ดาราเอกแห่งวงการภาพยนตร์ฮ่องกงคนนี้ มีชื่อเดิมว่า เฉิงเยี่ยว์หยู (程月如) เป็นคนเมืองกุ้ยหลิน เขตปกครองตนเองชนชาติจ้วง กว่างซี เกิดเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ.1934 เป็นบุตรสาวคนโตของเฉิงซือหยวน ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของก๊กมินตั๋ง สืบเนื่องจากบ้านเมืองในขณะนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศของความไม่สงบทางการเมือง ชีวิตในวัยเด็กของดาวค้างฟ้าดวงนี้จึงเต็มไปด้วยความลำเค็ญ จนในปี 1949 ที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนมีชัยชนะเหนือก๊กมินตั๋งอย่างราบคาบ ขณะที่เธอกำลังเรียนชั้นมัธยมต้น ก็ต้องย้ายตามครอบครัวไปลงหลักปักฐานที่ฮ่องกง
ดวงชะตาของเธอเริ่มถูกผูกเข้ากับวงการบันเทิง เมื่ออายุได้ 17 ปี คือในปี 1951 โดยในขณะนั้น เธอรับงานเป็นนางแบบให้กับห้องภาพแห่งหนึ่ง และมีภาพของเธอวางโชว์อยู่หน้าร้าน ซึ่งกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้หยวนอิงอันแห่งบริษัทภาพยนตร์ฉางเฉิงรีบเรียกสาวน้อยเข้ามาเทสต์หน้ากล้อง และจับเซ็นสัญญาเข้าเป็นดาราในค่าย พร้อมเปลี่ยนชื่อจากเฉิงเยี่ยว์หยู ให้เป็นหลินไต้ 林黛 ใกล้เคียงกับชื่อลินดา ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของเธอ
อย่างไรก็ตาม แม้มีสังกัดแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาสให้เธอได้แสดงฝีมือเลย ดังนั้น ในปี 1952 หลินไต้จึงเปลี่ยนสังกัดไปอยู่กับบริษัทภาพยนตร์หย่งหัว และเริ่มสร้างชื่อในภาพยนตร์เรื่องแรก คือ ‘ชุ่ยชุ่ย’ 《翠翠 Singing Under the Moon 》ด้วยภาพลักษณ์ของสาวพายเรือผู้ไร้เดียงสา แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจของบริษัทที่สั่นคลอน ในปีต่อมา หลินไต้ก็กลายเป็นนักแสดงผู้ไม่ฝักใฝ่ค่ายใดๆ และเป็นโอกาสให้ได้ร่วมงานกับบริษัทดังอย่าง MP&GI และชอว์ บราเดอร์ส ซึ่งหนึ่งในผลงานจาก MP&GI คือเรื่อง 《红娃Scarlet Doll 》ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์การทำเงินสูงสุดทั้งในฮ่องกงและไต้หวัน
หลินไต้ได้รับรางวัลราชินีจอเงินเป็นครั้งแรก ในงานเทศกาลภาพยนตร์เอเชียครั้งที่ 4 เมื่อปี 1957 จากภาพยนตร์เรื่อง 《金莲花 อภินิหารโคมวิเศษ》 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของ MP&GI และในปีถัดมายังเป็นนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในเทศกาลดังกล่าวครั้งที่ 5 ที่เมืองมะนิลา จากเรื่อง เตียวเสี้ยน 《貂蝉 Diau Charn》
2 รางวัลนี้ทำให้งานแสดงของหลินไต้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แต่กระนั้น หลินก็ยังหาเวลาว่างไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค ในชั้นเรียนวิชาการแสดงและภาษาศาสตร์เป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งช่วงนี้เอง เป็นโอกาสที่ทำให้เธอได้พบกับหลงเสิงซวิน บุตรชายของอดีตผู้ว่าการมณฑลหยุนหนัน และตกหลุมรักกันจนแต่งงานในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1961 ที่ฮ่องกง
หลังจากแต่งงานแล้ว หลินไต้ก็เป็นนักแสดงของชอว์ บราเดอร์สอย่างเต็มตัว และอาชีพนักแสดงของเธอก็ถึงจุดรุ่งโรจน์สูงสุด เมื่อได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์เอเชียเป็นครั้งที่ 3 และ 4 ในปี 1961 และ 1962 จากภาพยนตร์เรื่อง 《千娇百媚 หรือ Les Belles 》และ 《 不了情 หรือ Love without End 》 ซึ่งการได้รับรางวัลติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ไม่ได้นำความภาคภูมิใจมาสู่หลินไต้เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นความสำเร็จของวงการภาพยนตร์จีนที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และชื่อเสียงของหลินไต้ก็ขจรขจายไปไกลอย่างไร้พรมแดน ส่งผลให้ผลงานเรื่องนางพญางูขาว 《白蛇传》 ของเธอในปี 1962 มีรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ของบ็อกซ์ออฟฟิศฮ่องกงทีเดียว
แต่แล้วน่าเสียดายที่ในช่วงการงานรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด วันที่ 17 พฤษภาคม 1964 ก็เป็นวันที่วงการภาพยนตร์เอเชียต้องสูญเสียสูงสุดเช่นกัน เมื่อหลินไต้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด พร้อมเปิดแก๊สทิ้งไว้ในบ้าน โดยเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นการเสียชีวิตก่อนอายุครบ 30 ปีถึง 5 เดือนด้วยซ้ำ และสร้างความตกตะลึงให้กับแฟนหนังจีนทุกหนแห่งทั่วโลก ในวันที่มีพิธีศพของเธอนั้น ก็มีผู้ที่ติดตามผลงานของเธอจำนวนมืดฟ้ามัวดิน หลั่งไหลมาร่วมพิธีส่งเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความเศร้าเสียใจ....
ทั้งนี้ ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เธอ เช่น
翠翠 / Singing Under the Moon1952
金莲花 / Golden Lotus 1957
情场如战场/ A Battle of Love 1957
貂蝉 / Diau Charn / เตียวเสี้ยน 1958
云裳艳后/ Cinderella and Her Little Angels 1959
江山美人 / Kingdom and the Beauty /จอมใจจักรพรรดิ 1959
千娇百媚 /Les Belles 1961
不了情 / Love without End 1961
白蛇传 / Madame White Snake นางพญางูขาว 1962
王昭君/ Wang Zhao Jun /หวังเจาจวิน 1964
宝莲灯/ The Lotus Lamp/ อภินิหารโคมวิเศษ 1965
เรียบเรียงจาก โซหูเน็ต , www.geocities.com












ดวงชะตาของเธอเริ่มถูกผูกเข้ากับวงการบันเทิง เมื่ออายุได้ 17 ปี คือในปี 1951 โดยในขณะนั้น เธอรับงานเป็นนางแบบให้กับห้องภาพแห่งหนึ่ง และมีภาพของเธอวางโชว์อยู่หน้าร้าน ซึ่งกลายเป็นสิ่งดึงดูดให้หยวนอิงอันแห่งบริษัทภาพยนตร์ฉางเฉิงรีบเรียกสาวน้อยเข้ามาเทสต์หน้ากล้อง และจับเซ็นสัญญาเข้าเป็นดาราในค่าย พร้อมเปลี่ยนชื่อจากเฉิงเยี่ยว์หยู ให้เป็นหลินไต้ 林黛 ใกล้เคียงกับชื่อลินดา ซึ่งเป็นชื่อภาษาอังกฤษของเธอ
อย่างไรก็ตาม แม้มีสังกัดแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาสให้เธอได้แสดงฝีมือเลย ดังนั้น ในปี 1952 หลินไต้จึงเปลี่ยนสังกัดไปอยู่กับบริษัทภาพยนตร์หย่งหัว และเริ่มสร้างชื่อในภาพยนตร์เรื่องแรก คือ ‘ชุ่ยชุ่ย’ 《翠翠 Singing Under the Moon 》ด้วยภาพลักษณ์ของสาวพายเรือผู้ไร้เดียงสา แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจของบริษัทที่สั่นคลอน ในปีต่อมา หลินไต้ก็กลายเป็นนักแสดงผู้ไม่ฝักใฝ่ค่ายใดๆ และเป็นโอกาสให้ได้ร่วมงานกับบริษัทดังอย่าง MP&GI และชอว์ บราเดอร์ส ซึ่งหนึ่งในผลงานจาก MP&GI คือเรื่อง 《红娃Scarlet Doll 》ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์การทำเงินสูงสุดทั้งในฮ่องกงและไต้หวัน
หลินไต้ได้รับรางวัลราชินีจอเงินเป็นครั้งแรก ในงานเทศกาลภาพยนตร์เอเชียครั้งที่ 4 เมื่อปี 1957 จากภาพยนตร์เรื่อง 《金莲花 อภินิหารโคมวิเศษ》 ซึ่งเป็นภาพยนตร์ของ MP&GI และในปีถัดมายังเป็นนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม ในเทศกาลดังกล่าวครั้งที่ 5 ที่เมืองมะนิลา จากเรื่อง เตียวเสี้ยน 《貂蝉 Diau Charn》
2 รางวัลนี้ทำให้งานแสดงของหลินไต้ยิ่งเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม แต่กระนั้น หลินก็ยังหาเวลาว่างไปเรียนต่อในมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นิวยอร์ค ในชั้นเรียนวิชาการแสดงและภาษาศาสตร์เป็นเวลาหลายเดือน ซึ่งช่วงนี้เอง เป็นโอกาสที่ทำให้เธอได้พบกับหลงเสิงซวิน บุตรชายของอดีตผู้ว่าการมณฑลหยุนหนัน และตกหลุมรักกันจนแต่งงานในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ปี 1961 ที่ฮ่องกง
หลังจากแต่งงานแล้ว หลินไต้ก็เป็นนักแสดงของชอว์ บราเดอร์สอย่างเต็มตัว และอาชีพนักแสดงของเธอก็ถึงจุดรุ่งโรจน์สูงสุด เมื่อได้รับรางวัลนักแสดงหญิงยอดเยี่ยมในเทศกาลภาพยนตร์เอเชียเป็นครั้งที่ 3 และ 4 ในปี 1961 และ 1962 จากภาพยนตร์เรื่อง 《千娇百媚 หรือ Les Belles 》และ 《 不了情 หรือ Love without End 》 ซึ่งการได้รับรางวัลติดต่อกันถึง 4 ครั้ง ไม่ได้นำความภาคภูมิใจมาสู่หลินไต้เพียงคนเดียว แต่ยังเป็นความสำเร็จของวงการภาพยนตร์จีนที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และชื่อเสียงของหลินไต้ก็ขจรขจายไปไกลอย่างไร้พรมแดน ส่งผลให้ผลงานเรื่องนางพญางูขาว 《白蛇传》 ของเธอในปี 1962 มีรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ของบ็อกซ์ออฟฟิศฮ่องกงทีเดียว
แต่แล้วน่าเสียดายที่ในช่วงการงานรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด วันที่ 17 พฤษภาคม 1964 ก็เป็นวันที่วงการภาพยนตร์เอเชียต้องสูญเสียสูงสุดเช่นกัน เมื่อหลินไต้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองด้วยการกินยานอนหลับเกินขนาด พร้อมเปิดแก๊สทิ้งไว้ในบ้าน โดยเชื่อว่ามีสาเหตุมาจากปัญหาครอบครัว ซึ่งเป็นการเสียชีวิตก่อนอายุครบ 30 ปีถึง 5 เดือนด้วยซ้ำ และสร้างความตกตะลึงให้กับแฟนหนังจีนทุกหนแห่งทั่วโลก ในวันที่มีพิธีศพของเธอนั้น ก็มีผู้ที่ติดตามผลงานของเธอจำนวนมืดฟ้ามัวดิน หลั่งไหลมาร่วมพิธีส่งเธอเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความเศร้าเสียใจ....
ทั้งนี้ ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เธอ เช่น
翠翠 / Singing Under the Moon1952
金莲花 / Golden Lotus 1957
情场如战场/ A Battle of Love 1957
貂蝉 / Diau Charn / เตียวเสี้ยน 1958
云裳艳后/ Cinderella and Her Little Angels 1959
江山美人 / Kingdom and the Beauty /จอมใจจักรพรรดิ 1959
千娇百媚 /Les Belles 1961
不了情 / Love without End 1961
白蛇传 / Madame White Snake นางพญางูขาว 1962
王昭君/ Wang Zhao Jun /หวังเจาจวิน 1964
宝莲灯/ The Lotus Lamp/ อภินิหารโคมวิเศษ 1965
เรียบเรียงจาก โซหูเน็ต , www.geocities.com