ฉบับนี้จะขอพาท่านผู้อ่านเจาะปัญหาคาใจคนทั้งโลก ที่ว่า “ทำไมจีนจึงพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ?” โดยมุ่งเจาะจับไปยัง “ต้นตอ” หรือ “เหตุปัจจัยแกน” ที่นำมาสู่กระบวนการแห่งปรากฏการณ์ที่เราๆ ท่านๆ สนใจที่จะวิสัชนา
ต้องยอมรับแล้วว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ผู้เป็นพรรคบริหารประเทศจีนยุคใหม่ได้สร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโลก เพราะเพียงยี่สิบกว่าปีตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 ที่ปรับแนวการบริหารประเทศจากการปฏิวัติทางความคิดมาเป็นการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก็สามารถพลิกโฉมประเทศจีนซึ่งทั้งล้าหลังยากจน ให้กลายเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างทั่วด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเงินการคลัง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการศึกษา แม้ว่าจะยัง “ห่างชั้น” กับประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ ด้าน แต่ก็แสดงออกถึงศักยภาพหรือ “พลังวิริยภาพ” ความเข้มแข็งขึงขังในตัว พร้อมจะทะยานโลดลิ่วไปสู่อนาคต หากเทียบจีนเป็นมังกร ก็กำลังเป็น “มังกรที่โผบิน”
อารมณ์ร่วมของคนจีนยุคใหม่จึงปรากฏออกมาในทำนองว่า “วันนี้ดีกว่าวันวาน พรุ่งนี้จะยิ่งดีกว่าวันนี้” ดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งปรี๊ด
แม้ว่าจะยังมีปัญหาเก่าๆ คั่งค้าง มีปัญหาใหม่ประทุขึ้นมาไม่ขาดสาย และยังมีคนจีนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกฝืดเคืองและอึดอัด ต้องการทางออกที่ดีกว่า แต่โดยภาพรวมแล้วจีนในสายตาคนจีนด้วยกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็นับวันดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ได้รับคะแนนเต็มๆ จากผลงานนี้ก็หนีไม่พ้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ด้วยเหตุผลที่ว่า “การบริหารประเทศจีนที่ใหญ่โต มีประชากรมากกว่าพันล้านคนจนประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย”
แต่พรรคฯ จีนก็ได้ทำสำเร็จแล้ว และกำลังจะสร้างความสำเร็จใหม่ๆ สืบเนื่องไปเรื่อยๆ โดยตั้งเป้าไว้ที่การสร้างประเทศจีนให้เป็นสังคมอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านภายในปี ค.ศ.2020 หรืออีก 15 ข้างหน้า เพื่อการก้าวไปสู่ความเป็นประเทศสังคมนิยมที่ก้าวหน้า เทียบได้กับประเทศพัฒนาแล้วในกลางศตวรรษที่ 21 หรืออีก 45 ปีข้างหน้า ตาม “วิสัยทัศน์ใหญ่” ของเติ้งเสี่ยวผิง
สร้างสภาพแวดล้อมใหญ่ให้ทุกฝ่าย “ทำดี”
แม้จะยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่จีนในระบอบสังคมนิยมมีจุดแข็งตรงที่พรรคบริหารประเทศเป็นพรรคเหนือทุน หลุดพ้นจากอำนาจชี้นำของกลุ่มทุน ตรงกันข้ามกลับคอยชี้นำและกำกับกลุ่มทุนที่เติบใหญ่ขึ้นในกรอบกำหนดของระบอบสังคมนิยม ให้พัฒนาเติบใหญ่ไปในทิศทางที่เอื้อต่อการพัฒนาของระบอบสังคมนิยม แสดงบทบาทเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมที่มีลักษณะสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์แก่สังคมจีนมากที่สุด
ตรงนี้คือความแตกต่างของทุนนิยมในจีนกับทุนนิยมในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาทั่วไป จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่กลุ่มทุนในจีนจะต้องยอมรับในอำนาจการนำของพรรคฯ จีน คอยศึกษาแนวคิดทฤษฎีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อปรับแนวการพัฒนาทางธุรกิจการค้าของตนให้สอดคล้องไปด้วยกันกับแนวคิดทฤษฎีและนโยบายเหล่านั้น
รวมทั้งต้องอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในบริษัทธุรกิจต่างๆ ทั้งในด้านงานจัดตั้งและงานความคิดการเมือง ดำเนินงานประสานกับคณะกรรมการบริหารบริษัท พัฒนากิจการของบริษัท ยกระดับพลังการผลิต และคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่พนักงาน ตลอดจนกรรมกรผู้ใช้แรงงานในสังกัดของบริษัท
แม้แต่บริษัทธุรกิจข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนในจีนก็จำเป็นต้องติดตามศึกษาแนวคิดทฤษฎีและนโยบายเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกัน ส่วนตัวเองจะสามารถสร้างกำไรได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่กลยุทธ์และการบริหารจัดการ อยู่ที่ความสามารถ หากมิใช่อยู่ที่ความได้เปรียบทางระบบโครงสร้าง เช่น ครองฐานะความผูกขาด เอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง (ยกเว้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนที่ผูกขาดธุรกิจสำคัญๆ ไว้ในมือจำนวนหนึ่ง แต่ผลประโยชน์ก็ตกสู่รัฐและส่วนรวม)
ทั้งนี้เพราะแนวคิดทฤษฎีและนโยบายต่างๆ เหล่านั้นคือตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศจีนที่เป็นจริง เป็นองค์ความรู้และ “ภูมิปัญญาใหม่” ในแต่ละห้วงเวลาของพรรคฯ จีน ในฐานะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ที่ประมวลขึ้นมาจากการบริหารประเทศในแต่ละช่วงของการพัฒนา
การนำเสนอแนวคิดทฤษฎีหรือ “ภูมิปัญญาใหม่” ซึ่งสืบเนื่องจากการรับรู้จากการเคลื่อนไหวปฏิบัติ (บริหารประเทศ) ในช่วงที่ผ่านมา ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ (บริหารประเทศ) ในระยะใหม่อย่างเป็นจริง เป็นเป้าหมายและ “วิสัยทัศน์ร่วม” ระยะใหม่ ที่ทุกฝ่ายจะร่วมแรงร่วมใจกันไปทำให้ปรากฏเป็นจริง
นั่นหมายถึงว่ากลุ่มพลังทุกกลุ่มในองคาพยพของระบอบสังคมนิยมจีนจะขับเคลื่อนกิจกรรมของตนเองไปทิศทางเดียวกัน คือเสริมสร้างปัจจัยใหม่ๆ ให้แก่การขับเคลื่อนโดยรวมของสังคมจีน เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ของประชาชาติจีน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
อีกนัยหนึ่ง ไม่ว่ากลุ่มพลังใดในสังคมจีนจะมีจุดประสงค์ส่วนตนเป็นแบบไหน อย่างไรในทางปฏิบัติ จะต้องแสดงบทบาทสร้างสรรค์ที่เป็นคุณแก่การพัฒนาประเทศจีนไปสู่ความทันสมัย และเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งรอบด้าน จึงจะสามารถพัฒนาเติบใหญ่ได้ มิเช่นนั้นแล้วคุณก็จะไม่มีเวที ไม่มีโอกาส
ระบอบ ระบบ โครงสร้าง กฎกติกา ฯลฯ ที่แสดงบทบาทส่งเสริม กำกับและควบคุม ล้วนอยู่ในการ “สอดส่องดูแล” อย่างใกล้ชิดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน พรรคบริหารประเทศที่ทำหน้าที่ “กำหนด” เส้นทางเดิน และสร้างเวที โอกาส ให้กลุ่มพลังต่างๆ รวมทั้งกลุ่มทุนทั้งที่เป็นทุนจีนและทุนต่างประเทศ สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นคุณแก่สังคมจีนโดยรวม
จึงพอจะได้คำตอบ “เบื้องต้น” ว่าจีนพัฒนาประเทศได้เร็วและต่อเนื่องก็เพราะมีพรรคบริหารประเทศ “เหนือทุน” แสดงบทบาท “นำ” พลังต่างๆ ในสังคมจีน ทั้งที่เป็นพลังใน “ท้องถิ่น” และพลังจาก “ต่างถิ่น” สร้างแต่สิ่งดีๆ ให้แก่ประเทศจีน สังคมจีน และประชาชนจีน
---------------------------------
ต้องยอมรับแล้วว่าพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ผู้เป็นพรรคบริหารประเทศจีนยุคใหม่ได้สร้างผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโลก เพราะเพียงยี่สิบกว่าปีตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 ที่ปรับแนวการบริหารประเทศจากการปฏิวัติทางความคิดมาเป็นการพัฒนาประเทศให้ทันสมัย ก็สามารถพลิกโฉมประเทศจีนซึ่งทั้งล้าหลังยากจน ให้กลายเป็นประเทศที่เจริญก้าวหน้าอย่างทั่วด้าน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเงินการคลัง วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการศึกษา แม้ว่าจะยัง “ห่างชั้น” กับประเทศพัฒนาแล้วในหลายๆ ด้าน แต่ก็แสดงออกถึงศักยภาพหรือ “พลังวิริยภาพ” ความเข้มแข็งขึงขังในตัว พร้อมจะทะยานโลดลิ่วไปสู่อนาคต หากเทียบจีนเป็นมังกร ก็กำลังเป็น “มังกรที่โผบิน”
อารมณ์ร่วมของคนจีนยุคใหม่จึงปรากฏออกมาในทำนองว่า “วันนี้ดีกว่าวันวาน พรุ่งนี้จะยิ่งดีกว่าวันนี้” ดัชนีความเชื่อมั่นพุ่งปรี๊ด
แม้ว่าจะยังมีปัญหาเก่าๆ คั่งค้าง มีปัญหาใหม่ประทุขึ้นมาไม่ขาดสาย และยังมีคนจีนอีกจำนวนไม่น้อยที่ยังรู้สึกฝืดเคืองและอึดอัด ต้องการทางออกที่ดีกว่า แต่โดยภาพรวมแล้วจีนในสายตาคนจีนด้วยกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ก็นับวันดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ได้รับคะแนนเต็มๆ จากผลงานนี้ก็หนีไม่พ้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ด้วยเหตุผลที่ว่า “การบริหารประเทศจีนที่ใหญ่โต มีประชากรมากกว่าพันล้านคนจนประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย”
แต่พรรคฯ จีนก็ได้ทำสำเร็จแล้ว และกำลังจะสร้างความสำเร็จใหม่ๆ สืบเนื่องไปเรื่อยๆ โดยตั้งเป้าไว้ที่การสร้างประเทศจีนให้เป็นสังคมอยู่ดีกินดีอย่างรอบด้านภายในปี ค.ศ.2020 หรืออีก 15 ข้างหน้า เพื่อการก้าวไปสู่ความเป็นประเทศสังคมนิยมที่ก้าวหน้า เทียบได้กับประเทศพัฒนาแล้วในกลางศตวรรษที่ 21 หรืออีก 45 ปีข้างหน้า ตาม “วิสัยทัศน์ใหญ่” ของเติ้งเสี่ยวผิง
สร้างสภาพแวดล้อมใหญ่ให้ทุกฝ่าย “ทำดี”
แม้จะยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา แต่จีนในระบอบสังคมนิยมมีจุดแข็งตรงที่พรรคบริหารประเทศเป็นพรรคเหนือทุน หลุดพ้นจากอำนาจชี้นำของกลุ่มทุน ตรงกันข้ามกลับคอยชี้นำและกำกับกลุ่มทุนที่เติบใหญ่ขึ้นในกรอบกำหนดของระบอบสังคมนิยม ให้พัฒนาเติบใหญ่ไปในทิศทางที่เอื้อต่อการพัฒนาของระบอบสังคมนิยม แสดงบทบาทเป็นพลังขับเคลื่อนสังคมที่มีลักษณะสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์แก่สังคมจีนมากที่สุด
ตรงนี้คือความแตกต่างของทุนนิยมในจีนกับทุนนิยมในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาทั่วไป จึงเป็นเรื่องไม่แปลกที่กลุ่มทุนในจีนจะต้องยอมรับในอำนาจการนำของพรรคฯ จีน คอยศึกษาแนวคิดทฤษฎีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล เพื่อปรับแนวการพัฒนาทางธุรกิจการค้าของตนให้สอดคล้องไปด้วยกันกับแนวคิดทฤษฎีและนโยบายเหล่านั้น
รวมทั้งต้องอำนวยความสะดวกต่อการดำเนินกิจกรรมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในบริษัทธุรกิจต่างๆ ทั้งในด้านงานจัดตั้งและงานความคิดการเมือง ดำเนินงานประสานกับคณะกรรมการบริหารบริษัท พัฒนากิจการของบริษัท ยกระดับพลังการผลิต และคุณภาพชีวิตของเจ้าหน้าที่พนักงาน ตลอดจนกรรมกรผู้ใช้แรงงานในสังกัดของบริษัท
แม้แต่บริษัทธุรกิจข้ามชาติที่เข้าไปลงทุนในจีนก็จำเป็นต้องติดตามศึกษาแนวคิดทฤษฎีและนโยบายเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด ด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกัน ส่วนตัวเองจะสามารถสร้างกำไรได้มากน้อยแค่ไหนก็อยู่ที่กลยุทธ์และการบริหารจัดการ อยู่ที่ความสามารถ หากมิใช่อยู่ที่ความได้เปรียบทางระบบโครงสร้าง เช่น ครองฐานะความผูกขาด เอารัดเอาเปรียบคู่แข่ง (ยกเว้นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของจีนที่ผูกขาดธุรกิจสำคัญๆ ไว้ในมือจำนวนหนึ่ง แต่ผลประโยชน์ก็ตกสู่รัฐและส่วนรวม)
ทั้งนี้เพราะแนวคิดทฤษฎีและนโยบายต่างๆ เหล่านั้นคือตัวกำหนดทิศทางการพัฒนาของประเทศจีนที่เป็นจริง เป็นองค์ความรู้และ “ภูมิปัญญาใหม่” ในแต่ละห้วงเวลาของพรรคฯ จีน ในฐานะผู้ใช้อำนาจบริหารประเทศ ที่ประมวลขึ้นมาจากการบริหารประเทศในแต่ละช่วงของการพัฒนา
การนำเสนอแนวคิดทฤษฎีหรือ “ภูมิปัญญาใหม่” ซึ่งสืบเนื่องจากการรับรู้จากการเคลื่อนไหวปฏิบัติ (บริหารประเทศ) ในช่วงที่ผ่านมา ก็เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ (บริหารประเทศ) ในระยะใหม่อย่างเป็นจริง เป็นเป้าหมายและ “วิสัยทัศน์ร่วม” ระยะใหม่ ที่ทุกฝ่ายจะร่วมแรงร่วมใจกันไปทำให้ปรากฏเป็นจริง
นั่นหมายถึงว่ากลุ่มพลังทุกกลุ่มในองคาพยพของระบอบสังคมนิยมจีนจะขับเคลื่อนกิจกรรมของตนเองไปทิศทางเดียวกัน คือเสริมสร้างปัจจัยใหม่ๆ ให้แก่การขับเคลื่อนโดยรวมของสังคมจีน เพื่อบรรลุสู่เป้าหมายยุทธศาสตร์ของประชาชาติจีน ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
อีกนัยหนึ่ง ไม่ว่ากลุ่มพลังใดในสังคมจีนจะมีจุดประสงค์ส่วนตนเป็นแบบไหน อย่างไรในทางปฏิบัติ จะต้องแสดงบทบาทสร้างสรรค์ที่เป็นคุณแก่การพัฒนาประเทศจีนไปสู่ความทันสมัย และเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟุ้งรอบด้าน จึงจะสามารถพัฒนาเติบใหญ่ได้ มิเช่นนั้นแล้วคุณก็จะไม่มีเวที ไม่มีโอกาส
ระบอบ ระบบ โครงสร้าง กฎกติกา ฯลฯ ที่แสดงบทบาทส่งเสริม กำกับและควบคุม ล้วนอยู่ในการ “สอดส่องดูแล” อย่างใกล้ชิดของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน พรรคบริหารประเทศที่ทำหน้าที่ “กำหนด” เส้นทางเดิน และสร้างเวที โอกาส ให้กลุ่มพลังต่างๆ รวมทั้งกลุ่มทุนทั้งที่เป็นทุนจีนและทุนต่างประเทศ สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นคุณแก่สังคมจีนโดยรวม
จึงพอจะได้คำตอบ “เบื้องต้น” ว่าจีนพัฒนาประเทศได้เร็วและต่อเนื่องก็เพราะมีพรรคบริหารประเทศ “เหนือทุน” แสดงบทบาท “นำ” พลังต่างๆ ในสังคมจีน ทั้งที่เป็นพลังใน “ท้องถิ่น” และพลังจาก “ต่างถิ่น” สร้างแต่สิ่งดีๆ ให้แก่ประเทศจีน สังคมจีน และประชาชนจีน
---------------------------------