเหตุผลของฝ่ายแรกจะเหนือกว่า ดังนั้น พอมีเรื่องเกิดขึ้น คนจีนก็มักจะแสดงอาการประท้วง เรียกร้องให้คนอื่นปรับท่าที คือแสดงท่าทีต่อคนจีนดีขึ้น เอาใจและเกรงใจมากขึ้น แต่เหตุการณ์ต่อๆมามันฟ้องว่า ปัญหามาจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงมีคำถามต่อไปว่า แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
คำตอบทั่วไปที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือ เป็นเพราะคนจีนรวยขึ้น แต่ไม่ประสีประสากับโลกภายนอก จึงพาเอาพฤติกรรมความเคยชินที่ตนเองมีอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันติดตัวไปด้วย
เหตุผลนี้พอฟังได้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวเกือบสิบเปอร์เซ็นต์ทุกปี คนจีนกระเป๋าตุงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พอมีเงินก็พากันใช้สนุกมือ เพราะมีสินค้าและบริการล่อใจไปทั่ว และสังคมจีนก็ยอมรับในอำนาจของเงิน ถือว่าลูกค้าคือพระเจ้า คนมีเงินได้รับการเอาเอาใจมาก ถึงจะกร่างอย่างไรก็ไม่มีใครทำอะไรได้
ยิ่งแย่กว่านั้นคือ คนมีเงินที่กร่างจนเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มีไม่น้อยมาจากบรรดาลูกท่านหลานเธอ ได้แก่ลูกหลานมีผู้มีอำนาจหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐและนักธุรกิจพ่อค้าเศรษฐีใหม่ คนพวกนี้ไม่เพียงทำตัวเป็นพระเจ้าในจีนเท่านั้น ยังเที่ยวไปอวดรวยในต่างแดน ช็อกความรู้สึกชาวต่างประเทศมากต่อมาก ถึงกับพลิกอารมณ์ชาวต่างประเทศ จากที่เคยรู้สึกชื่นชมว่าคนจีนและเด็กจีนขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ มาเป็นว่าเด็กจีนใช้ชีวิตสุลุ่ยสุร่าย ไม่เอาถ่าน มากขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีนเองก็ประสบกับ “หายนภัย”จากนักท่องเที่ยวมังกรมามากต่อมาก พฤติกรรมการแสดงออกที่น่ารังเกียจทั้งหลายแหล่ก็นับวันจะโดนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า สิ่งที่กำลังเป็นไป แม้ในหมู่คนจีนเองก็ไม่ต้องการ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่ค่อยรู้สึก ก็เพราะมันเคยเป็นมาอย่างนั้นมาโดยตลอด จนเป็นความเคยชินหรือกระทั่งเข้าข่ายเป็น“วัฒนธรรม”แบบหนึ่ง นานมาแล้ว พอนำไปปฏิบัติในสถานที่แปลกแยกจากเดิม เช่นโรงแรมชั้นหนึ่งหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในจีนและต่างประเทศ ก็ทำตัวไม่ถูก หรือกระทั่งแสดงพฤติกรรม “ขี้เท่อ”ที่ตนเองอาจรู้สึกว่า “เท่” สุดๆ
แนวโน้มจะดีขึ้น
เช่นเดียวกันกับปัญหาและอุปสรรคอื่นๆ เมื่อคนจีนรู้ตัวแล้วก็จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น นี่คือข้อดีที่ฝังหัวคนจีน ยกเว้นกลุ่มคนที่หยิ่งผยอง ทำตัวกร่าง แสดงอำนาจ ซึ่งในที่สุดก็จะหนีไม่พ้นเสียงก่นด่าของสังคมจีน
ดูเหมือนผู้ที่รู้จีนจริงอย่างสิงคโปร์จะไม่วิตกกังวลในเรื่องนี้ ไม่มีข่าวถึงเรื่องการรังเกียจนักท่องเที่ยวจีนที่นั่น ต่างจากของไทยเราที่ชอบติดป้ายภาษาจีน(เพียงภาษาเดียว)ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าเขตนั้นเขตนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าตนถูกเลือกปฏิบัติ
แสดงว่านักท่องเที่ยวชาติอื่น ล้ำเลิศกว่าคนจีน กระนั้นหรือ ?
โดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมการแสดงออกของไทยเรา(ต่อนักท่องเที่ยวจีน)ก็มีความน่ารังเกียจไม่น้อย เช่นกัน !
เพราะภาพที่ปรากฎ ไม่เพียงแต่หมายถึงเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงภาพลักษณ์โดยรวมของคนจีน ของประเทศจีนด้วย
ทำนองเดียวกับที่คนไทยเราออกมาโวยเรื่องผู้หญิงขายตัวเดินสายไป “หากิน” ต่างประเทศจนทำชื่อ “เสีย”ให้กับหญิงไทยและประเทศไทยอย่างหนัก ไม่มีใครเห็นดีเห็นงามไปด้วยกับพฤติกรรมของผู้หญิงหากินเหล่านั้น
แสดงว่า ปัญหาภาพลักษณ์คนจีนที่กระเดียดไปในทาง “อัปลักษณ์” มีผลกระทบต่อความรู้สึกของคนจีนทั่วไป และก็น่าจะเป็นสิ่งบ่งบอกได้เช่นเดียวกันว่า การแสดงออกเช่นว่าของนักท่องเที่ยวจีน มิได้เป็นมาตรฐานร่วมกันของคนจีนทั่วไป
อย่างน้อยที่สุด การปฏิบัติตนของนักท่องเที่ยวจีนในต่างแดน ก็ไม่ควรเป็นไปในลักษณะที่เป็นอยู่ในบ้านในเมืองของตน อย่างน้อยก็ต้องทำให้ได้แบบ “เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็หลิ่วตาตาม”
เป็นความหลงผิด ?
พฤติกรรมการแสดงที่ไม่เจริญหูเจริญตาของนักท่องเที่ยวจีน(แผ่นดินใหญ่) รวมๆแล้วมีสามแบบใหญ่ๆ คือ 1. ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งในที่สาธารณะ 2. ไม่มีระเบียบวินัย ไม่ต่อแถวเข้าคิว และ 3. ไม่รักษาความสะอาดในที่สาธารณะ สรุปแล้วเกี่ยวข้องกับเรื่องสาธารณะทั้งสิ้น
ผลคือ การส่งเสียงเอะอะ คุยกันลั่นในห้องรับรองสนามบินหรือโรงแรม และการไม่รู้จักรักษาความสะอาดของสถานที่ ทำให้โรงแรมบางแห่งในต่างประเทศถึงกับขึ้นป้ายไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน การแก่งแย่งที่นั่งบนเครื่องบินหรือการลัดคิวแบบหน้าตาเฉยทำให้ผู้โดยสารอื่นๆหรือผู้ที่ยืนรอคิวอยู่พากันรู้สึกโกรธเคือง สร้างความเสื่อมเสียให้แก่คนจีนและประเทศจีนโดยรวมเป็นอย่างยิ่ง มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่รู้สึกรังเกียจจีนเพราะจากประสบการณ์ตรงของตน ทั้งที่อยู่ในประเทศจีน และจากที่ได้พบเห็นพฤติกรรมคนจีนมากับตาของตนในบ้านตนและในต่างประเทศ
ยิ่งคนจีนออกท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่คนต่างประเทศจะรู้สึกรังเกียจและขยะแขยงคนจีนหรือ “ความเป็นจีน”ก็มากขึ้น
มีการถกเถียงกันมากว่า ผลที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะคนอื่นตั้งข้อรังเกียจคนจีน หรือเป็นเพราะพฤติกรรมคนจีนทำให้คนอื่นเขาเกิดความรังเกียจ ?
แรกๆดูเหมือนเหตุผลของฝ่ายแรกจะเหนือกว่า ดังนั้น พอมีเรื่องเกิดขึ้น คนจีนก็มักจะแสดงอาการประท้วง เรียกร้องให้คนอื่นปรับท่าที คือแสดงท่าทีต่อคนจีนดีขึ้น เอาใจและเกรงใจมากขึ้น แต่เหตุการณ์ต่อๆมามันฟ้องว่า ปัญหามาจากพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนมากกว่าสิ่งอื่นใด จึงมีคำถามต่อไปว่า แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?
คำตอบทั่วไปที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือ เป็นเพราะคนจีนรวยขึ้น แต่ไม่ประสีประสากับโลกภายนอก จึงพาเอาพฤติกรรมความเคยชินที่ตนเองมีอยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันติดตัวไปด้วย
เหตุผลนี้พอฟังได้ เศรษฐกิจจีนขยายตัวเกือบสิบเปอร์เซ็นต์ทุกปี คนจีนกระเป๋าตุงจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พอมีเงินก็พากันใช้สนุกมือ เพราะมีสินค้าและบริการล่อใจไปทั่ว และสังคมจีนก็ยอมรับในอำนาจของเงิน ถือว่าลูกค้าคือพระเจ้า คนมีเงินได้รับการเอาเอาใจมาก ถึงจะกร่างอย่างไรก็ไม่มีใครทำอะไรได้
ยิ่งแย่กว่านั้นคือ คนมีเงินที่กร่างจนเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี มีไม่น้อยมาจากบรรดาลูกท่านหลานเธอ ได้แก่ลูกหลานมีผู้มีอำนาจหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐและนักธุรกิจพ่อค้าเศรษฐีใหม่ คนพวกนี้ไม่เพียงทำตัวเป็นพระเจ้าในจีนเท่านั้น ยังเที่ยวไปอวดรวยในต่างแดน ช็อกความรู้สึกชาวต่างประเทศมากต่อมาก ถึงกับพลิกอารมณ์ชาวต่างประเทศ จากที่เคยรู้สึกชื่นชมว่าคนจีนและเด็กจีนขยันขันแข็ง ประหยัดมัธยัสถ์ มาเป็นว่าเด็กจีนใช้ชีวิตสุลุ่ยสุร่าย ไม่เอาถ่าน มากขึ้นเรื่อยๆ
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศจีนเองก็ประสบกับ “หายนภัย”จากนักท่องเที่ยวมังกรมามากต่อมาก พฤติกรรมการแสดงออกที่น่ารังเกียจทั้งหลายแหล่ก็นับวันจะโดนวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่า สิ่งที่กำลังเป็นไป แม้ในหมู่คนจีนเองก็ไม่ต้องการ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมายังไม่ค่อยรู้สึก ก็เพราะมันเคยเป็นมาอย่างนั้นมาโดยตลอด จนเป็นความเคยชินหรือกระทั่งเข้าข่ายเป็น“วัฒนธรรม”แบบหนึ่ง นานมาแล้ว พอนำไปปฏิบัติในสถานที่แปลกแยกจากเดิม เช่นโรงแรมชั้นหนึ่งหรือสถานที่ท่องเที่ยวทั้งในจีนและต่างประเทศ ก็ทำตัวไม่ถูก หรือกระทั่งแสดงพฤติกรรม “ขี้เท่อ”ที่ตนเองอาจรู้สึกว่า “เท่” สุดๆ
แนวโน้มจะดีขึ้น
เช่นเดียวกันกับปัญหาและอุปสรรคอื่นๆ เมื่อคนจีนรู้ตัวแล้วก็จะพยายามแก้ไขให้ดีขึ้น นี่คือข้อดีที่ฝังหัวคนจีน ยกเว้นกลุ่มคนที่หยิ่งผยอง ทำตัวกร่าง แสดงอำนาจ ซึ่งในที่สุดก็จะหนีไม่พ้นเสียงก่นด่าของสังคมจีน
ดูเหมือนผู้ที่รู้จีนจริงอย่างสิงคโปร์จะไม่วิตกกังวลในเรื่องนี้ ไม่มีข่าวถึงเรื่องการรังเกียจนักท่องเที่ยวจีนที่นั่น ต่างจากของไทยเราที่ชอบติดป้ายภาษาจีน(เพียงภาษาเดียว)ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าเขตนั้นเขตนี้ ทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้นักท่องเที่ยวจีนรู้สึกว่าตนถูกเลือกปฏิบัติ
แสดงว่านักท่องเที่ยวชาติอื่น ล้ำเลิศกว่าคนจีน กระนั้นหรือ ?
โดยไม่รู้ตัว พฤติกรรมการแสดงออกของไทยเรา(ต่อนักท่องเที่ยวจีน)ก็มีความน่ารังเกียจไม่น้อย เช่นกัน !