จูหรงจี นายกรัฐมนตรีจีนคนที่ 5 ของสาธารณรัฐประชาชนจีน หนึ่งในผู้นำจีนรุ่นที่ 3 สมัยประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมินเป็นแกนนำ เขาโด่งดังในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีผู้มาพร้อมกับความมหัศจรรย์หลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ ที่ทั้งชาวจีนและต่างชาติยอมรับในฝีมือ เขายังเป็นนักการเมืองแห่งประเทศฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่ผู้นำประเทศใหญ่ๆ ในโลกอยากจะพบปะสนทนาด้วย หรือแม้แต่ข้อกังขาน่าอัศจรรย์ที่ว่า จูสืบสายเลือดมาจากปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์หมิง หมิงไท่จู่ จูหยวนจาง !
จูผู้เป็นคนตรงไปตรงมา เปิดกว้างและยึดถือความซื่อสัตย์ ยังเป็นนักการเมืองที่แปลกจากผู้นำจีนรุ่นเก่าๆ คือบ่อยครั้งที่ปราศรัยต่อหน้าฝูงชนเขามักจะกล่าวสดโดยไม่อาศัยร่าง และที่สำคัญยังเป็นคนมีอารมณ์ขันและเป็นกันเอง ซึ่งกิตติศัพท์เรื่องนี้เป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวาง โดยเขามักปล่อยมุกกับสื่อมวลชนในงานแถลงข่าวและการสัมภาษณ์หลายต่อหลายครั้ง จึงอาจนับได้ว่าเขาเป็นนักการเมืองระดับผู้นำของจีนคนแรกที่ใกล้ชิดกับสื่อ โดยเฉพาะสื่อในฮ่องกง ไต้หวันและตะวันตกกล้าเล่นกล้าแซวเขา โดยมีการตั้งฉายาให้ว่า “จูหน้าเหล็ก” (หมายถึงเป็นผู้อยู่บนความเที่ยงธรรม ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม) “พระเจ้าซาร์เศรษฐกิจ” หรือแม้แต่ “กอร์บาชอฟแห่งประเทศจีน”
มือดีทางเศรษฐกิจ ทายาทที่ถูกวางตัวโดยเติ้งเสี่ยวผิง
นับตั้งแต่ผู้นำรุ่นที่ 2 ซึ่งมีเติ้งเสี่ยวผิงเป็นแกนนำ ได้ริเริ่มแนวคิดเปิดประเทศและผลักดันการปฏิรูปเศรษฐกิจขึ้นเมื่อปลายทศวรรษที่ 70 (ศตวรรษที่ 20) ในช่วงเริ่มต้นที่ล้มลุกคลุกคลานนั้นเป็นเวทีพิสูจน์ความสามารถของคนทำงานทั้งหลาย จูหรงจีก็เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาสเข้าไปร่วมงานในหน่วยงานด้านเศรษฐกิจทั้งระดับท้องถิ่นและคณะกรรมการระดับประเทศ และได้แสดงฝีมือให้ผู้ใหญ่ได้เห็นหลายครั้ง ในสายตาของรัฐบุรุษเติ้งเสี่ยวผิง จูหรงจี คือ “คนเก่งด้านเศรษฐกิจที่มีไม่มากนักในเมืองจีน” เขาจึงได้รับการวางตัวจากเติ้งให้มาช่วยงานด้านปฏิรูปเศรษฐกิจในทีมผู้บริหารประเทศรุ่นที่ 3
ปี ค.ศ.1991 จูหรงจี ข้าราชการจากหน่วยงานวางแผนงานด้านเศรษฐกิจแห่งชาติ ผู้ที่ได้ชื่อว่ารู้เรื่องเศรษฐกิจดีในวัย 63 ปี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน
ในฐานะอดีตนายกเทศมนตรีนครเซี่ยงไฮ้ที่อยู่ในตำแหน่งมา 3 ปี ผู้นำความเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลมาสู่มหานครแห่งนี้ ผู้คนยกย่องว่า เขาคือผู้พลิกศักยภาพของเซี่ยงไฮ้ให้กลับมาเป็นศูนย์กลางการเงินและอุตสาหกรรมการผลิตชั้นแนวหน้าของประเทศสำเร็จ และยังฝากผลงานเป็นโฉมหน้าใหม่ของเมืองผู่ตงที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการขยายเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคม ตลอดจนการรุกคืบของโครงการก่อสร้างในแถบชานเมืองเซี่ยงไฮ้ ทำให้ชื่อของจูหรงจีเป็นที่รู้จักทั้งในและนอกประเทศ และยังเป็นความหวังในการรับมือกับปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังร้อนแรงทั้งในภาคอุตสาหกรรม เกษตรกรรมและการเงินในขณะนั้น
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากการขานรับแนวคิดการปฏิรูปเศรษฐกิจของเติ้งเสี่ยวผิงอย่างเป็นรูปธรรมของเหล่าผู้นำระดับท้องถิ่น อาทิ การผุดขึ้นของเขตเศรษฐกิจอย่างคึกคัก การกู้เงินจากธนาคารกลางเพื่อการลงทุนในธุรกิจต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการร่วมทุนกับต่างชาติอย่างไม่ลืมหูลืมตา ตลอดจนการฉวยโอกาสจากตำแหน่งหน้าที่กระทำการคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้บริหารท้องถิ่น ตลอดจนเอื้อประโยชน์ต่อเครือญาติของบุคคลในพรรคฯ และอีกหลายประการที่ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นไปอย่างไร้ระเบียบและขาดสมดุล
รองนายกฯ จูหรงจีผู้นั่งอยู่ในตำแหน่งดูแลรับผิดชอบด้านเศรษฐกิจ ได้เสนอ “หลักปฏิบัติ 16 ประการ”* เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจฟองสบู่ ควบคุมการขยายตัวและคลายความร้อนแรงทางเศรษฐกิจ ควบคู่กับการปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ทั้งนี้เมื่อหลักการดังกล่าวได้รับการเห็นชอบจากประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน จูหรงจีผู้ในขณะนั้นยังไม่มีบารมีในพรรคฯ ก็สามารถผลักดันหลักปฏิบัติ 16 ประการออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรม และถึงแม้ในระยะแรกจะต้องเผชิญกับอุปสรรคปัญหาเรื่องคน และความขัดแย้งกับกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม แต่จูหรงจีก็ใช้ความโปร่งใสและการเป็นแบบอย่างของข้าราชการที่มีประวัติขาวสะอาดเข้าต่อสู้
ความพยายามของจูส่งผลให้บรรดาเศรษฐีใหม่ทั้งหลายเสียผลประโยชน์ ถึงกับโกรธแค้นจูหรงจีและหมายมาดว่าจะเอาชีวิตกันเลย แต่จูหรงจีก็ลั่นวาจาว่า “คราวนี้เรามุ่งปราบเสือ ขอให้เตรียมโลงศพไว้ 100 โลง สำหรับเก็บศพพวกนั้น 99 โลงและอีกโลงเผื่อตัวผม ผมพร้อมจะดับไปกับพวกนั้นเพื่อความสุขนิรันดร์ของประเทศชาติและประชาชน”
“พระเจ้าซาร์แห่งเศรษฐกิจ”
ในระหว่างที่นายกฯ จูนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้นำรัฐบาล (มีนาคม ค.ศ.1998-2003) ประเทศจีนต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์ทั้งในและต่างประเทศที่เหนี่ยวรั้งการก้าวเดินของงานปฏิรูปเศรษฐกิจ อาทิ วิกฤตการณ์การเงินที่เกิดขึ้นในประเทศแถบเอเชีย การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความขัดแย้งของโครงสร้างอุตสาหกรรมในประเทศ การว่างงานของเจ้าหน้าที่ในรัฐวิสาหกิจ และการประสบอุทกภัยครั้งใหญ่ถึง 2 ครั้ง
ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง ประเทศชาติก็ได้ผ่านเหตุการณ์สำคัญๆหลายเรื่อง อาทิ การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) กรุงปักกิ่งได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพจัดงานโอลิมปิกในปี 2008 การฟื้นฟูอธิปไตยแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเหนือเกาะมาเก๊า พร้อมๆ กับการเริ่มดำเนินการโครงการพัฒนาเขตตะวันตกอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงความเจริญทางวัตถุที่มีให้เห็นตามเมืองใหญ่ๆ อาทิ การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือรถยนต์ที่เพิ่มมากขึ้นตามท้องถนน ฯลฯ
ขณะที่นายกฯ จูหรงจีบริหารเศรษฐกิจประเทศจีน ในช่วงเศรษฐกิจโลกชะลอตัว การลงทุนจากทั่วโลกลดลงครึ่งหนึ่งในปี 2000 เขาสามารถกระตุ้นการลงทุนในประเทศให้สูงขึ้นได้ถึง 10% และในช่วง 9 เดือนแรกของปี ค.ศ.2002 ประเทศจีนมีมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) ทะลุเป้าที่ตั้งไว้ เท่ากับ 7.9% ทั้งนี้เป็นผลมาจากการที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงในธุรกิจเอกชน โดยกระตุ้นอัตราค่าแรงให้เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ศักยภาพในการบริโภคเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ปี 2002 มูลค่าการค้าของจีนก็ทะยานสูงขึ้น 18% โดยมูลค่าการส่งออกสูงกว่าการนำเข้า และการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศก็ยังเพิ่มสูงขึ้น 22.6% เช่นกัน
ภาพที่เกิดขึ้นภายหลังตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของเขาสิ้นวาระลง คือสมาชิกสภาผู้แทนประชาชนแห่งที่ประชุมสภาผู้แทนประชาชนทั่วประเทศ ต่างปรบมือยอมรับรายงานสรุปผลงานของเขากันอย่างพร้อมพรัก
........ “ ตัวเลขเศรษฐกิจประชาชาติของจีนปี ค.ศ.2003 เติบโตเฉลี่ย 7.7% เศรษฐกิจระบบตลาดบนพื้นฐานการปกครองแบบสังคมนิยมของจีนเริ่มสร้างฐานขึ้นอย่างเป็นปึกแผ่น และพร้อมจะเติบโตขึ้นต่อไปในอนาคต” คือบทสรุปที่เป็นทางการที่สุดในฐานะผู้นำรัฐบาลที่เบนเข็มไปสู่แนวทางปฏิรูปและพัฒนาเศรษฐกิจของจูหรงจี ที่เขายอมรับว่า “สามารถบรรลุผลสำเร็จในงานใหญ่ที่หลายปีก่อนหน้านี้ไม่คาดคิดว่าจะทำได้สำเร็จ ”........
“งานใหญ่” ที่ประสบผลสำเร็จดังคำสรุปข้างต้นคงหนีไม่พ้น “เรื่องเศรษฐกิจ” ที่เป็นความชำนาญเฉพาะตัวของนายกฯ ผู้ได้รับคำยกย่องจากชาวจีนว่าเป็น “แมวดีที่จับหนูเก่ง” คนนี้
นักวิจารณ์ของจีนเคยกล่าวไว้ว่า ผลงานเรื่องเศรษฐกิจในช่วงที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรียังไม่โดดเด่นเท่าสมัยที่เป็นรองนายกฯ ดังนั้นจึงต่างยกย่องผลงานในช่วงนั้นที่ทำให้เขาได้รับฉายา “พระเจ้าซาร์เศรษฐกิจ” ผู้รู้ดีว่าเมื่อไหร่จะ ‘จับ’ หรือ ‘ปล่อย’ โอกาส
อ่านต่อหน้า 2
ในขณะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จูหรงจีโดยการสนับสนุนจากเติ้งเสี่ยวผิงและประธานาธิบดีเจียงเจ๋อหมิน สามารถใช้อำนาจ “จอมทัพเศรษฐกิจ” ได้อย่างเต็มที่ในการแก้ปัญหาสำคัญๆ อาทิ การเสนอทางออกเพื่อสางหนี้ที่เกิดขึ้นในระบบการเงินระหว่างรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่และกลางทั่วประเทศที่หมักหมมมานานกว่า 500,000 ล้านหยวน โดยการอัดฉีดเงินเพื่อพยุงกิจการในเบื้องต้น และกำหนดเส้นตายในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ เพื่อจับตาขั้นตอนการสางหนี้อย่างใกล้ชิด ถึงแม้ปัญหาดังกล่าวจะไม่สามารถกำจัดไปได้หมดสิ้น และยังส่งผลมาถึงสมัยที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งก็ตาม ทว่าหลังดำเนินงานตามแนวทางของจูไปได้หนึ่งปี ก็สามารถสางหนี้ได้กว่า 300,000 ล้านหยวน
หรือตัวอย่างการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างร้อนแรง การปั่นราคาที่ดิน และตลาดหุ้น ธนาคารปล่อยกู้มากเกินไปจนเริ่มมีหนี้เสีย โดยจูหรงจีได้เสนอให้มีการปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้น รวมถึงเสนอ “หลักปฏิบัติ 16 ประการ” ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมระบบเศรษฐกิจมหภาค (หงกวนเถียวค่ง) เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจอย่างเบ็ดเสร็จ
ถึงแม้ในเบื้องต้น นายหลี่กุ้ยเซียน ผู้ว่าการธนาคารกลางขณะนั้นจะไม่เห็นด้วยในแนวคิดและนำหลักการของเขามาปฏิบัติ แต่ภายหลังเมื่อจูหรงจีได้รับอำนาจจากกรมการเมืองให้เข้าดำรงตำแหน่งแทนหลี่ในปี 1993 เขาก็ได้เข้ามาดำเนินการกู้สถานการณ์หนี้เสียของธนาคารกลาง และสามารถบรรเทาปัญหาหนี้เสีย ปริมาณเงินล้นระบบ และจัดการกับตลาดเงินที่ไร้ระเบียบที่โดยส่วนใหญ่เกิดจากการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรได้สำเร็จ
มิถุนายน ค.ศ.1993 เมื่อจูหรงจีประกาศใช้มาตรการควบคุมระบบเศรษฐกิจมหภาคอย่างเป็นทางการ โดยมุ่งปรับระบบการเงินเป็นสำคัญ และกำชับให้ทุกหน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ตามหลักดังกล่าวอย่างเคร่งครัด ส่งผลให้เศรษฐกิจที่เจริญเติบโตอย่างร้อนแรงของจีนชะลอตัวลงอย่างนุ่มนวลในปี 1996 เป็นผลสำเร็จ และยังทำให้เขาได้ชื่อว่าเป็นนักบริหารเศรษฐศาสตร์ของจีนที่มีความสามารถ และได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในเวลาต่อมา
นอกจากนี้จูหรงจียังได้รับคำชมเชยจากนักเศรษฐศาสตร์ชาวตะวันตกหลายท่าน แม้แต่ อลัน กรีนสแปน แห่งธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังกล่าวถึงจูอย่างยกย่องว่า “นักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งที่สุดอยู่ที่เมืองจีน”
จากความสำเร็จของจูหรงจีและรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนในงานปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศ ตลอดจนการปฏิรูประบบการเงิน การคลัง การจัดเก็บภาษี การลงทุน และระบบการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศในธุรกิจขนาดกลางและย่อม เพื่อวางรากฐานการเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของประเทศจีน ทำให้ปี ค.ศ.2003 คณะกรรมการสมาพันธ์ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งทวีปยุโรป ได้พิจารณามอบรางวัลอันทรงเกียรติที่เคยมอบให้กับอดีตประธานาธิบดีบิล คลินตัน แห่งสหรัฐฯ มาแล้ว แก่อดีตนายกฯ จูหรงจีของจีน ซึ่งเขาได้บริจาคเงินรางวัลทั้งหมดให้กับมหาวิทยาลัยชิงหัว สถาบันศึกษาที่ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้แก่เขาเมื่อวัยหนุ่ม
****ประวัติส่วนตัว****
จูหรงจี เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1928 ที่ฉางซาในมณฑลหูหนัน กำพร้าพ่อและแม่มาตั้งแต่เล็ก จูจึงอยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคุณลุง จูเสียว์ฟาง ( 朱学方) เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหัว (清华大学) คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอกวิศวกรรมไฟฟ้า เมื่อธันวาคม ค.ศ.1948 ที่นี่จูได้ศึกษาเรียนรู้ด้านวิชาการและเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ อันเป็นประโยชน์ต่อมาในหน้าที่การงาน เขาจึงรำลึกในบุญคุณของสถาบันศึกษาแห่งนี้เสมอมาว่า “ได้หล่อหลอมเขาขึ้นจนเป็นปัญญาชนที่เข้มแข็งของชาติ” และถึงแม้จะจบการศึกษาไปแล้วจูก็ยังหาโอกาสไปบรรยายประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานเล่าสู่รุ่นน้องอยู่บ่อยๆ
ระหว่างปี ค.ศ.1947-1951 ขณะศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยชิงหัว จูหรงจีได้เข้าเป็นสมาชิกของสันนิบาตเยาวชนลัทธิประชาธิปไตยแผนใหม่ ( 新民主主义青年联盟 ) และก่อนเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อตุลาคม ค.ศ.1949 จูก็เคยร่วมงานกับพรรคฯ มาบ้าง ปี ค.ศ.1951 เข้าทำงานในส่วนงานด้านการวางแผนการผลิตเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือในกระทรวงอุตสาหกรรม และค่อยๆ ไต่เต้าขึ้นสู่หน่วยงานด้านการวางแผนงานระดับประเทศ และยังเป็นวิศวกรแห่งสำนักงานประมวลเศรษฐกิจแห่งชาติ
ราวปีค.ศ.1955 จูหรงจีได้สมรสกับเหลาอัน (劳安) เพื่อนนักศึกษาชาวหูหนันที่จบจากมหาวิทยาลัยชิงหัวคณะเดียวกัน เหลาอันเคยดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการบริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมแห่งชาติจีน ทั้งคู่มีบุตร 2 คน เป็นหญิงชื่อ จูเอี้ยน และชาย จูเต๋อเหมี่ยว
จูหรงจียังเคยทำงานในสำนักงานด้านเศรษฐกิจแห่งบัณฑิตยสภาด้านสังคมศาสตร์ และอยู่ในคณะกรรมการเศรษฐกิจแห่งชาติ รวมถึงในกรมการเมืองแห่งเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ มหานครใหญ่ซึ่งเป็นแกนหลักทางเศรษฐกิจของประเทศ จูหรงจีเข้าดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และเป็นหนึ่งในคณะทำงานด้านเศรษฐกิจและการค้าในคณะรัฐมนตรีเมื่อปี ค.ศ.1991 และยังควบตำแหน่งแกนนำสำคัญในคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีน
ปีค.ศ.1993 รองนายกฯ จูควบตำแหน่งสำคัญ คือผู้ว่าการธนาคารกลางจีน (จงกั๋วเหรินหมินอิ๋นหัง) ต่อมาในปี 1997 ก็เข้าเป็นกรรมการถาวรของพรรคฯ และกรรมการด้านบริหารในกรรมการกลางพรรคฯ กระทั่งเดือนมีนาคม ค.ศ.1998 เขาก็ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน กุมบังเหียนงานปฏิรูประบบเศรษฐกิจแห่งชาติเต็มตัว รวมถึงเป็นประธานคณะกรรมการโครงการก่อสร้างเขื่อนซันเสียของคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นโครงการระดับชาติในสมัยนั้นด้วย
นายกฯ จูมีบุคลิกการทำงานที่รวดเร็ว เน้นการปฏิบัติงานภาคสนาม ระดมความคิดจากผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการระดับสูง และแก้ปัญหาที่จุดเริ่มต้น ตลอดจนการเรียนรู้งานจากผู้มีประสบการณ์มาปรับใช้ในงานของตน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จูหรงจีเข้าถึงปัญหาและสามารถหาทางแก้ไขได้ตรงจุดจนประสบความสำเร็จ
จูหรงจีดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมการกลางพรรคฯ จวบถึงปี ค.ศ.2003 โดยอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจนครบวาระ 5 ปี (นายเวินเจียเป่าเข้ามาดำรงตำแหน่งแทนในสมัยต่อมา ) หลังจากนั้นเขาก็วางมือจากวงการการเมือง และใช้เวลาว่างเพลินเพลินไปกับอุปรากรปักกิ่งที่เขาชื่นชอบ
เรียบเรียงจาก : ไชน่าเดลี่ / ยูพีไอ / รอยเตอร์ส / ไวคิพีเดีย / ซินหัวเน็ต
หนังสืออ้างอิง : “อะเมซิ่ง จูหรงจี” โดย สันติ ตั้งรพีพากร “บูรพาแดงเปลี่ยนสี” โดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล สำนักพิมพ์มติชน และ "เศรษฐกิจการเมืองจีน" วรศักดิ์ มหัทธโนยล จัดพิมพ์โดย ศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
*หมายเหตุ :
หลักปฏิบัติ 16 ประการ (หงกวนเถียวค่ง) คัดจากหนังสือ "เศรษฐกิจการเมืองจีน" หน้า 260-261 เขียนโดย วรศักดิ์ มหัทธโนบล
ด้านการเงินการธนาคาร
1. ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก เงินกู้ และพันธบัตรที่ออกใหม่ของรัฐ ตั้งแต่วันที่ 11 ก.ค.1993 เป็นต้นไป
2. ให้ธนาคารพิเศษเรียกคืนสินเชื่อที่ปล่อยกู้เกินวงเงินตามที่ธนาคารประชาชนจีนได้กำหนดเอาไว้กลับคืนมาได้ก่อนวันที่ 25 ส.ค.1993
3. ให้ธนาคารพิเศษทำการตรวจสอบกลไกระบบการเงินในการปล่อยสินเชื่อของตน แล้วเรียกเก็บหนี้สินที่ปล่อยกู้ไปอย่างผิดระเบียบกลับคืนมา
4. ให้ธนาคารพิเศษแยกนโยบายการปล่อยกู้ของตน กับนโยบายการปล่อยกู้ที่ให้แก่กลุ่มธุรกิจการค้าออกจากกัน
5. เพิ่มความแข็งแกร่งในการปฏิบัติงานให้แก่ธนาคารประชาชนจีน โดยให้มีภาระหน้าที่สอดคล้องกับบทบาทในฐานะธนาคารกลาง
6. ให้ตลาดหลักทรัพย์ปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐ เกี่ยวกับการซื้อ-ขายหลักทรัพย์ในตลาดฯ อย่างเคร่งครัด
ด้านการคลัง
7. ให้ดำเนินการปรับลดงบประมาณลงร้อยละ 20
8. ขอให้พื้นที่ต่างๆทั่วประเทศร่วมมือกันขายพันธบัตรของรัฐให้หมดภายในวันที่ 15 ก.ค.1993
ด้านโครงการลงทุน
9. ให้ทำการไต่สวนใหม่กรณีที่ผู้นำรัฐบาลท้องถิ่นอนุมัติโครงการลงทุนต่างๆในพื้นที่เศรษฐกิจที่ประกาศเปิดด้วยตัวเอง
10. ให้ลดการลงทุนในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ลง
11. ให้เพิ่มการลงทุนทางด้านการคมนาคมและการท่าต่างๆ
ด้านอื่นๆ
12. ดำเนินการปฏิรูประบบอัตราการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
13. ให้ยุติการใช้ใบยอมรับสภาพหนี้หรือ "ไป๋เถียวจื่อ" แทนการจ่ายเงินในการรับซื้อผลผลิตจากชาวนาโดยเด็ดขาด
14. ให้รัฐบาลท้องถิ่นยุติการใช้อำนาจในการเรียกเก็บภาษีพิเศษต่างๆ หรือค่าฤชาธรรมเนียมในการทำกิจกรรมอื่นใดจากผู้ใช้แรงงานในวิสาหกิจต่างๆ ทั้งทางภาคเกษตรกรรมและภาคอุตสาหกรรมโดยเด็ดขาด
15. ให้องค์กรตรวจสอบวินัยในท้องถิ่นทำการตรวจสอบวินัยทางด้านการเงินการคลังของมณฑลและเขตปกครองตนเอง
16. ดำเนินการปฏิรูประบบราคาสินค้าขึ้นมาใหม่ให้แล้วเสร็จก่อนสิ้นปี 1993 เพื่อไม่ให้สินค้าขึ้นราคาโดยขาดการควบคุม